Sunday 29 November 2015

Farundelle :: ภาค 1 :: 02 สัญญาณเตือน

02 สัญญาณเตือน



เอลกำลังนั่งจัดหนังสือสำหรับวันพรุ่งนี้ในตอนที่เพื่อนร่วมห้องผู้สูงศักดิ์กลับมา ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีคำพูดใด

ฟอนออกไปกับพวกจาไฮน์เพราะไม่อยากกลับห้องมาเจอบรรยากาศติดลบของเจ้าชาย แต่เอลกลับไม่เห็นปัญหาในแง่นั้น

ก็ดี...ไม่วุ่นวาย


ทีแรกเอลค่อนข้างเกร็งที่จะต้องร่วมห้องกับคนอย่างเจ้าชาย แต่เอาเข้าจริงนอกจากเรื่องที่เลื่อนเตียงออกไปห่าง อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีหยิ่งทระนงจนน่าปวดหัว เพียงแต่ออกจะเงียบไปหน่อยจนเหงาหูเท่านั้นเอง


“เอล แอสเซียร์” เขาพูดขึ้นเป็นคำแรกนับตั้งแต่ร่วมห้องกันมา

“...เรนาร์ด เลอองธัวร์” อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดชื่อตัวเองตอบ

“ฟอน แวนโดแวนน์นายคงรู้จักแล้ว” เอลยิ้มตอบ ใจชื้นมาหน่อยที่อีกฝ่ายไม่ทำให้เขาเก้อ “ฉันมาจากอีสเทรีย”


เรนาร์ดพยักหน้าที่เหมือนรูปสลักเป็นเชิงรับรู้แล้วก็หันไปสนใจธุระของตัวเองต่อเป็นการจบการแนะนำตัวแต่เพียงเท่านี้ เอลโคลงหัว เขาก็ไม่ได้คิดว่าคนตรงหน้าจะเป็นฝ่ายหันมาชวนคุยอะไรอยู่แล้ว เพราะความท่ามากคงจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอาชีพเจ้าชาย...โดยเฉพาะเจ้าชายดำแห่งเซส

เจ้าชายเรนาร์ด ฟรานเชส เลอองธัวร์ไม่ค่อยโด่งดังนักเมื่อเทียบกับพระเชษฐาอีกสองพระองค์ แต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าชาย’มือดี’ที่มีสิทธิ์ในการชิงบัลลังก์ตามธรรมเนียมของเซส ดังนั้น...จนกว่าวันผลัดแผ่นดินจะมาถึง เจ้าชายทุกพระองค์ย่อมมีสิทธิ์ในบัลลังก์มังกรเท่าเทียมกัน


เสียงเคาะหน้าต่างเบาๆ ดึงความสนใจจากคนในห้องได้เป็นอย่างดี เด็กหนุ่มผมทองผุดลุกไปผลักบานหน้าต่างออกแล้วรับเอานกเหยี่ยวตัวใหญ่มาเกาะที่แขน


“ไมล์” เอลกระซิบกับขนสีควันไฟ “ลำบากหน่อยนะ”


เหยี่ยวตัวงามร้องเบาๆ ก่อนจะไซร้เส้นผมสีทองเล่น เด็กหนุ่มแกะปลอกที่ขามาข้างหนึ่งแล้วโบกมือเบาๆ กระดาษที่อยู่บนโต๊ะก็ลอยหวือมาม้วนตัวเข้าแทนที่

เอลพึมพำจุดหมายบอกแล้วจึงสะบัดแขนให้นกยักษ์โผออกไปตามเดิมก่อนจะยืนส่งจนลับตา แต่เมื่อหันกลับมาก็พบดวงตาสีดำสนิทจ้องอยู่ก่อนแล้ว

คนเผลอตัวใช้พลังตามความเคยชินนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเดินนั่งแกะจดหมายออกอ่านด้วยท่าทีนิ่งสงบ เจ้าชายแห่งเซสจึงผละสายตากลับไปโดยไม่มีคำถามใดๆ หลุดออกมา

ก็ดี...ไม่ยุ่งยาก


เอลลอบถอนหายใจแล้วก็หันไปสนใจจดหมายในมือต่อ แต่ห้องแห่งความสงบก็สงบอยู่ได้ไม่นานเท่าที่อยาก


“เอล!!” เสียงโหวกเหวกดังมาก่อนตัวทำเอาอีกสองคนขมวดคิ้วฉับพร้อมกัน

“มีอะไร”

“โห เย็นชาว่ะ นี่เลยมีของเด็ดมานำเสนอ จาไฮน์มันเอามา 7ปีเชียวนะ” เอลเหลือบมองแก้วในมืออีกฝ่ายอย่างเหนื่อยใจ


ไม่พ้นวันแรกมันก็เริ่มแหกกฏโรงเรียนแล้ว...


“ฟอน” เขาเริ่มแต่อีกฝ่ายก็รีบถลามากอดคอกอดไหล่

“อย่าซีเรียสมากเลยน่าเอล”


คนรักสนุกโยกตัวเพื่อนไปมาโดยลืมนึกไปว่าตัวเองกำลังถืออะไรอยู่ เสียงของเหลวกระฉอกออกราดใส่อะไรสักอย่างดูจะเป็นสัญญาณหยุดเวลาที่ชะงัดนัก

เอลกลืนน้ำลายก่อนจะเหลือบไปมองอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ที่ฟอนได้ทำไว้ เหล้าองุ่นสีแดงอมม่วงเปรอะลงบนใบหน้าขาวจัดแล้วหยดลงบนเสื้อสีขาวทิ้งความด่างพร้อยไว้อย่างมีศิลปะ

ดวงตาเย็นชาที่ฉายแววอาฆาตขึ้นมาชั่วครู่ทำให้หยดเหล้าองุ่นนั้นดูเหมือนเลือดขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว

ร่างสูงลุกพรวดก่อนจะเดินผ่านคนที่กลายเป็นปะติมากรรมหินเข้าห้องน้ำแล้วกระแทกประตูดังปังจนคนสติหลุดกลับเข้าร่าง


“อ่า...” ตัวต้นเรื่องครางอย่างหวาดผวา ส่วนเอลได้แต่ถอนหายใจ

“ฟอน แวนโดแวนน์ ถ้าฉันเป็นนายฉันจะเตรียมไว้อีกสิบชีวิต!”


++++++


เอลเริ่มรู้สึกในเวลาต่อมาว่าตนเองก็ต้องเตรียมไว้อีกสิบชีวิตเช่นกัน เด็กหนุ่มได้สัมผัสกับความเหนื่อยอย่างที่ตัวเองไม่เคยจินตนาการออก ถึงแม้เขาจะมีพื้นฐานการอ่านเขียนอยู่ในเกณฑ์ดีมากจนไม่ต้องไปเรียนเพิ่มเติมก็จริง แต่การเรียนในฟารันเดลนั้นไม่ง่าย ช่วงเช้าสามในหกวันของสัปดาห์จะต้องเรียนวิชาทฤษฎี เช่น ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ พีชคณิต หลักปกครองเบื้องต้น และเวลาที่เหลือทั้งหมดจะแบ่งเป็นการเรียนภาคปฏิบัติรวมถึงการฝึกซ้อม ทำเอาแต่ละวันแทบจะคลานกลับห้อง ซ้ำยังต้องทำการบ้านและอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนอีกเรียกได้ว่ากว่าจะจัดรูปแบบชีวิตตัวเองให้เข้าที่ได้ก็ผ่านมาเกือบสามสัปดาห์


“ต้องไปไหนต่อ” น้ำเสียงงัวเงียเหมือนยังเรียกวิญญาณเข้าร่างไม่เสร็จเอ่ยถาม

“โดม” เอลตอบพลางก้าวเท้าเร็วๆ ไปตามทางเดินพร้อมกับนักเรียนคนอื่น

“นายมันเด็กขยันเป็นบ้า นั่งฟังบรรดาอาจารย์พล่ามได้ทั้งเช้าโดยไม่หลับ” ฟอนบ่นอุบ

“ใครมันจะไปหลับได้ทุกคาบอย่างนาย”

“ก็มันน่าเบื่อ” คนไม่เอาภาคทฤษฎีส่ายหัว ก่อนจะร้องขึ้น “นั่นมันเรนาร์ดนี่”


เอลหันไปมอง คนผมดำยืนคุยกับอาจารย์ท่านหนึ่งอยู่อย่างไม่รีบร้อน แต่สีหน้าเรียบเฉยดูติดจะเคร่งขรึมกว่าทุกที


“เฮ้ยเอล รีบไปเหอะ อาจารย์นักปราชญ์เขาไม่ชอบคนป้อมศาสตราเดี๋ยวจะซวยกันทั้งบาง” ฟอนกระตุกแขนเพื่อนที่ชะลอฝีเท้าหันไปมอง


เด็กหนุ่มผมทองจึงละสายตาจากภาพนั้น พยักหน้าหงึกหงักแล้วก้าวขึ้นบันได้ตามไปอย่างรวดเร็ว


โดมที่ว่านั้นคือห้องขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของหอคอย หลังคาเป็นกระจกใสทรงโค้งเปิดให้เห็นท้องฟ้าสีสดใส ที่นั่งจัดไล่ระดับเป็นครึ่งวงกลม ถึงแม้เอลจะสนใจห้องเรียนเวทมนต์พื้นฐานอย่างไรก็ตามแต่ด้วยตราป้อมศาสตราสีแดงตรงปกเสื้อทำให้จำใจต้องหลบขึ้นไปนั่งในที่ไกลหูไกลตา

หลังจากนั่งหอบไปได้ครึ่งคำอาจารย์เจ้าของวิชาก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับเสียงเนิบนาบที่ชี้แจงเรื่องการสอบย่อยที่กำลังจะมาถึง นักเรียนทั้งห้องต่างพากันส่งเสียงฮือฮาด้วยความหนักใจ เพียงแค่บทเรียนแต่ละวันตามให้ทันยังยากขนาดนี้...แล้วยังจะมีสอบอีก

อาจารย์นักปราชญ์คิลเลี่ยนกระแอมเรียกความสงบก่อนจะเริ่มต้นบรรยาย เอลเปิดหนังสือตามอย่างตั้งใจในขณะที่ฟอนฟุบหน้าหลับไปเป็นที่เรียบร้อย ไม่นานนักเสียงบรรยายก็สะดุดเนื่องจากการปรากฎตัวของเจ้าชายแห่งเซส ผู้เป็นอาจารย์เหลือบมองนักเรียนที่มาสายก้มหัวให้ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วหันไปสอนต่อ

เรนาร์ดเดินหลบขึ้นมานั่งตรงที่ว่างข้างๆ เอลท่ามกลางสายตาของคนทั้งห้อง


“มาสายซะเด่นขนาดนี้นายเล่นมนตร์อะไรถึงไม่โดนด่าวะ” คำถามนี้เป็นของฟอน


คนทำตัวเด่นไม่ตอบคำถาม เพียงแต่หยิบหนังสือมาเปิดตามแล้วฟังบรรยายอย่างตั้งใจจนคนถามผิวปากเซ็งๆ แล้วก้มหน้าลงกับพื้นโต๊ะเพื่อหลับต่อ เอลหันไปมองอย่างอนาถใจแล้วก็ฉีกกระดาษแผ่นเล็กๆ ขึ้นมาเขียนข้อความแล้วเลื่อนไปให้คนข้างๆ


‘วันสอบย่อยครั้งแรก อีก2สัปดาห์ แสดงเวทย์พื้นฐานทุกบท’


เรียวคิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเก็บกระดาษนั้นไปแล้วฉีกข้อความใหม่ส่งตอบ


‘ขอบใจ’


เอลรับกระดาษนั้นมาเก็บไว้บ้างก่อนจะหันไปสนใจบทเรียนต่อ

เจ้าชายเรนาร์ดไม่ใช่คนน่ากลัวสักนิด...อย่างน้อยก็ในสายตาของเขา



ชั่วโมงบรรยายจบไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกคนเรียน เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นทุกคนก็รีบเก็บข้าวของแล้วพากันลงไปที่ลานฝึกเพื่อเรียนภาคปฏิบัติต่อในทันที แสงแดดร้อนยามบ่ายส่องลงมาอย่างไม่ปราณีชีวิตนับสิบที่กำลังขมักเขม่นกับการฝึกซ้อมตามคำสั่ง เอลปาดเหงื่อที่ปลายคางออกหลังจากที่ฟอนร้องโวยวายแล้วลงไปนั่งอยู่กับพื้น


“ยอมแพ้” คนอยากเป็นอัศวินบ่น “ฝีมือดาบนายไม่เอาอ่าวชะมัด แต่ดันเก่งเวทย์เป็นบ้า”

“ได้อย่างเสียอย่างน่า” ฝ่ายอ่อนอาวุธตอบกลับ

“ไหงไอ้เด็กธรรมดาอย่างนายถึงร่ายมนตร์ซะคล่องปากเลยวะ” คำประชดถูกโยนมาใส่จนคนรับต้องปรายตากลับอย่างเอือมระอา

“ฉันยังไม่ถามเลยว่าไอ้หัวหน้าสมาคมอย่างนายไปเรียนเพลงดาบมาจากไหน”

“เอ้าๆ คุณคนธรรมดาอย่าเพิ่งตีกัน” จาไฮน์หัวเราะพุ่งเข้ามากอดคอเพื่อนต่างไซส์จนแทบไหล่ทรุด “ถ้าเรื่องเวทย์ต้องยกให้ริอัลมันโน่น อยู่ในวิหารเทพแต่เกิด”

“ขายกันแบบนี้ก็แย่สิ” คุณชายตระกูลโดโนเรสว่า “ฉันก็เป็นหนึ่งในสมาชิกคนธรรมดาไม่ใช่หรือ”

“เออ พวกเรามันคนธรรมดา ไอ้คนไม่ธรรมดาเขาคมในฝักกันทั้งนั้น ไม่ใช่มีอะไรก็ขายกันหมดเปลือก” ฟอนตอบก่อนจะถูกจาไฮน์ทุบหลังดังอั่กเพราะถูกใจวาจา


เอลส่ายหัว ถ้าจะวัดความธรรมดาของจริงมันคงมีแต่เขานี่แหละที่ยังคงความธรรมดาที่สุดของที่สุด

แม้ฟอนกับจาไฮน์จะไม่มีที่มาที่ไปชัดเจนเหมือนริอัล แต่สองคนนี้คงไม่ใช่แค่เด็กหนุ่มที่ริอยากลองวิชาเลยพยายามเข้ามาเรียนที่ฟารันเดลแน่ เทียบกับตัวเขาที่ชีวิตก่อนหน้าแทบไม่เคยไปไหนไกลเกินอีสเทรียแล้วคงมีประสบการณ์คงต่างกันราวฟ้ากับเหว


“เฮ้ย...” เพื่อนร่างยักษ์หันมามองหน้าเขาก่อนจะชะงักไป

“เอาอีกแล้ว...เมื่อไหร่นายจะจำชื่อไอ้คนเย็นชานี่ได้สักที” ฟอนท้วงอย่างที่ทำมาตั้งแต่วันแรก “เอล แอสเซียร์”

“เออว่ะ เอล!” คนขี้ลืมหัวเราะแก้เก้อ “โทษที ปกติก็ไม่ลืมนะ สงสัยช่วงนี้เบลอๆ”

“นายเรียกเอลว่าไอ้คนเย็นชาแล้วเจ้าชายดำมิกลายเป็นหุบเขาไอซ์เบิร์กหรือ” ริอัสกระเซ้าเมื่อเห็นเพื่อนไม่ว่าอะไรที่ถูกลืมชื่อ

“พวกนายจะรู้อะไร...เรนาร์ดก็แค่เงียบ แต่ไอ้หมอนี่มันโหดร้ายจะตาย” ผู้ถูกกระทำรีบฟ้อง

“นายมันรุงรัง วุ่นวายไม่เข้าท่า” เอลตอกกลับเสียงเรียบ “ช่วงนี้เรนาร์ดดูหงุดหงิดนายก็ยังไปหาเรื่องอยู่นั่น โดนสั่งประหารเข้าสักวันฉันจะไม่ช่วย”

“จะไปรู้หรือว่าเจ้าชายท่านทรงหงุดหงิดหรืออารมณ์ดี ก็เห็นมีอยู่หน้าเดียว...เรียบอย่างกับเอาหินไฟมารีดไว้”


เด็กหนุ่มผมทองส่ายหัวให้ไอ้คนไม่รู้จักดูทิศทางลมอย่างปลงตกแล้วก็ได้แต่หวังว่าภายใต้ดวงตาสีดำสนิทจะมีจุดเดือดสูงพอจะไม่ตวัดพระแสงดาบผ่ากลางร่างน่ารำคาญนี่เข้าสักวัน


“ว่าแต่...ไม่เห็นเจ้าชายเรนาร์ดเลยนะ” คนแดนเหนือตั้งข้อสังเกต ดวงตาสีฟ้าใสกวาดมองลานฝึกเวทย์ที่อาจารย์พ่อมดเอาพวกเขามาทิ้งไว้ซึ่งไม่มีแม้แต่เงาของร่างสูงสง่าให้เห็น

“นั่นสิ เจ้าชายก็โดดเรียนเป็นเหมือนกันแฮะ” จาไฮน์ว่าขำๆ แต่สองเพื่อนร่วมห้องกลับหันมาสบตากันทันที


“เฮ้” ฟอนกระซิบเมื่อเพื่อนอีกสองคนแยกไปฝึกตามเดิม “คิดเหมือนกันมั๊ย”

“คิด...คิดว่าไอ้ห่วยอย่างนายควรจะตั้งใจฝึกได้แล้วฟอน แวนโดแวนน์” ดวงตาสีเขียวมรกตรับกับเส้นผมทองอร่ามเผยแววเบื่อหน่ายชัดเจน

“เอล!” คนชวนออกนอกลู่นอกทางโวยก่อนจะร้องลั่นเพราะถูกเพื่อนซัดลูกไฟขนาดย่อมใส่

“คทาของดีแท้ๆ อย่าทำให้มันเสียของ” เอลผู้เป็นเจ้าของคทาฝึกหัดราคาถูกใช้มันชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยท่าทีหยามกันสุดๆ

“พรุ่งนี้ฝึกดาบฉันจะเอาคืนแน่” ดวงตาสีแดงวาววับ

“รีบมาเอาแล้วกัน”


คนผมทองยักไหล่ก่อนจะลอบกวาดสายตามองรอบลานอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ

...เรนาร์ดหายไปอีกแล้ว

++++++


ห้องสมุดยามค่ำคืนไม่ค่อยเป็นที่นิยมชมชอบนัก แต่เอล แอสเซียร์ผู้ถูกเพื่อนตัวดีทิ้งให้หาหนังสือมาเขียนรายงานเพียงลำพัง กว่าจะเจอที่พอใจรู้ตัวอีกทีก็ใกล้เวลาปิดประตูป้อม

เด็กหนุ่มร่างเล็กกว่ามาตรฐานก้าวยาวไปตามทางเดินที่ร้างผู้คน ความรีบร้อนทำให้เขาเลือกให้ทางลัดที่เพิ่งค้นพบกับฟอนได้ไม่นาน คบเพลิงตามทางเดินวูบไหวชวนให้จินตนาการไปต่างๆ นานา เขากำลังจะเลี้ยวไปทางหอพักถ้าไม่ได้ยินเสียงพูดคุยดังก้องมา


“คืนเดือนมืด?”

“ใช่ ยังไงก็คงกักเอาไว้ไม่อยู่ มันต้องออกหากินแน่ๆ”

“แล้วนายว่าไง”

“ท่านผู้วิเศษรับทราบแล้ว แต่ให้พวกเราจัดการกันเองเรื่องคงเงียบกว่า”

“ปัญหาภายใน? แล้วพวกเรารู้มันจะภายในตรงไหน?”

“ก็เปลี่ยนจากภายในราชสำนักเป็นภายในป้อมศาสตรา”


ใบหน้างดงามดังองค์เทพกล่าวเรียบเรื่อยพร้อมกับหันมาเรียกให้คนแอบฟังสะดุ้งสุดตัว


“ใช่ไหม...เอล แอสเซียร์”


เด็กหนุ่มสูดลมหายใจแล้วเดินออกมาจากมุมมืดของทางเดินท่ามกลางสายตาเคร่งขรึมของชายหนุ่มสองคน


“เด็กไม่ดี” น้ำเสียงใจดีทว่าทรงอำนาจดังขึ้นจากเจ้าชายรัชทายาทแห่งอีสเทรีย

“ขอพระราชทานอภัย” เขาโค้งศีรษะต่ำแต่ก็ไม่คิดจะกล่าวแก้ตัว

“อยู่ที่นี่ให้แทนตัวเองว่าผมแล้วเรียกพี่ว่าพี่” คำดุไม่จริงจังถูกส่งมา “นี่มันเลยเวลาเข้าป้อมแล้ว”

“ทราบครับ ผมกะเวลาผิด ออกจากหอสมุดช้าไป” เอลสบตากับดวงเนตรสีทองสวยของเจ้าชายธีโอฟีลโดยไม่หนี

“หืม ขยันผิดวิสัยป้อมเราแบบนี้จะให้ลงโทษได้ยังไงนะนีชา” หันไปถามความเห็นคนข้างๆ ที่ทำหน้าไม่ถูก

“ธีโอ อย่าไปแกล้งน้องมันเลย”

“คนคุมกฏเขาว่างั้นแน่ะ” หัวหน้าป้อมหัวเราะ “รีบกลับก่อนจะยิ่งมืดกว่านี้เลย”

“...แล้วก็อย่ามายืนลับๆ ล่อๆ แอบฟังคนเขาคุยกันอีกล่ะ” นีชาสำทับ

“เราเดินคุยกันตามทางเดินจะว่าน้องมันแอบฟังก็ไม่ถูก” เป็นคำที่เอลเกือบพยักหน้าตามถ้าไม่มีประโยคต่อไป “ความอยากรู้อยากเห็นก็เป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหลดีออก”


เด็กหนุ่มจากอีสเทรียรู้สึกถึงอะไรบางที่ทำให้หวาดหวั่นจนเผลอก้าวถอยหลัง รอยยิ้มใจดียังคงฉายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา จะมีก็เพียงแต่สีหน้าแสดงความสงสารจากนีชาที่ช่วยยืนยันว่าตัวเองกำลังประสบเคราะห์ร้าย

คนถึงคราวซวยเอ่ยปากขอตัวกลับทันที โดยไม่ลืมสัญญาว่าสิ่งที่ได้ยินจะไม่หลุดไปจากปากเขาแม้ว่าจะจับใจความอะไรไม่ได้ก็ตาม


“เอล! แมทสบายดีไหม!” ธีโอฟีลตะโกนไล่หลังมาให้สะดุ้งเล่นก่อนจะกัดฟันตอบกลับไปอย่างสุภาพที่สุด

“ผมว่าเรื่องนั้นพี่น่าจะทราบดีกว่านะครับ!”



“เป็นอะไรทำหน้าเหมือนเห็นผี”


เมื่อเปิดประตูออกตามเสียงเคาะฟอนก็อดจะทักไม่ได้เมื่อเพื่อนที่หายหัวไปกลับมาพร้อมหนังสือหนาหนักสองเล่มกับหน้าซีดเซียวเป็นกระดาษ


“เฮ้! เอล!!”


เด็กหนุ่มรู้สึกซวนเซราวกับจะเป็นลม แข็งใจเดินผ่านเพื่อนที่ยังงุนงงกับสภาพของเขาไปยังโต๊ะหนังสือ ตอนนี้แม้กระทั่งเจ้าชายดำผู้ไม่ใส่ใจโลกยังต้องหันมามอง


“เอล!!”


เสียงร้องอย่างตกใจดังขึ่นเมื่อคนฝืนสังขารไม่ไหวล้มหน้าคว่ำใส่เจ้าชายแห่งเซสที่เอื้อมมือมาคว้าแทบไม่ทัน


“ไม่เป็นไร...ขอบใจ” สูดลมหายใจลึกก่อนจะค่อยยันตัวขึ้นจากท่อนแขนของเพื่อนร่วมห้องผู้สูงศักดิ์

“นายตัวเย็นมาก” เรนาร์ดออกความเห็น ใบหน้านิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

“เดี๋ยวก็หาย” ดวงตาสีเขียวมรกตฉายแววกระด้าง ร่างเล็กลุกขึ้นโงนเงนก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง “แค่หน้ามืดน่ะ”


เรียวคิ้วของคนเป็นเจ้าชายยิ่งขมวดเข้าหากัน แต่ก่อนที่จะได้ว่าอะไรเพื่อนร่วมห้องอีกคนก็ชิงเข้าไปถามนู่นนี่เรียบร้อยจึงปล่อยเลยตามเลย


“แล้วนี่หายหัวไปไหนมา นี่ถ้าไม่กลับมาก็ลืมไปแล้วนะว่าหายไป” ฟอนเย้า

“หายหัวไปหาหนังสือมาเขียนรายงานให้ไอ้คนไร้ความรับผิดชอบอย่างนายยังไงล่ะ” เหน็บกลับไปตรงๆ แต่คนโดนกลับยิ้มร่า

“นี่ก็เหมือนกัน ถ้านายไม่เอามาก็ลืมไปแล้วนะว่าทำคู่กัน”


เอลนึกอยากจะร่ายเวทย์ใส่มันสักโครมถ้าไม่ติดว่าเกรงใจอีกคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ไกล

เด็กหนุ่มก้มมองมือตัวเองที่เมื่อครู่เผลอคว้าแขนเจ้าชายไว้เต็มมือ ความอุ่นวาบที่สัมผัสได้เหมือนจะเป็นสัญญาณบางอย่างที่เขาไม่ควรมองข้ามไป...




TBC


talk เหมือนมาต่อเร็ว...ไม่ใช่ค่ะ อันนี้คือสต๊อคที่เก็บไว้ 5555555555

Farundelle :: ภาค 1 :: 01 คนธรรมดา

Farundelle :: ภาค 1 ::  01 คนธรรมดา



ธงสีดำลายทองปลิวไสวไปตามแนวของกำแพงสูง กลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิโอบล้อมความสดใสมาสู่ปราสาทหลังงามกลางแนวธารแม่น้ำสายใหญ่ บรรยากาศครึกครื้นล่วงเลยมาจนเกือบถึงช่วงสุดท้าย ผู้คนมากหน้าหลายตาทยอยกันเข้าออกเมืองขนาดเล็กที่มีชื่อเรียกตามที่ตั้ง... ‘ริเวอร์ธาน’


“เอล พี่กลับนะ อยู่ได้จริงๆ ใช่ไหม”


คำถามนั้นดังขึ้นอย่างเป็นกังวล ชายหนุ่มก้มสบตากับเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างชั่งใจ แม้อีกฝ่ายจะยิ้มตอบอย่างมั่นคงแค่ไหนก็ตาม


“กลับไปเหอะอัล ป่านนี้อาร์ยากับไอร์ลาร้องไห้หากันใหญ่แล้ว” เด็กหนุ่มตอบคนเป็นพี่ ก่อนที่มือสากกร้านของอัศวินจะขยี้หัวเบาๆ

“ร้องไห้หานายด้วยนั่นแหละ...พี่ไปจริงๆ แล้ว ตั้งใจเรียนล่ะ อย่าลืมเขียนจดหมายมาตามที่คุยกันด้วย” อัลฟอร์ดกำชับก่อนจะหันหลังเดินออกไปตามถนน

“ฝากพ่อแม่ด้วยนะอัล!!” ตะโกนไล่หลังไปซึ่งอีกฝ่ายก็แค่ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่ารู้แล้ว


‘เอล ไอเม่ แอสเซียร์’ กำลังยืนเคว้งอยู่ท่ามกลางถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน ช่วงเวลานี้ของปีริเวอร์ธาน จะเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ขายเสมอ เพราะมันคือช่วงเวลาของการทำมาหากิน...ช่วงรับสมัครและเปิดภาคเรียนของ ‘ฟารันเดล’

เด็กหนุ่มเดินไปตามทางที่ปูด้วยหินอย่างใจเย็น แม้ความรู้สึกตื่นตัวจะกำลังแล่นไปมาทั่วร่าง ปราสาทขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ที่ปลายทางของเขา แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เข้าไปเหยียบ แต่นับจากวินาทีนี้มันคือโรงเรียนและที่ซุกหัวนอนอีกหลยปี


“นี่ไอ้หนู ประตูหน้าของฟารันเดลไปทางไหนหรือ” คำถามดังจากชายร่างยักษ์พร้อมกับสัมภาระมหาศาลบนหลังบอกได้ไม่ยากเลยว่าเขาเป็นพ่อค้าที่ตั้งใจจะมากอบโกยเงินจากช่วงเวลาทอง

“ผมกำลังจะเข้าไป เดินไปด้วยกันก็ได้นะครับ” เอลตอบพร้อมกับออกเดินนำอีกฝ่ายไปตามฝูงชน

“เอ้า ไอ้หนู! นี่เป็นเด็กฟารันเดลหรือ เก่งนี่หว่า” คุณลุงพ่อค้าที่เดินตามมาชวนคุย

“ไม่หรอกครับ ผมคงโชคดี” เด็กหนุ่มส่ายหัวจนเส้นผมสีทองละเอียดปลิวไปตามแรง

“แหม เข้าได้ก็เก่งทั้งนั้นแหละ อนาคตสบายแล้ว โรงเรียนนี้มันมีแต่เจ้าชายเจ้าหญิงเขาเรียนกัน เข้าไปกินนอนเดี๋ยวรัศมีเจ้านายก็จับเอง” พ่อค้าอารมณ์ดีหัวเราะเอิ้กอ้ากพร้อมกับตบหลังจนเอลแทบหน้าคว่ำ “แล้วเราชื่ออะไรล่ะ ลุงชื่อเฮค...เฮค คอร์นฟอน”

“เอล...แค่ชื่อดีกว่า เดี๋ยวลุงก็ลืมผมแล้ว”

“โฮ้ย เห็นงี้ลุงจำคนเก่งนะไอ้หนูเอล คราวหน้าถ้าเจอกันอีกแล้วเรียกชื่อถูกต้องเลี้ยงเอลซักเหยือกนะเว้ย”


พ่อค้าร่างยักษ์โบกมือลาเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงประตูขนาดใหญ่ เอลกระชับสายหนังในมือ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดน...ปราสาทฟารันเดล

เด็กหนุ่มย้ายของเข้ามาแล้วรอบนึง ก่อนจะเดินออกไปส่งพี่ชายที่ข้างนอก ตอนนี้ทั้งตัวเขาจึงมีแต่ถุงหนังที่มีเงินเล็กน้อยกับดาบเล่มเก่าของพี่ชาย เอลนั่งรอในส่วนที่จัดไว้ให้นักเรียนมารายงานตัวพลางเท้าคางมองคนมากหน้าหลายตาที่ทยอยเข้ามาในห้องโถง นักเรียนแต่ละคนถ้าไม่ดูมีลักษณะของนักรบ พ่อมดแม่มด ก็จะเป็นพวกเจ้าชายเจ้าหญิง ฟารันเดลเป็นโรงเรียนหนึ่งเดียวที่ได้รับการรับรองจากกษัตริย์ทั้ง6แคว้น จึงไม่แปลกที่บรรดาเชื้อพระวงศ์จะนิยมส่งลูกหลานมาเรียนที่นี่


เอลเอ๋ย จงสำลักความธรรมดาตายไปซะ


เด็กหนุ่มผมทองบอกตัวเองขำๆ แล้วลูบที่อกข้างซ้ายด้วยความเคยชินเวลาที่ใช้ความคิด เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก่อนจะสบกับดวงตาสีแดงคู่หนึ่งที่ยิ้มให้แล้วสาวเท้าเข้ามา


“เฮ้ ฉันชื่อฟอน นายชื่ออะไร” คนร่างสูงโปร่งเอ่ยทักพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

“เอล” อีกฝ่ายพยักหน้ารับหงึกหงักก่อนจะหันมาชวนคุย

“นายมาจากไหน ทำไมถึงมาเรียนที่ฟารันเดล”

“มาจากอีสเทรีย นายล่ะ?”

“ฉันมาจากเซส” ฟอนตอบก่อนจะถอนหายใจเฮือกแล้วลดระดับเสียง “นายเป็นคนธรรมดาใช่ไหม”

“หา?”

“หมายถึงไม่ได้เป็นเจ้าชาย ทายาทนักรบ หรือผู้สืบทอดเวทมนตร์โบราณอะไรแบบนั้น!” เอลทำหน้าเหวอก่อนจะขำพรืดออกมาแต่คนพูดกลับแย้งจริงจัง “ไม่ตลกนะ!! นี่ฉันกำลังรวบรวมสมาชิกคนธรรมดาแห่งฟารันเดลอยู่”

“ธรรมดาของแท้แน่นอนเลยล่ะ” เด็กหนุ่มยิ้มให้

“ดีมากพันธมิตรอันดับหนึ่ง” ฟอนสะบัดผมสีน้ำตาลยาวที่รวบไว้ลวกๆ ไปมา “คนธรรมดาอย่างเรามันต้องหาเพื่อน เพราะบรรดาเจ้าชายทั้งหลายคงไม่ลดตัวลงมาคุยกับพวกเรา”

“ขนาดนั้นเชียว?” เอลถามพลางหันไปสำรวจคนอื่นอีกครั้ง

“หึ ดูอย่างคนนั้น” พยักเพยิดไปทางกลุ่มคนที่ดูโดดเด่นชัดเจน “คนที่สูงๆ ผมดำตาดำนั่นเจ้าชายดำแห่งเซส ส่วนผู้หญิงตาสีแดงข้างๆ คือเจ้าหญิงอิลิเอส จอมเวทย์แห่งราชสำนัก”

“ไม่ดีหรือ ได้โอกาสตีซี้กับเจ้าหญิงเจ้าชายแคว้นตัวเองเชียว”

“กล้าหรือ...เข้าใกล้ก็เข่าอ่อนแล้ว” ประชาชนของเจ้าหญิงเจ้าชายที่ว่าส่ายหน้าวืด


เสียงประกาศจากอาจารย์สาวร่างอวบทำให้ทั้งคนที่ยืนคุยเล่นรีบเข้าไปนั่งประจำที่กันอย่างเรียบร้อย ก่อนที่การปฐมนิเทศเริ่มขึ้น


“ในฐานะตัวแทนคณาจารย์แห่งฟารันเดล ขอกล่าวต้อนรับพวกเธอทุกคน...”


ทันทีที่เริ่ม ไอ้คนตาแดงก็เริ่มปรือตาลงจนเอลได้แต่เหล่มองอย่างหมั่นไส้


“...ไม่ว่าใครจะมาจากไหน เป็นใคร เป็นเจ้าชาย เป็นจ้าวมนตราหรือนักรบ แต่ที่นี่...พวกเธอทุกคนคือนักเรียนของฟารันเดล จงสละทุกสิ่งที่ติดตัวมาแล้วเริ่มนับหนึ่งพร้อมกัน”


ฟอนที่เกือบสัปหงกเงยหน้าขึ้นมาผิวปากหวือ


“นายว่าเจ้าหญิงมีเดียน่าแห่งเวสเทรลจะลดองศาปลายคางลงมาเป็นคนปกติได้ไหม” พยักเพยิดไปทางหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่นั่งเชิดหน้าอยู่

“ลองไปถามดูไหมล่ะ ฉันอยากเห็นคนถูกสาปเป็นกบ” คนไม่ชอบมีเรื่องโต้กลับเรียบๆ


“...สุดท้ายนี่ก็ยินดีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ขอต้อนรับสู่ ฟารันเดล” อาจารย์กล่าวจบแล้วทั้งห้องก็เกรียวกราวไปด้วยเสียงตบมือ จนเริ่มซาประกาศต่อไปจึงมา “ต่อไปเป็นการประกาศหอพักนะจ๊ะ”


“นายเลือกอะไร” ฟอนกระซิบถาม

“หอมนตรา”

“อ่าว งั้นคงต้องแยกกัน เพราะฉันเลือกอยู่ป้อมศาสตรา” เพื่อนใหม่ร้องอย่างเสียดาย “ฉันอยากเป็นอัศวิน”

“ถ้างั้นทำไมไม่เรียนโรงเรียนอัศวินของเซส” เอลขมวดคิ้ว

“ที่นั่นปีนึงคนเรียนจบเป็นร้อย แต่ฟารันเดลคนที่เรียนจบเป็นอัศวินมีไม่มาก”

“ฟอน มาคัส แวนโดแวนน์...ป้อมศาสตรา” เสียงประกาศดังลั่นพร้อมกับเสียงปรบมือจากฝั่งป้ายสีแดงเข้มขลิบทอง

“เสียดายแฮะ ไว้เจอกันในห้องเรียนแล้วกัน”

เอลยิ้มให้เพื่อนใหม่เมื่อฟอนทำท่าเศร้าขึ้นมาจริงจังแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรไป เด็กหนุ่มร่างสูงลุกเดินออกไปรวมกลุ่มกับคณะของป้อนศาสตรา และรอบๆ ก็ทยอยหายกันไปทีละคนจนเหลือเขาคนสุดท้ายที่นั่งอยู่


“เอ้อ...” คนประกาศทำหน้าเลิกลั่กเพราะรายชื่อที่อยู่ในมือมันหมดแล้ว และในห้องโถงก็เริ่มมีเสียงซุบซิบดังขึ้นเรื่อยๆ


เอาจนได้สิน่า...


เอลถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้น แล้วเปล่งเสียงออกมากลางห้องโถง


“เอล ไอเม่ แอสเซียร์ ผู้สอบเข้าลำดับที่37 ผมขอเอกสารรับรองมาด้วยตอนสอบผ่าน”


เขาหยิบแผ่นกระดาษที่มีตราประทับของฟารันเดลขึ้นมาโชว์ เสียงพูดคุยจึงยิ่งดังขึ้น จนชายสูงวัยผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ของฟารันเดลและผู้ปกครองแห่งริเวอร์ธานก้าวออกมา


“เอล ไอเม่ แอสเซียร์ ขออภัยสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น” ผู้วิเศษเคเรอัสยิ้มอย่างใจดี “ป้อมศาสตรา”


เอลเบิกตากว้างอย่างตกใจเขาอ้าปากจะเถียง แต่ชายชรากลับผายมือให้เขาไปทางเดียวกับที่ฟอนเพิ่งเดินไปโดยไม่ให้สิทธิ์ในการตอบโต้ เขาจึงต้องเดินไปทางกลุ่มคนที่ส่งเสียงเฮรับอย่างจำใจ เด็กหนุ่มตาแดงยิ้มกว้างพร้อมกับกวักมือเรียกให้เข้าไปนั่งข้างๆ


“ไหนบอกว่าหอมนตราไง” ฟอนกระเซ้า

“ไม่รู้” เอลบ่นเบาๆ ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะก๊าก

“เอาน่า ตอนจบปีแรกค่อยทำเรื่องย้ายก็ได้ ไม่เลวร้ายนักหรอก”

“หวังว่านะ” ถอนหายใจเฮือก


ฟารันเดลเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนอยู่สองหลักสูตร ปกติเด็กที่เข้าเรียนใหม่ทุกคนจะได้เลือกสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อตอนที่สมัครสอบ ครั้งที่สองเมื่อผ่านไปได้หนึ่งปี เมื่อเลือกครั้งที่สองแล้วจะไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนใจอีกนอกเสียว่าจะลาออก

อย่างไรเนื้อหาที่เรียนในปีแรกก็เหมือนกันทั้งสองหอ...อยู่ที่ไหนก็ไม่ต่างกันนักหรอก


“ว่าแต่นายดูไม่แปลกใจสักนิดที่ชื่อตัวเองหาย” ฟอนเผยรอยยิ้มกว้างจนตาสีแดงเป็นประกาย “แถมมีขอเอกสารรับรองไว้ด้วย คนส่วนใหญ่เขามักจะขอไว้ส่งกลับบ้านกันไม่ใช่หรือ”

“ก็แค่ยังไม่ได้ส่งล่ะน่า” เด็กหนุ่มผมทองเอ่ยปัด


ทั้งคู่เดินตามที่พวกรุ่นพี่พามาจนถึงป้อมศาสตรา สถานที่กินนอนนับจากนี้ไปอีกหลายปี ลักษณะป้อมสูงใหญ่และงดงามแม้จะดูเก่าไปบ้างแต่ก็ยังคงความยิ่งใหญ่ไว้ได้ดี


“เอาล่ะน้องๆ ไอ้ป้อมนี่ถึงมันจะเก่าไปบ้างแต่ก็พอซุกหัวนอนกันได้ล่ะนะ” คนเป็นรุ่นพี่กระแอมเบาๆ “เราจะพักกันที่นี่ มีสวัสดิการทุกอย่างเท่าที่จะอำนวย ส่วนห้องเรียนก็ค่อยไปศึกษาเอาเองแล้วกัน”


หลายคนร้องอ่าว เพราะได้ยินว่าทางหอมนตราจะพาเด็กใหม่ไปสำรวจโรงเรียน


“หอเรามันคนน้อยงานยุ่ง ช่วยเหลือตัวเองไปเหอะ” รุ่นพี่อีกคนหัวเราะ “ต่อไปจะเป็นห้องนอน พักสองละสองคน ทั้งหมดเป็นการสุ่ม...ยกเว้นห้องแรก”


เสียงฮือฮาดังขึ้นจนรุ่นพี่ผู้หญิงอีกคนต้องเอาปลอกดาบเคาะกับพื้นอิฐเสียงดัง


“...ห้องแรกของชั้นปีจะเป็นห้องของคนที่คะแนนสอบเข้าสูงสุด มีห้องน้ำในตัว ห้องใหญ่สุด สบายสุด แต่เปลี่ยนทุกปีตามอันดับคะแนนสอบเลื่อนชั้น” บรรดารุ่นพี่ยิ้มพราย

“นายว่าใคร” ฟอนสะกิดไหล่เพื่อนใหม่ยิกๆ

“คนแรกคือเจ้าชายของนายแน่ๆ” เอลตอบกลับอย่างนึกสนุก ร่างสูงของเจ้าชายลำดับที่สามแห่งเซสยืนนิ่งห่างออกไปไม่มาก

“อีกคนคือนาย” คนจากเซสเดา

“จะบ้าเรอะ” ฝ่ายถูกทำนายขมวดคิ้ว

“อย่ามาทำตัวธรรมดาเลยเอล นายมันไม่ธรรมดาแน่ๆ” ฟอนยิ้มกว้าง “อีกอย่าง ฉันอยากรู้ว่าอยู่กับเจ้าชายมันเป็นไง ถ้าเป็นนายก็สัมภาษณ์ง่ายหน่อย”

“ขอให้โดนเองเหอะ” เอลกัดฟันขู่แต่อีกคนกลับลอยหน้าลอยตาจนน่าเตะ


“ผู้โชคดีของปีนี้...” รุ่นพี่หยุดไปเล็กน้อยก่อนจะประกาศลั่น


“เรนาร์ด ฟรานเชส เลอองธัวร์ กับ ฟอน มาคัส แวนโดแวนน์”


เอลแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อไอ้คนข้างๆ เข้าใกล้คำว่าช็อคตาตั้ง ฟอนมีสภาพเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างทันทีที่คำชี้ชะตาผ่าลงมากลางหัว


“ไว้จะไปสัมภาษณ์นะ ว่าอยู่กับเจ้าชายแห่งเซสเป็นยังไง”


เอลตบบ่าเพื่อนใหม่อย่างสะใจ ก่อนจะเหลือบไปมองอีกคนที่ถูกประกาศชื่อที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่นิดเดียว ชื่อของแต่ละคนหลุดออกจากปากรุ่นพี่ไปทีละสองชื่อจนหมด ก่อนจะที่คนประกาศจะหันมามองเด็กหนุ่มหัวทองอย่างลำบากใจ


“สำหรับนาย เอล ไอเม่ แอสเซียร์ ใช่ไหม” เขาพยักหน้ารับ “รอก่อนนะ เพราะชื่อนายมันหายไปเลยยังไม่มีห้องให้อยู่”

“เกิดอะไรขึ้นหรือนีชา” เสียงทุ้มนุ่นนวลดังขึ้น พร้อมกับชายหนุ่มที่มีเรือนผมสีทองงดงาม ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันที


“เจ้าชายเธโอฟีลแห่งอีสเทรีย” ฟอนกระซิบ “หัวหน้าป้อมศาสตราคนปัจจุบัน”


เอลพยักหน้า เขาเคยเห็นเจ้าชายรัชทายาทแห่งอีสเทรียอยู่บ้างสมัยที่ยังไม่ได้มาเข้าเรียนที่ฟารันเดล รอยยิ้มอ่อนโยนกับดวงหน้างดงามคือความฝันสูงสุดของหญิงสาวชาวอีสเทรียทุกคน


“มีน้องรายชื่อหายน่ะเธโอ แถมเป็นเศษอีก เลยไม่รู้จะเอาไง” นีชาหันไปบอก

“อ้อ” เจ้าชายคนงามเลิกคิ้ว “งั้นเอาแบบปีเราก็ได้”

“เอางั้นหรือ?...นายว่าไงก็ว่างั้นแล้วกัน” คนประกาศทำหน้าลำบากใจก่อนจะหันกลับมาหาเอล

“ป้อมเรามันคับแคบ ห้องหับอะไรมันก็ไม่ค่อยพอ นายไปอยู่แปะกับห้องอื่นแล้วกัน” นีชาชี้แจง “แต่ห้องปกติมันก็คับแคบเกินไป...”

“พี่หมายความว่า...” เอลเริ่มรู้สึกถึงลางร้าย

“พี่เชื่อว่าเพื่อนๆ ของน้องคงจะมีน้ำใจ” เธโอฟีลชิงตอบ “โดยเฉพาะห้องที่ใหญ่ที่สุด”


เอลรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมากลางกบาลพร้อมกับเสียงหัวเราะลั่นจากฟอน มาคัส แวนโดแวนน์


++++++


เอลลากกระเป๋าของตนเข้ามาในห้องพัก ขนาดของมันไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ก็นับว่าสะดวกสบายทีเดียวสำหรับคนธรรมดาอย่างเขา หน้าต่างกว้างที่ต่อออกไปกับระเบียงทำให้ห้องดูสว่างและน่าอยู่ จะติดก็แค่ที่ทั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะหนังสือและเตียงมีแค่สองชิ้นทั้งหมด

เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่เตียงเสริมขนาดเล็กจะถูกเอามาแทรกไว้ตรงกลางระหว่างสองเตียงจนเหมือนเตียงทั้งหมดติดกัน เอลขยับมือเล็กน้อยกระเป๋าใบโตก็ลอยขึ้นมาวางบนเตียงก่อนจะสะดุ้งเมื่อเตียงข้างๆ ถูกลากออกไปจนชิดระเบียง


“เฮ้ๆ เรนาร์ด ทำแบบนั้นก็เปิดประตูระเบียงไม่ได้น่ะสิ” ฟอนท้วง

“ก็ดีกว่าพวกนายต้องเลื่อนเตียงไปชิดตู้แล้วเปิดตู้ไม่ได้” ประโยคแรกจากเจ้าชายแห่งเซสทำเอาอีกสองชีวิตต้องหุบปาก


“รังเกียจกันขนาดนั้นเลยหรือวะ” คนถูกย้อนบ่นงึมงำ

“ไหนว่าเข้าใกล้ก็เข่าอ่อนแล้วไง” เอลกระเซ้า

“ต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน มันต้องทำใจดีสู้เสือกันหน่อย”

“เสือคงไม่พอ...อย่างต่ำต้องมังกรมั้ง”


ฟอนทำหน้าเซ็งโลก ก่อนจะชวนเพื่อนใหม่ที่จัดของเสร็จแล้วออกไปสำรวจที่ห้องเรียน ส่วนเรนาร์ดนั้นหายตัวไปก่อนหน้าแล้ว

ทั้งสองเปลี่ยนชุดเป็นเครื่องแบบสีดำสนิทแล้วประดับตราของป้อมศาสตราที่เป็นสีแดงเข้มขลิบทองบนปกเสื้อ เอลมองตัวเองในกระจกอย่างพอใจ เขาซื้อชุดที่ใหญ่กว่าตัวเล็กน้อยเผื่อมีร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ส่วนฟอนเองก็ดูดีไม่น้อยเมื่ออยู่ในเครื่องแบบ

เอลกับฟอนเดินคุยเล่นไปตามทางเดินของปราสาทกลาง แล้วก็สำรวจเส้นทางสำหรับห้องเรียนไปด้วย


“ทำไมนายถึงมาเข้าฟารันเดล” คำถามที่โดนบ่ายเบี่ยงมาตลอดถูกถามขึ้นอีกครั้ง

“เพราะเข้าได้น่ะสิ” เอลตอบสั้นๆ

“อะไรกัน อุตส่าห์ดั้งด้นจากอีสเทรียมาเรียนถึงนี่มันต้องมีแรงจูงใจกันบ้างดิ” ฟอนโวยวาย “นายอยากเข้าหอมนตรา อยากเป็นจอมเวทย์อะไรแบบนั้นหรือไง”

“เปล่า...ก็แค่พอใช้เวทได้บ้าง เลยอยากเรียนดู”

“ถ้าแค่นั้นเรียนที่อีสเทรียก็ได้” คำถามที่เคยถามถูกเอามาย้อนใส่

“ก็บอกแล้วว่าเพราะเข้าได้เลยมาเรียน”


ฟอนสะบัดหน้าหนีแล้วก็บ่นหงุงหงิงเรื่องชีวิตต้องสาปให้มาอยู่กับคนเย็นชาพร้อมกับถึงสองคน แต่เอลก็ไม่ได้หันไปสนใจมากนัก

เมื่อทั้งคู่เดินไปที่โรงอาหารเอลก็ค่อนข้างตื่นตาตื่นใจกับอาหารต่างๆ ที่ไม่เคยเห็น


“ไม่เคยออกจากอีสเทรียเลยสิ” ฟอนถามพร้อมกับแนะนำให้รู้จักกับของกินพื้นเมืองของแต่ละที่

“ไม่เลย นายเดินทางบ่อยหรือ”

“ก็พอควร บ้านฉันมันชีพจรลงเท้า อยู่กับที่นานๆ ไม่เป็นหรอก” คนตัวสูงยักไหล่ก่อนจะหันไปเจอสายตาสองคู่ที่มองตรงมาอยู่ก่อน

“เฮ้ นายสองคนอยู่ห้องแรกสินะ” เด็กหนุ่มร่างยักษ์ที่มีรอยแผลเป็นบนหน้าร้องทัก พร้อมกับคนผมเงินที่เดินตามมาพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร

“ใช่...ขอร้องล่ะ แลกห้องกับฉันที” ฟอนตอบด้วยเสียงเหนื่อยหน่าย

“อะไรกัน นั่นมันมีแต่คนอยากอยู่นะว้อย” คนมาใหม่หัวเราะแล้วตบไหล่อันห่อเหี่ยวของฟอน “จาไฮน์ นอธ”

“ฟอน แวนโดแวนน์” ฟอนตอบแล้วก็ชี้มาทางเพื่อน “เอล แอสเซียร์”

“รู้แล้วล่ะ พวกนายมันคนดัง” จาไฮน์หัวเราะร่า

“ริอัล โดโนเรส” เด็กหนุ่มที่มีเส้นผมสีเงินแนะนำตัว

“โดโนเรส? นายมาจากไอซ์เบิร์ก?” เอลหันไปสบดวงตาสีฟ้าใส

“ใช่ แต่ฉันไม่รู้จักตระกูลแอสเซียร์นะ” ทายาทตระกูลจอมเวทย์แห่งทิศเหนือตอบกลับยิ้มๆ


ไปๆ มาๆ ทั้งหมดเลยพามานั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน ฟอนที่ตั้งตัวเป็นประธานสมาคมคนธรรมดาแห่งฟารันเดลเลยลากเอาจาไฮน์กับริอัลที่เอลไม่เห็นว่าจะธรรมดาตรงไหนมาร่วมด้วย

เอลฟังเรื่องราวของคนที่เดินทางไปทั่วอย่างฟอนกับจาไฮน์อย่างสนุกสนาน เขาเกิดและโตที่ทางเหนือของอีสเทรีย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกจากบ้านมาไกลขนาดนี้ เรื่องราวที่สองคนเล่าบ้างโม้บ้างจึงฟังดูน่าตื่นตาตื่นใจไปหมด

เสียงจ้อกแจ้กในห้องเงียบลงในชั่วอึดใจที่บานประตูกว้างเปิดออก กลุ่มคนที่ก้าวเข้ามาดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ชะงัด


“นั่นเพื่อนร่วมห้องพวกนาย” จาไฮน์ลอบชี้ไปทางร่างสูงสง่าของเจ้าชายแห่งเซส ดวงหน้าคมคายเรียบเฉยไม่แสดงอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว

“เหมือนมังกรดำสมกับเป็นเจ้าชายแห่งเซส” ริอัลวิจารณ์ด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย

“มังกรดำ...”



เอลพึมพำ มองคนที่มีเส้นผมและนัยน์ตาสีดำสนิท กับตราประจำราชวงศ์เลอองธัวร์อันเป็นมังกรเกล็ดสีนิลกาลและตาแดงดังทับทิม





TBC



talk สักนิด...แต่คิดว่าไม่น่าจะมีคนเปิดมาอ่าน นี่เป็นนิยายเก่าเก็บของเราเองค่ะ เขียนมาสามชาติไม่จบสักที วันนี้นึกครึ้มเอามาเขียนแก้เลยว่าจะหาที่ลงไว้หน่อย ใครเผลออ่านไปแล้วสามารถทวงได้นะคะ แต่ไม่รับปากเรื่องตอนต่อ 55555555 //โดนตบ

Saturday 10 October 2015

แชร์ประสบการณ์มีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคซึมเศร้า

แชร์ประสบการณ์มีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคซึมเศร้า

ตามหัวข้อเลยค่ะ

ข้อความด้านล่างนี้คือมาจากtwitter(@velvetronica)ที่เราทวิตไว้ตั้งแต่วันที่ 1/8/58 พอดีวันนั้นได้มีโอกาสไปอ่านเรื่องของคุณหนานไพ่ซานซู(นักเขียนนิยายชาวจีน)เล่าเรื่องที่ตัวเองป่วยเป็นbipolar disorder เราเลยอยากแชร์เรื่องของตัวเองเผื่อจะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนที่กำลังพยายามอยู่
แล้วเมื่อวานเพิ่งส่งให้เพื่อนอ่านไป คุ้ยอยู่นานจนคุณปอยิ้มมาช่วยคุ้ย เลยคิดว่าควรจะเก็บให้เป็นที่ทางหน่อย เอามาลงบลอคจะได้หาง่าย :)




แม่เราเป็นโรคซึมเศร้า ตอนแรกก็เริ่มจากเบื่อนู่นเบื่อนี่ ไม่ยอมออกจากบ้าน เจอเรื่องอะไรก็มองโลกในแง่ร้ายไปหมด ตอนนั้นก็ทะเลาะกับคนในบ้านตลอด

เราเป็นคนที่อยู่หอ แล้วก็สนิทกับแม่มากกว่าพ่อ นานๆกลับบ้านทีเราก็จะเข้าข้างแม่ โอ๋แม่ตลอดๆ แบบม๊าไม่ผิดนะ คนอื่นไม่เข้าใจ แบบไบแอสสุด

พอนานๆเข้า ก็เริ่มทะเลาะกับคนที่บ้านหนักขึ้น บวกกับตอนนั้นที่บ้านมีปัญหาอยู่แล้ว สภาพในบ้านก็ตึงเปรี๊ยะ แล้วตอนนั้นแม่ก็โทรมาร้องไห้ใส่บ่อยๆ

เราไม่เคยคิดว่าแม่เป็นโรคซึมเศร้าเลย (ทั้งที่เรียนมาแล้วนะ) ตอนนั้นคือไม่เข้าใจว่าไม่เข้าใจพ่อกับพี่สาวว่าทำไมดูแลแม่ไม่ดี //โทษเขาไปอีก แย่

เรื่องก็แย่ลงๆๆ ทุกคนก็เริ่มไม่ฟังแม่ มีแต่เราที่exposedแม่น้อยสุดเพราะอยู่หอเป็นคนฟัง ...แล้วตอนนั้นก็มีประเด็นขึ้นมาว่าคนใกล้ตัวเป็นไบโพลา

เราถึงเอะใจแล้วกลับมาย้อนคิดว่าแม่ป่วยรึเปล่า ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจถามแม่ไปว่า แม่อยากไปหาหมอมั้ย ถ้ามันรู้สึกไม่โอเค แค่ลองไปคุยดูก็ได้

ซึ่งแน่นอน...ปฏิเสธจ้ะ แม่ก็บอกขอไปคิดดูก่อน แล้วก็เงียบหายไป จนมีอยู่วันนึงที่เรากลับบ้าน แล้วแม่ขับรถมาส่งเราที่หอ จู่ๆแม่ก็นั่งร้องไห้

ตอนนั้นไม่โอเคมาก เลยบอกให้แม่จอดรถแล้วก็นั่งคุยกัน บอกว่าแม่ไปหาหมอมั้ย หนูพาไปนะ //จริงๆวันนั้นกำลังจะไปอยู่เวรก็ต้องขอแลกแบบกราบเพื่อนงาม

คุยอยู่นานแม่ก็ยอมไปในที่สุด แล้วตอนที่เราพาแม่ไปถึงรพ. แม่ก็ขอว่าไม่บอกพ่อได้มั้ย เราก็ไม่รู้จะทำไง ตอนนั้นก็แอบกลัวพ่อรับไม่ได้เหมือนกัน

แต่สุดท้ายมันก็ต้องบอกแหละนะ แม่เข้าไปตรวจ แล้วเราก็โทรบอกพ่อ พ่อก็ขับรถมารพ. แล้วเราก็อธิบายเรื่องโรคซึมเศร้าให้พ่อฟังคร่าวๆ

คือลุ้นมาก คือพ่อเราก็มีความหัวโบราณอยู่ กลัวพ่อรับไม่ได้มากๆ แต่พอเราอธิบายจบ พ่อก็ถามเพิ่มเรื่องการรักษากับอะไรนิดหน่อยแล้วก็เงียบไป

เราก็เลยถามว่าพ่อรับได้มั้ย พ่อก็เงียบไปแปป แล้วก็บอก ถ้าบอกว่ามันคือโรคที่สารสื่อประสาทในสมองไม่สมดุล มันก็คือป่วย ก็รักษาไง แล้วก็ตบหัวเรา

น้ำตาร่วงเลยทีเดียว... คือโล่งใจมาก คือตอนนั้นพ่อแม่เราทะเลาะกันบ่อยมากเพราะอาการซึมเศร้านี่แหละ มันทำให้เรากลัวพ่อไม่เข้าใจมากๆ

ซึ่งหลังจากแม่ตรวจเสร็จ ก็เป็นซึมเศร้าจริงๆ ได้ยากลับมากินปริมาณนึง แล้ววันนั้นพ่อก็จูงแม่ขับรถกลับบ้าน //ส่วนเราก็ไปอยู่เวรรัวๆใช้กรรม...

สองสามอาทิตย์แรกที่เริ่มกินยา แม่โทรมาโวยวายกับเราหลายอย่างมาก ทั้งนอนไม่หลับ ง่วงนะหว่างวัน คลื่นไส้อาเจียน แถมอารมณ์ก็ยังแย่อยู่ บลาๆๆ

ซึ่งในการกินยาโรคซึมเศร้าในช่วงแรกมันจะไม่ได้ดีทันทีเลย มันจะเริ่มเห็นผลในประมาณ1-2สัปดาห์ และก็จะยังไม่หายขาดทันที ต้องกินไปเรื่อยๆ

ต้องคอยย้ำว่าให้กินไปก่อน แล้วช่วงอารมณ์ที่ซึมเศร้ามันจะค่อยๆลดลง แล้วก็ห่างขึ้นๆช้าๆ แต่ต้องกินยาสม่ำเสมอนะ

ส่วนเรื่องผลข้างเคียง มันแล้วแต่ยาที่กินและแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน อย่างของแม่เราคือง่วงมาก ง่วงตลอดเวลา จนต้องไปขอปรับยาเพราะจะหลับในตอนขับรถ

ซึ่งหลังจากปรับยาอยู่เป็นเดือนๆแม่เราก็เริ่มเข้าที่ในเดือนที่สาม แล้วก็กินต่อๆมา จนตอนนี้หายดีสบายดีแล้ว แต่ก็ยังกินยาต่อไปก่อน

จะบอกว่าไอ้โรคซึมเศร้าหรือไบโพลาหรือใดๆเนี่ย การที่เรายอมรับแล้วไปหาหมอ นอกจากมันจะดีกับตัวเองแล้ว มันยังดีกับคนรอบข้างมากๆด้วย

ตอนที่แม่แย่มากๆคือพูดไม่รู้เรื่องเลย ซึ่งเราก็เครียดมากไปด้วยเพราะเราต้องอยู่หอ อยู่เวร พอแม่โทรมาร้องไห้มันก็อยากไปหาไปปลอบ แต่ทำไม่ได้

ช่วงที่แม่ยังไม่ยอมไปหาหมอ กับช่วงที่ไปหาแล้วแต่ยังปรับยาได้ไม่ดีเนี่ย ตอนนั้นคือเครียดพีคมาก นั่งร้องไห้ปรับทุกข์ใส่รูมเมทจนจะโดนไล่ไปหาอ.

แต่พอผ่านช่วงนั้นมาได้ มองย้อนกลับไปดูแล้วก็โล่งใจมากๆ รู้สึกคิดถูกมากที่พาแม่ไปหาหมอ

ทุกวันนี้เรายังเอาเรื่องนี้มาคุยเล่นกับแม่ได้เลย แม่ก็จะบอกว่า ถ้าเราไม่พาไปตอนนั้น ใครจะกล้าไปเอง ไม่รู้จะไปหาใคร ไปบอกว่าอะไร

ซึ่งคำแนะนำของเราก็คือ เดี๋ยวนี้รพ.เอกชนก็มีจิตแพทย์ค่ะ เสิร์ชดู ชอบรพ.ไหนก็ไปเลย หรือถ้าไม่กล้าไปก็โทรสายด่วยสุขภาพจิตก่อนก็ได้ค่ะ 1667

เราอยากเห็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทุกคนได้รับการรักษาและการตอบสนองที่ถูกต้องค่ะ อย่ากลัวที่จะพาคนที่เรารักไปหาหมอนะคะ

*เพิ่มเติม*
1667 มันจะเป็นสายให้ความรู้เรื่องโรคและภาวะต่างๆ

แต่ถ้าอยากได้คำปรึกษาแบบhotlineโทร 1323 นะคะ

อีกประเด็นที่เราเล่ามายาวยืดเนี่ย ก็เพราะจะบอกว่า เราดีใจที่เห็นคนในทีแอลรอบๆเราให้ความสำคัญและมีมุมมองที่ดีในเรื่องนี้ แต่ว่าๆ

เราเข้าใจว่ามันไม่ง่าย ที่จะไปหรือจะพาใครสักคนไปหาจิตแพทย์ ขนาดเราเองเรียนมาเองแท้ๆ กว่าจะพาแม่ตัวเองไปได้ //ตอนนั้นก็ยังเด็กกว่านี้ด้วยแหละ

ด้วยค่านิยมและอะไรหลายๆอย่าง เราเข้าใจจริงๆว่ามันไม่ง่ายสำหรับใครเลยที่จะยืดอกว่าเราหรือคนรอบตัวเราเป็นซึมเศร้าแล้วเดินไปหาหมอเอง

ตอนนั้นสำหรับเรามันก็ไม่ง่าย เรายังจำความรู้สึกที่ขอให้แม่ไปหาหมอ กับที่โทรบอกพ่อให้มาหาได้ดี ดังนั้นใครที่กำลังจะทำแบบเราอยู่ ขอให้สู้ๆนะคะ

มันอาจจะไม่สำเร็จในครั้งแรก หรือมันอาจจะไม่ราบเรียบอย่างเรื่องของเรา แต่อย่าเพิ่งหมดกำลังใจนะคะ

คนที่อยู่รอบตัวคนที่ป่วยก็ต้องการกำลังใจเหมือนกัน อย่าลืมที่จะหาความรู้สึกดีๆให้ตัวเองด้วย แล้วค่อยๆ ประคองเค้าผ่านไปด้วยกัน


Link twitter >>> https://twitter.com/velvetronica/status/627181564674248704


หวังว่าจะได้เป็นกำลังใจให้ทุกๆคนนะคะ :)

Sunday 13 September 2015

[เรื่องสั้น] 'วันฝนตก' :: ร่มสีดำกับดินสอไม้

ร่มสีดำกับดินสอไม้

1

              วันนี้ฝนตก...
เครื่องปรับอากาศในร้านเหมือนจะได้โอกาสอู้งาน เพราะขณะนี้อุณหภูมิในร้านกาแฟเล็กๆ ดูจะอบอุ่นขึ้นทันตาเมื่อเทียบกับภายนอกที่เฉอะแฉะ หยดน้ำบนกระจกใสทำใหมองเห็นภาพภายนอกได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ในรายละเอียดที่เลือนลางก็ทำให้ได้เห็นสีสันต่างๆ ในมุมกว้าง
ชายหนุ่มวางดินสอในมือลงแล้วมองออกไปอย่างตั้งใจ ทะเลแห่งสีสันซึ่งประกอบขึ้นจากร่มกันฝนจำนวนมากของมนุษย์เงินเดือนในเวลาเลิกงานขยับไหลไปตามทางเหมือนคลื่นที่มีชีวิต

มาแล้ว...
จุดสีดำท่ามกลางความสดใสกลับกลายเป็นความโดดเด่นที่เขาไม่อาจละสายตา
เจ้าของร่มสีดำคันนั้นจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือรูปร่างหน้าตาจะเป็นเช่นไรเขาเองก็ได้แต่เดาสุ่มไปเรื่อย หากเป็นผู้หญิงก็อาจจะเป็นสาวใหญ่ใจมั่น ที่รักงานยิ่งกว่าการดูแลตัวเอง คงเป็นคนเก่งที่น่าหลงใหลไม่น้อย
แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็คงจะน่าเบื่อไปหน่อย แต่ก็เหมาะกับพวกนักบริหารที่กลีบเสื้อสูทเรียบกริบประหนึ่งหลุดออกมาจากตู้โชว์

เขาหลุดขำกับตัวเองก่อนจะโบกมือล่ให้คุณร่มสีดำในใจ
ไว้เจอกันใหม่ในวันที่ฝนตกนะครับ


2

วันนี้ฝนตก...
พื้นถนนปุปะกลายเป็นสระขนาดย่อมในทันทีเมื่อท่อระบายน้ำอิดออดอู้งานไม่ยอมปล่อยให้น้ำฝนไหลลงไป
ชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดปากหาว อากาศเย็นๆ ชวนให้ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆ อย่างมาก หากไม่ติดว่ามีกองงานมหาศาลรอให้เขากลับไปสะสาง
ความง่วงงุนบังคับให้รองเท้าชื้อแฉะเปลี่ยนทิศทางการเดินขึ้นสู่ร้านกาแฟเล็กๆ บนชั้นสองของร้านขายดอกไม้ริมถนน

อเมริกาโน่ร้อนแก้วใหญ่

เมนูประจำถกสั่งไปตามความเคยชิน แล้วก็เบี่ยงตัวไปยืนรอด้านข้างเหมือนทุกๆ ครั้ง สายตาของเขากวาดไปรอบๆ เหมือนไม่มีจุดหมาย แต่แล้วก็หยุดลงตรงที่ข้างหน้าต่าง
ข้อนิ้วขาวซีดหมุนดินสอไม้ไปมา ในขณะที่เจ้าตัวยังคงเหม่อลอยออกไปยังทิวทัศน์มัวๆ ด้านนอก...ยุคนี้ก็ยังจะมีคนใช้ดินสอไม้แบบนี้อยู่อีก
เขายิ้มกับตัวเอง...คงจะเป็นคนโบราณแบบที่ไม่เล่นแม้กระทั่งอินเตอร์เน็ตด้วยเลยล่ะมั้ง

อเมริกาโน่ร้อนแก้วใหญ่ได้แล้วครับ

ดินสอไม้แท่งนั้นสั้นลงทุกที มาซื้อกาแฟคราวหน้าคงจะเปลี่ยนเป็นแท่งใหม่แล้ว
ไว้จะแวะมาดูแท่งใหม่นะ...คุณดินสอไม้


3

ขอโทษนะครับ

ชายหนุ่มเงยหน้าตามเสียงนั้น ก่อนจะเจอพนักงานใหม่ที่เขาไม่คุ้นหน้าตายืนคอตกด้วยสีหน้าลำบากใจ

ขอให้ลูกค้าท่านอื่นร่วมโต๊ะสักครู่ได้ไหมครับ

หัวคิ้วขยับเข้าหากันทันที ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ สายฝนด้านนอกเสกให้ร้านกาแฟเล็กๆ แห่งนี้แน่นขนัดในพริบตา เก้าอี้ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็เห็นจะมีแต่ที่อยู่ตรงข้ามเขานี่เอง
สุดท้ายถึงแม้จะไม่ชอบให้ใครเข้ามาในพื้นที่เล็กๆ ของตัวเอง แต่ความผิดชอบชั่วดีก็ทำให้ไม่อาจปฏิเสธได้อยู่ดี ชายหนุ่มจึงพยักหน้าออกไปแกนๆ ให้ฝ่ายพนักงานทำหน้าโล่งใจ
ดวงตาผ่านเลนส์แว่นขยับตามไปเพื่อสังเกตคนที่จะมาร่วมโต๊ะ ผู้ชายคนนั้นตัวสูงใส่เสื้อเชิ้ตพับแขนถึงข้อศอกกับกางเกงสแล็คสีดำ ผมตัดสั้นเรียบร้อยเหมือนพนักงานบริษัททั่วไป

ในมือนั้นถือแก้วมัคขนาดใหญ่ที่มีควันฉุย...กับร่มสีดำ


4

ขอโทษด้วยนะครับ!!”

ชายหนุ่มโคลงหัวอย่างไม่ชอบใจนัก แต่เขาก็มีส่วนผิดเองอยู่จึงยอมรับแก้วมัคขนาดใหญ่มาถือไว้ขณะที่พนักงานคนใหม่ของร้านวิ่งไปหาที่นั่งให้
ด้วยความที่เป็นลูกประจำของร้านนี้จนทุกคนจำได้แล้วว่าอเมริกาโน่ร้อนของเขาหมายรวมถึงแก้วกระดาษกลับบ้านจึงลืมกำชับแก่พนักงานคนใหม่ไปเสียสนิท
อันที่จริงก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรนัก...แต่เขาเป็นคนหน้าดุ พอขมวดคิ้วใส่ไปที พนักงานคนนั้นก็ถึงกับหน้าเสียทำอะไรไม่ถูกเข้าไปกันใหญ่

ยืนรออยู่แค่อึดใจก็ได้ความว่ามีโต๊ะแล้วแต่ต้องนั่งร่วมกับคนอื่น เขาจงพยักหน้าส่งๆ ไป อย่างไรก็แค่จิบกาแฟแกวนี้ให้หมด จะได้กลับไปลุยงานเสียที
แต่พอเงยหน้าขึ้นมา เขาก็พบกับดวงตาโตหลังกรอบแว่นสีดำที่มองอยู่ก่อนแล้ว

ข้อนิ้วเล็กชะงักในทันที...ดินสอไม้จึงกลิ้งหลุดจากมือ


5

ดินสอไม้ที่ตกพื้นถูกยื่นคืนให้ก่อนจะวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ ชายหนุ่มเจ้าของโต๊ะพึมพำขอบคุณพร้อมกับแอบสูดกลิ่นหอมของกาแฟเข้มข้น เขาชอบกลิ่นกาแฟ...จึงชอบมานั่งร้านกาแฟ
ไส้สีดำหักทู่เพราะแรงกระแทกทำให้เขาต้องเหลามันใหม่ หลังจากง่วนอยู่กับการเหลาไส้ให้ได้ความแหลมที่พอใจจนเรียบร้อย เมื่อเงยหน้ามาอีกทีก็เจอสายตาดุที่มองอยู่ก่อน

เกือบจะสะดุ้ง...ถ้าไม่ได้สังเกตว่าอีกฝ่ายไม่ได้ มอง

อาการทอดสายตาแบบนั้นแม้จะขมวดคิ้วแน่นเหมือนจ้อง แต่จริงๆ คงจะ เหม่อ เสียมากกว่า...คนอะไร ขนาดเหม่อลอยจิบกาแฟยังทำหน้าเครียดไปอีก
แต่พอเขาจ้องกลับไปสักพักก็เหมือนจะรู้ตัว ดวงตาดุกะพริบสองสามครั้ง ก่อนจะที่รอยยิ้มแห้งๆ จะถูกส่งมาให้

ผมรบกวนหรือเปล่า ถามอย่างเกรงใจ หมดแก้วนี้ผมก็ลุกแล้ว
ไม่หรอกครับ...กาแฟของคุณหอมดี
งั้นหรือครับ
คุณไม่ชอบกาแฟ?”
...ไม่ได้ไม่ชอบ แต่ก็ไม่ได้ชอบ คนตรงหน้ายกซด ก่อนจะหัวเราะแหะ ผมแค่กินให้ตัวเองตื่น

เขายิ้มให้กับคำตอบนั้น คนคนนี้เป็นตรงๆ ทื่อๆ ไม่มีการปรุงแต่ง กินกาแฟให้ตื่น ไม่ได้ติดกับไปรสชาติหอมหวน
เหมือนร่มสีดำ...ที่แค่กันฝนได้ จะเป็นสีอะไรก็ย่อมไม่ต่างกัน


6

ผมชอบกลิ่นกาแฟ...แต่กินนิดเดียวก็ใจสั่น

ริมฝีปากแดงบนใบหน้าที่ขาวจนซีดไม่ต่างจากข้อนิ้วเล็กๆ พวกนั้นยกยิ้มให้เล็กน้อย ชายหนุ่มจึงเหลือบมองแก้วมัคอีกแก้วที่มีคราบสีน้ำตาลเปื้อนอยู่...นั่นคงจะเป็นโกโก้ร้อน

พวกที่มีกาแฟน้อยๆ อย่างมอคค่าก็กินไม่ได้เลยหรือครับ
ไม่เลย... ตอบพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ บางทีถึงกับท้องเสียเลยด้วย
ลำบากแย่เลยนะครับ บอกไปแบบนั้นเพราะเขานึกสภาพชีวิตที่ไม่อาจพึ่งพิงคาเฟอีนได้ไม่ออก แต่คนฟังกลับคิดไปคนละอย่าง
ผมถึงมานั่งร้านกาแฟ ถึงกินเองไม่ได้...ได้กลิ่นหอมๆ ก็ชื่นใจ

ดันได้คำตอบแบบนั้นมาแถมดวงตาหลังเลนส์แว่นยังดูจริงจังมากจนเขาเผลอยิ้มให้
คนตรงหน้าคงจะละเอียดอ่อนอย่างมาก แม้แต่เรื่องกลิ่นกาแฟยังทำให้มุ่งมั่นออกมานั่งร้านกาแฟได้แบบนี้ จะเสียเวลาเหลาดินสดไม้ให้ได้ความแหลมที่พอใจอีกสักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร


7

แก้วกาแฟว่างเปล่าถูกวางลงกับโต๊ะไม้ก่อนจะใช้กระดาษทิชชู่เช็ดริมฝีปากที่ไม่เลอะหนึ่งทีแล้วยิ้มแบบที่ทำให้เผลอยิ้มตอบไปอย่างอัตโนมัติ

ขอตัวนะครับ...คนตัวสูงลุกขึ้นก่อนจะเหลือบมองสมุดที่มีตัวอักษรเล็กจิ๋วเรียงราย ขอให้งานเสร็จไวๆ นะครับ
...ขอให้ตื่นดีจนงานเสร็จเหมือนกันครับ

คนหน้าดุหัวเราะเบาๆ ก่อนจะก้มศีรษะให้เป็นเชิงบอกลาแล้วเดินลงบันไดไป
ชายหนุ่มเจ้าของโต๊ะกลั้นยิ้มอย่างไม่มีสาเหตุ แล้วหมุนดินสอไม้ในมือไปมาอย่างเหม่อลอย...จนกระทั่งสายตาสะดุดเข้ากับพนักเก้าอี้

ร่มสีดำถูกลืมทิ้งไว้

เขาหันออกไปมองนอกหน้าต่างทันที ท้องฟ้ายามนี้มืดลงกว่าเดิมแต่ไม่มีสายฝนโปรยปรายแล้ว คลื่นของสีสันที่เกิดจากร่มกันฝนก็หายไปเช่นกัน
คุณร่มสีดำคงไม่จำเป็นต้องใช้ร่มแล้วในวันนี้...งั้นจะช่วยเก็บไว้ให้จนถึงวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน


8

ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวว่ามือว่างเอาก็ตอนที่ปลายเท้าแตะบันไดขั้นแรกของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่เมื่อหันกลับไปมองทางเดินแฉะๆ ที่ผ่านมาแล้วก็ตัดใจฝากร่มเอาไว้ที่ร้านกาแฟสักวัน
เขาถอนหายใจให้กับอาการเหม่อลอยของตัวเอง

เอาเถอะ...ถึงจะลืมร่มไว้หรือไม่ก็ไม่ได้แตกต่างกัน
ไม่ว่าอย่างไรวันพรุ่งนี้เขาก็ตั้งใจว่าจะขอเปลี่ยนอเมริกาโน่ร้อนของเขาจากแก้วกระดาษเป็นแก้วมัคอยู่แล้ว


ฝากร่มสีดำไว้ก่อนนะครับคุณดินสอไม้

Saturday 8 August 2015

[fic]「秋天开的花朵」Blossom in Autumn 06 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

「秋天开的花朵」
Blossom in Autumn

Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)
Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
Rate : G
Timeline : หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event 16/8/58 ซึ่งตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายที่เราจะลงบลอคแล้วนะคะ***

ตอนนี้ปิดpre-orderแล้ว แต่ยังสามารถไปซื้อได้ในงานที่บู๊ธU02ค่ะ ใครไปงานแวะไปทักทายกันได้นะคะ


ลิงค์ตอนที่ 0 1 2 3 4 5



06


              แปลก...
ปลายนิ้วไล้ไปตามกำแพงอิฐที่มีภาพสลักนูนต่ำอย่างสนใจ ห้องสุสานหลังคาโค้งสูงทอดตัวยาวประหนึ่งทางเดินเชื่อม โดยรอบมีสมบัติฝังร่วมมากมายเรียงอย่างไม่เป็นระเบียบ สภาพของมันบ่งบอกว่าเขาไม่ใช่มนุษย์คนแรกที่เหยียบย่างเข้ามา ร่องรอยการต่อสู้ปรากฎอยู่ทั่วไป ทั้งปลอกกระสุนเก่า รอยเลือดและซากศพที่ถูกฉีกกระชากเน่าเปื่อยจนดูไม่ออก
ชายหนุ่มก้าวไปตามทางอย่างระวัง ในหัวคิดคะเนถึงยุคสมัยของสุสานแห่งนี้อย่างละเอียดก่อนจะพบถึงความผิดปกติหลายอย่าง...ราวกับเขากำลังหลงอยู่ในดินแดนที่ไร้ยุคสมัยและกาลเวลา
แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันให้ความสว่างได้ดี แต่เปลวไฟของมันทำให้เงารอบตัววูบไหวจนประสาทสัมผัสตึงเครียด มือชื้นเหงื่อเลื่อนกลับมาแตะที่ปืนพกข้างเอว ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระมัดระวังจนเกร็งไปทั้งร่าง เงาตะคุ่มเบื้องหน้าที่เข้ามาสู่เขตแสงทำให้เขาชักปืนขึ้นมาทันที ก่อนจะเห็นว่ามันคือร่างที่แน่นิ่ง
ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็วแล้วจึงนั่งยองลงสำรวจ สุนัขสีดำตัวนี้คงไม่รอดแน่แล้ว เขาจึงได้แต่ไว้อาลัยในใจพร้อมกับรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา
อะไรกันที่ทำให้หมาของราชาสุนัขพลาดท่า?
เขาเอื้อมมือเข้าไปจะสำรวจซากศพ แต่ทันใดนั้นร่างที่เคยคิดว่าหมดลมแล้วก็กลับขยับขึ้นมา คมเขี้ยวอ้างับลงที่ท่อนแขนดึงให้ชายหนุ่มเสียหลักล้ม ตะเกียงน้ำมันล้มคว่ำ แล้วเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังลั่นไปทั่วห้องสุสานดำมืด

เจ้าจะร้องหาอะไรซือเย๋!!!”

ไฟที่ดับไปแล้วถูกจุดขึ้นมาใหม่พร้อมกับใบหน้าของเจ้าบ้านห้าที่ยื่นเข้ามาใกล้ สีหน้าแสดงความหงุดหงิดชัดเจน มือสากตะปบเข้าที่ปากของคนที่ร้องโวยวายอย่างไม่ออมแรง พอเริ่มเรียบเรียงสติได้ก็เหลือแต่ตาตี่เล็กที่มองเขาตื่นๆ กับเนื้อตัวสั่นเทาดูไม่ได้
อู๋เหลาโก่วถอนหายใจก่อนจะดึงให้อีกฝ่ายเข้ามาในซอกที่ตนซ่อนตัวอยู่ในตอนแรก ภายในนั้นคือห้องขนาดไม่ใหญ่เหมือนเป็นห้องเก็บสมบัติแยกที่ตกแต่งอย่างดาษดื่นดูไม่มีอะไรสลักสำคัญ
เจ้าบ้านสกุลอู๋กำลังเผชิญกับความไม่พอใจอย่างมากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะนึกออกในขณะนี้

ย้อนกลับไปเมื่อตอนเย็นหลังจากที่พ่อพระใหญ่จางได้ออกปากแล้วว่าจะไม่มีการคว่ำกรวย เขาก็เริ่มคิดแผนของตนขึ้นเองทันที ชายหนุ่มได้มีโอกาสสำรวจพื้นที่โดยรอบมาก่อนตั้งแต่แรก เมื่อประกอบกับข้อมูลที่เขาได้จากการอ่านฮวงจุ้ยแล้ว อู๋เหลาโก่วก็ตัดสินใจขุดอุโมงค์โจรโดยไม่ลงเสียมลั่วหยางที่จะทำให้เกิดเสียงดัง
พลั่วลมกรดถูกนำมาใช้อย่างเงียบเชียบ ผ่านไปเกือบครึ่งคืนเขาก็ได้อุโมงค์โจรที่ลึกลงถึงห้องสุสานซึ่งคาดว่าเป็นทางเชื่อมถึงตำหนักส่วนหลัง...แต่ด้วยความกดดันและตื่นกลัวทำให้ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่ามีใครอีกคนคอยลอบสังเกตพฤติกรรมของเขาอยู่
หลี่ซือเย๋ลอบตามลงมาในสุสานแห่งนี้
สำหรับนักขุดสุสานอย่างเขาเมื่อเห็นหน่วยก้านอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่ประนามอยู่ในใจว่ามันคือการฆ่าตัวตายชัดๆ และนอกจากจะฆ่าตัวตายแล้วยังอาจจะลากเขาไปตายด้วยก็เป็นได้
สุสานโบราณทั่วไปหากมีการสร้างห้องสุสานอยู่บนเขาอย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นสุสานที่มีกลไก เพราะงานระดับนั้นต้องอาศัยนายช่างฝีมือที่มีความรู้ และในยุคโบราณคนเหล่านี้ก็มักจะรับใช้ฮ่องเต้พระองค์เดียว
แต่อู๋เหลาโก่วกลับค้นพบกลไกมากมายในสุสานแห่งนี้ รวมถึงห้องที่เขาลากอีกฝ่ายเข้ามาหลบก็เช่นกัน
ระบบป้องกันในสุสานโบราณมีอยู่ไม่กี่ขั้น ข้อแรกหาไม่เจอ ข้อสองเปิดไม่ออก ข้อสามเอาไปไม่ได้ แต่สำหรับสุสานนี้เขายังไม่รู้ว่าจะจัดอยู่ในข้อไหน กลไกของที่นี่ไม่ได้มีไว้ทำร้ายผู้เข้ามา จะว่ามีไว้หลอกล่อให้หลงก็ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น...ราวกับเจ้าของสุสานมีความมั่นใจอย่างมากว่าจะไม่มีใครเอาอะไรออกไปได้

อยากตายหรือไง?!” เขาตะคอกด้วยเสียงที่หรี่ลง แต่อีกฝ่ายยังคงปากคอสั่นเกินกว่าจะตอบอะไรได้

ชายหนุ่มสบถหยาบคายอีกหลายคำ ก่อนที่หมาจิ๋วในแขนเสื้อจะโผล่หน้าออกมาเห่าเบาๆ อู๋เหลาโก่วจึงเงียบเสียงพร้อมกับดับตะเกียงลงทันที ในความมืดมิดนั้นเจ้าสุนัขดำก้าวเข้าไปนอนหมอบตรงทางเชื่อมเหมือนเตรียมพร้อม...แล้วเสียงประหลาดก็ดังขึ้น
หลี่ซือเย๋ไม่รู้ว่าจะบรรยายสิ่งที่ตนได้ยินว่าอย่างไร เสียงครืด ครืด ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ โดยจินตนาการที่มาไม่ออก อู๋เหลาโก่วเอื้อมมือมาปิดปากปิดจมูกเขาอีกครั้งโดยส่งสัญญาณให้กลั้นลมหายใจเอาไว้
เวลานั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้าและกดดัน ชายร่างผอมรู้สึกเหมือนตัวเองจะหมดลมซ้ำแล้วซ้ำอีกกว่าที่เสียงประหลาดนั้นจะค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ จนทุกอย่างเงียบสนิทในที่สุด
ผ่านไปจนแน่ใจ คนที่มีประสบการณ์มากกว่าก็คลายมือออกแล้วจุดไฟขึ้นอีกครั้ง

...เมื่อกี้คือตัวอะไร เขาถามทันทีที่หาเสียงตัวเองเจอ
ถ้าให้เดาอย่างเลวร้ายที่สุดก็คือศพโลหิตที่เจ้าอยากเจอนักหนา ได้ยินดังนั้นหน้าตาที่เหมือนหมาจิ้งจอกของซือเย๋อ่อนหัดก็ยิ่งซีดเผือดลงไปอีก สร้างความเหนื่อยใจให้คนมองอย่างยิ่ง

เจ้าบ้านสกุลอู๋คำนวณสถานการณ์อย่างใจเย็น จากการคาดเดาของเขา สิ่งนั้นน่าจะเป็นศพโลหิตจริง จากร่องรอยการต่อสู้ที่ตกค้างอยู่นั้น บ่งบอกว่าเจ้าตัวนั้นเพียงตัวเดียวได้คร่าชีวิตคนไปจำนวนมากจนถึงกับต้องหนีตายและระเบิดทางสุสานปิดเอาไว้
ลำพังเขาเองให้เอาตัวรอดอย่างเดียวก็คงพอไหว...แต่เมื่อมีตัวถ่วงที่เอาแต่แข้งขาสั่นแบบนี้ติดสอยห้อยตามมาด้วย อย่างไรก็ต้องรีบถอยให้เร็วที่สุด

เดินไหวไหม

หลี่ซือเย๋พยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับค่อยๆ เกาะกำแพงอิฐดันตัวเองขึ้นอย่างยากลำบาก เห็นคนที่เคยมีมาดดีเป็นได้ถึงขนาดนี้ เขาเองก็ด่าอะไรเพิ่มไม่ออกได้แต่ถอนหายใจระงับอารมณ์ไปพลาง

ยืนไหวแล้วก็อย่าไปแตะต้องอะไรมาก สุสานนี้มีกลไก--”

ไม่ทันขาดคำก้อนอิฐตรงมือที่ชายร่างผอมเท้าอยู่ก็เลื่อนเข้าไป เกิดเสียงกลไกลั่นจนฝาผนังห้องอีกด้านเปิดออก
อู๋เหลาโก่วอ้าปากจะตะโกนด่าไปอีกรอบแต่เสียงที่เขากำลังกลัวก็กลับดังขึ้นอีกครั้ง และในชั่วพริบตาใบหน้าประหลาดขนาดใหญ่ก็ปรากฎขึ้นในเขตแสงไฟ เบ้าลึกโหลที่ไร้ลูกตาจ้องมองตรงมาอย่างอาฆาตแค้น
เสียงกรีดร้องลั่นของหลี่ซือเย๋ดังก้องไปทั่วพร้อมกับเสียงสาดกระสุนของคนที่มีสติกว่า กระสุนปืนทำได้แค่ให้ร่างนั้นชะงักการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย เขาจึงคว้าแขนอีกคนแล้วลากให้วิ่งออกมาตามทางที่กลไกใหม่เปิดออก

ถังเซิง!!” อู๋เหลาโก่วตะโกนเรียกแล้วเจ้าสุนัขดำก็กระโจนออกไปวิ่งนำทางอย่างรู้งาน ตะเกียงน้ำมันถูกทิ้งอยู่ในห้องนั้น ตอนนี้ทั้งคู่จึงกำลังวิ่งอยู่ในความมืดโดยที่มีศพโลหิตวิ่งไล่ตามมาในระยะประชิด

ช่างเป็นสถานการณ์ที่ดีจนอยากจะบีบคอไอ้คนข้างๆ ให้ตายเหลือเกิน!

ม...ไม่ไหว... วิ่งไปได้ไม่เท่าไร คนที่ไม่เคยใช้กำลังก็เริ่มประท้วง
งั้นก็นอนตายให้มันควักลูกตากินไปซะ!!” พูดพลางหันปืนไปสาดกระสุนใส่ พอว่าจบคนที่บอกว่าหมดแรงก็ดูจะวิ่งเร็วขึ้นอีก

กระสุนค่อยๆ พร่องลงเรื่อยๆ พร้อมกับระยะห่างที่ดูจะไม่ทิ้งช่วงไปเลย ในตอนที่อู๋เหลาโก่วเริ่มคิดถึงการใช้ระเบิด เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้น

เหลาอู่!!!”

ไวเท่าความคิด...ชายหนุ่มบิดเอวพลิกตัวผลักเอาคนอ่อนประสบการณ์ให้ล้มไปทางเสียงเรียกก่อนจะดันตัวเองเข้าไปตาม แล้วเสียงกลไกทำงานก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงครืดๆ น่ารังเกียจถูกกั้นให้ห่างออกไปจนเงียบลงเหลือแต่เสียงหอบหายใจเฮือกของคนที่วิ่งหนีจนหมดรูป
ตะบันไฟถูกจุดขึ้นในความมืด เผยให้เสี้ยวหน้าเคร่งขรึมที่เต็มไปด้วยความโกรธ

อยากตายหรือไง!?”  เสียงเข้มกดต่ำเป็นคำถามที่เขาเพิ่งพูดออกไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านายทหารใหญ่กำลังอยู่ในจุดที่อารมณ์พุ่งถึงขีดสุด
...ข้าไม่อยาก แต่ท่านควรถามคนของท่าน

เขาเอียงคอใส่คนที่ดูไม่เข้ากับสถานที่มากที่สุด...หลี่ซือเย๋ในขณะนี้ดูไม่ได้สักนิด ใบหน้าซีดเผือด ผมเผ้ายุ่งเหยิง อึฉี่ราดเต็มกางเกง อู๋เหลาโก่วมองแล้วก็ได้แต่สมน้ำหน้ากึ่งเห็นใจ
ก็เคยได้ยินมาบ้างว่าพวกซือเย๋หรือหน้าด่านบางคนพอมีความรู้อะไรเข้าหน่อยก็จะเริ่มอยากหาประสบการณ์ลงดินด้วยตัวเองสักครั้ง แต่สำหรับคนที่อยู่กับตำรามาทั้งชีวิตก็ย่อมเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเห็นๆ แถมหาเรื่องครั้งแรกก็ดันเป็นศพโลหิต ไม่ใช่ขนขาวขนดำแบบที่ชาวบ้านเขาเจอกันอีก...ถึงรอดคราวนี้ไปได้เห็นทีซือเย๋คนเก่งก็คงจะจับไข้หัวโกร๋นไปอีกนาน

ข้าบอกแล้วว่าจะไม่มีการคว่ำกรวย พ่อพระใหญ่จางยังคงว่าต่อไป นั่นทำให้ชายหนุ่มนึกอยากเถียงขึ้นทันที
จุดเทียนเป็นธรรมเนียมสำนักเหนือ คนสำนักใต้อย่างข้าไม่ถือสาอะไร ข้าลงดินได้...ตัวท่านต่างหากที่ไม่ควรลงมา

ว่าจบนายทหารใหญ่ก็สบถหยาบคายในระดับที่ชาวบ้านอย่างเขายังสะดุ้ง

เจ้าคิดว่าข้าอยากลงมาหาเรื่องตายหรือไง ถ้าไม่ใช่เพราะรับปากเซี่ยจิ่วไว้

คราวนี้คนฟังถึงกับนิ่งไป จางฉี่ซานจึงพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด...อู๋เหลาโก่วเป็นคนหนุ่มฝีมือดี แม้จะยังอายุน้อยในวงการแต่ก็มีชื่อเสียงมาก ก็ไม่แปลกนักที่จะมีความมั่นใจในตัวเองสูง ประกอบกับการทำงานของสกุลอู๋ก็มักจะลงดินตัวคนดียวอยู่แล้ว เจ้าตัวคงไม่เห็นว่าเป็นปัญหา
...แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะรับฟัง

หมาดื้อ!”

คนถูกดุอ้าปากจะเถียง แต่ก็ไม่รู้จะพูดว่าอะไรอีก

เจ้าควรฟังข้า ศพโลหิตถูกปลุกขึ้นมาแล้วจะทำอะไรตอนนี้ก็ไม่คุ้มทั้งนั้น
...เรื่องติดค้างที่ต้องทำ แม้จะได้ไม่คุ้มเสียก็ตาม อู๋เหลาโก่วเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายในความมืด ข้าถอยไม่ได้ ท่านไม่เข้าใจ เหตุผลไร้สาระของท่านข้าย่อมยอมรับไม่ได้เพราะมันคือคำโกหก
เพราะรู้แบบนี้ข้าถึงไม่บอกเจ้าว่าที่นี่มีศพโลหิตเดินเพ่นพ่านอยู่จริง จางฉี่ซานตอบกลับไปไม่หลบสายตา แต่เจ้าเองก็โกหก เจ้ารู้อยู่แล้วว่ากรวยนี้มีคนลงมาก่อนแต่ก็ไม่บอกข้า ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันผิดธรรมเนียมสำนักเหนือ

คำพูดนั้นทำให้คนอายุน้อยเป็นฝ่ายต้องเงียบลงในที่สุด
เจ้าบ้านสกุลห้ารู้ดี...ในวงการอาชีพนี้ไม่เคยมีมิตรแท้ ไม่เคยมีศัตรูถาวร ทุกอย่างอยู่บนการเอาตัวรอดและผลประโยชน์โดยการฉาบหน้าว่าเกื้อกูลกัน ทุกสิ่งที่โยงใยกันไว้ย่อมมีเหตุผล...ในยุคที่แม้แต่วันพรุ่งนี้ยังมืดมนจะถามหาความดีงามบนโลกได้จากที่ไหนกัน
อู๋เหลาโก่วเลือกที่จะเชื่อใจสุนัขมากกว่าคน...แต่ทุกครั้งที่ได้รับคำโกหกก็อดที่จะสะเทือนใจไม่ได้
และสุดท้ายเมื่อเป็นตัวเขาเองที่ทำเช่นนั้น ความรู้สึกหน่วงในอกจึงไม่เคยเบาบางลงเสียที



จางฉี่ซานไม่อาจอธิบายได้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร...ส่วนหนึ่งเขาไม่พอใจอีกฝ่ายมากจนอยากจะสั่งลงโทษให้สมกับความดื้อด้าน แต่ติดที่อู๋เหลาโก่วไม่ใช่คนของเขา และอีกส่วนหนึ่งเขากำลังไม่พอใจในตัวเอง...การลงมาในกรวยที่มีศพโลหิตซึ่งตื่นอยู่เป็นเรื่องสิ้นคิดมากแค่ไหนตัวเขาเองก็รู้ดี
ทว่า...เมื่อจับได้ถึงความผิดปกติในขบวน สิ่งที่เขาทำคือการสั่งการลูกน้องเอาไว้แล้วรีบตามลงมาทันที

หนึ่ง คือหลี่ซือเย๋เป็นคนของสกุลหลี่...แม้จะเป็นเพียงสายเลือดรอง แต่ก็ต้องเห็นแก่หน้าของป้านเจี๋ยหลี่
สอง คือเขาได้รับปากกับคุณชายบ้านเก้าไว้แล้วว่าจะเป็นธุระดูแลสหายให้ แม้ว่าจะไม่จำเป็นเลยก็ตาม

แต่เหตุผลทั้งหมดล้วนไม่เข้าท่า...จางฉี่ซานไม่มีความจำเป็นต้องช่วยเหลือใครก็ตามที่หาเรื่องใส่ตัว
พอคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไรก็ไม่เข้าใจตัวเอง ความหงุดหงิดก็ยิ่งพุ่งสูง...ยิ่งเห็นว่ากลไกในสุสานเละเทะเสียระเบียบไปหมดก็ยิ่งอยากจะจับตัวมาลงโทษเสียให้เข็ด

ขอโทษ...ข้าไม่คิดว่าจะต้องลำบากให้ท่านลงมา คนอายุน้อยกว่ากล่าวออกมาในที่สุด

...เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดทั้งปวง...พอจางฉี่ซานได้ฟังคำกล่าวง่ายๆ กับสีหน้าหงอยๆ ของอีกฝ่าย เขาก็กลับโกรธไม่ลงจนไม่พอใจตัวเองแทบบ้า

นายทหารใหญ่ถอนหายใจเฮือก เขาจุดตะบันไฟอันถัดไป ก่อนจะเริ่มตรวจดูลูกกระสุนปืนที่เหลือ ทำให้คนที่มองอยู่เริ่มขยับเตรียมตัวบ้าง

ท่านจะเอาอย่างไรต่อ
...ถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องเอามันให้ล้ม ตอบพร้อมกับบรรจุกระสุนจนเต็ม กลไกในนี้เละเทะไปหมดแล้ว หากต้องวิ่งหนีไปหาทางออก คงไม่มีทางรอด
ท่านคิดจะจัดการศพโลหิตจริงหรือ อู๋เหลาโก่วถามย้ำ ร่องรอยการต่อสู้และซากศพทั้งหลายเป็นหลักฐานชั้นดีว่าไม่ควรไปลองดีอย่างยิ่ง แต่คนตอบกลับพยักหน้ารับ
สุสานนี่ถูกเปิดมาสักพักแล้ว พลังมืดรั่วไหลออกไปไม่น้อย ร่างของศพโลหิตก็คงเริ่มเน่าเปื่อยเช่นกัน พ่อพระใหญ่จางอธิบาย ยังไงก็เป็นตายเท่ากัน แค่เลือกระหว่างรออยู่ที่นี่ให้มันมาเจอ กับออกไปหามันเอง

ปืนพกM1911สัญชาติอเมริกาอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมบนมืออีกฝ่าย ปืนชนิดนี้ถือเป็นอาวุธสงครามที่นิยมกันแพร่หลาย พลังทำลายสูง แต่มีข้อเสียตรงบรรจุกระสุนได้น้อย คนที่พกปืนแบบนี้ลงมาคว่ำกรวยต้องมั่นใจในฝีมือตัวเองไม่น้อยว่าจะไม่ทำกระสุนที่มีค่าเสียไป

ปืนของเจ้าจะไม่ขัดลำกล้องใช่ไหม จางฉี่ซานเหลือบตามองปืนกลเก่าๆ ของอีกฝ่าย
...ข้าดูแลมันอย่างดี ไม่ต้องห่วง

นายทหารมองคนที่จับปืนในมือแน่นก็พยักหน้ารับ หันไปตรวจปืนให้กับหลี่ซือเย๋ที่ได้แต่นั่งตัวสั่นอยู่ตรงมุมห้อง คนตัวผอมเกร็งพยักหน้ารับทุกคำสั่งที่บอกให้อยู่นิ่งๆ ถ้าไม่จวนตัวแล้วห้ามขึ้นนก ห้ามลั่นไก พอว่าจบก็ดึงแขนให้ลุกขึ้นยืนเองแล้วค่อยหันมาหาอู๋เหลาโก่วที่รอจังหวะอยู่แล้ว

พร้อม?”
พร้อมตั้งแต่รู้ว่าจะมีท่านล่มหัวจมท้ายด้วยแล้ว ชายหนุ่มว่าพร้อมกับวาดรอยยิ้มเฉพาะตัวขึ้นอีกครั้ง

พ่อพระใหญ่จางถึงกับหลุดขำพรืดออกมาครึ่งคำ...อู๋เหลาโก่วก็คืออู๋เหลาโก่ว คนที่ยังคงมีอารมณ์พูดหยอกแม้แต่ในสถานการณ์ที่กำลังเดิมพันด้วยชีวิต
...ไม่ได้รู้เอาเสียเลยว่าทำให้คนอื่นโกรธเคืองไว้ขนาดไหน...แต่ก็เอาเถอะ

นายทหารใหญ่ส่งสัญญาณมือให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแตะประตูกลไกให้เปิดออก


ไปจัดการศพโลหิตนั่นแล้วกลับบ้านกัน


TBC...in DMBJ only event 16/8/58