Thursday 23 July 2015

[fic]「秋天开的花朵」Blossom in Autumn 04 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

「秋天开的花朵」Blossom in Autumn 04 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)


「秋天开的花朵」
Blossom in Autumn

Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)
Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
Rate : G
Timeline : หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event 16/8/58 จะลงสัปดาห์ละตอนไปเรื่อยๆ จนถึงวันงานนะคะ***

pre-orderได้ที่นี่ค่ะ (ภายในวันเสาร์นี้แล้วนะคะ!)


ลิงค์ตอนที่ 0 1 2 



04



              ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามสกุลระนาบแห่งฉางซา เรื่องเดินเข้าออกสุสานนั้นก็เหมือนกิจวัตรที่อู๋เหลาโก่วทำไม่ขาด ตั้งแต่จับปืนขึ้นนกได้เขาก็ติดตามปู่และพ่อขึ้นลงดินไปทั่วสารทิศ...แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่มีคนร่วมงานเยอะถึงเพียงนี้

คณะคว่ำกรวยของพ่อพระใหญ่จางในครั้งนี้ประกอบด้วยคนจำนวนเกินยี่สิบชีวิตและลาบรรทุกของอีกสองตัว ทุกคนในขบวนล้วนเป็นทหารสังกัดหน่วยพิเศษที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อแอบแฝงตัวตนของหัวขโมยไว้กับกองทัพใช้หลักการไม่ต่างกับพวกฮ่องเต้ยุคโบราณ

หลังจากออกจากเขตเมืองมาได้ ก็ไปหยุดขบวนรถที่ค่ายทหารนอกเมืองแล้วต่อจากนั้นก็เป็นการเดินเท้าขึ้นเขาไต่ตามแนวเขาเลาะมาจนถึงเขตป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยต้นไม้หนาแน่นและเถาวัลย์ท่อนเท่าแขน แม้ยามกลางวันแสงสว่างก็แทบลอดไม่ผ่านร่มไม้ลงมา


โก่วอู่เย๋ เสียงหนึ่งเรียกขึ้นทำให้เขาหันไปมองโดยที่ไม่ได้ผ่อนฝีเท้าลง หากคืนนี้จะตั้งค่ายที่เนินดินด้านหน้าท่านคิดเห็นอย่างไร

...ใกล้แหล่งน้ำมากเกินไป เข้าเขตหมั่งซานมาพอสมควร ควรหาที่โล่งมากกว่านี้ เขาตอบไปตามที่คิด

ขอบคุณท่านมาก ชายหนุ่มรูปร่างผอมจุดรอยยิ้มที่มุมปาก ดวงตาตี่มีประกายความพึงพอใจชัดเจน

เจ้าไม่ต้องเรียกข้าแบบนั้น เราอายุไม่ได้ต่างกันเลยหลี่ซือเย๋ พอบอกแบบนั้นคนฟังก็ยิ้มขำจนดึงรูปคางเรียวแหลมทำให้เหมือนหมาจิ้งจอกมากขึ้น

หากท่านเลิกเรียกข้าว่าซือเย๋ ข้าจะเลิกเรียกท่านว่าเถ้าแก่


ว่าจบแล้วก็เดินผละออกไป คนฟังจึงโคลงศีรษะอย่างไม่รู้จะว่าอย่างไร ชายผู้นี้ไม่มีท่าทางของนักขุดหรือแม้กระทั่งทหาร ใครๆ ก็เรียกเขาว่าหลี่ซือเย๋ด้วยความเคารพ ในบรรดาผู้ร่วมขบวนทั้งหมดซึ่งเป็นเหล่านายทหารใบ้ไม่ต่างกับเจ้านายใหญ่ ก็เห็นจะมีแต่ซือเย๋คนนี้ที่พอจะสนทนากันได้เขาจึงรู้สึกถูกชะตาด้วย

คนคนนี้มีความฉลาดเฉลียวรู้ทันในแววตา เพียงแต่อู๋เหลาโก่วฝึกจิตมากับเซี่ยจิ่วตั้งแต่เล็กแต่น้อย ไหนเลยซือเย๋ท่านนี้จะทำอะไรเขาได้


เวลาผ่านไปจนตะวันเริ่มคล้อยต่ำ อาการเหนื่อนล้าจากการเดินเท้าระยะไกลทำให้ประสาทสัมผัสตื่นตัวน้อยลง ทันใดนั้นทิเบแทนมัสติฟตัวยักษ์ก็ร้องคำรามขึ้นก่อนจะพุ่งไปกระแทกนายทหารคนหนึ่งจนล้มลง ขบวนที่เคยเงียบสงบเกิดความโกลาหนในทันที แต่แทนที่เจ้าของสุนัขจะห้ามปรามเขากลับไม่สนใจ แล้วหันไปเรียกเจ้าสุนัขดำให้กระโจนเข้าไปในพงหญ้าซึ่งสั่นไหวอย่างน่ากลัวแทน

ครู่เดียวซากศพของงูเขียวก็ถูกลากออกมา ลำตัวของมันมีลายพรางสีน้ำตาลเข้มดูกลมกลืนไปกับต้นไม้ บริเวณคอถูกขย้ำจนเกือบขาดแต่ยังเห็นเขี้ยวยาวที่ง้างออกพร้อมจู่โจมชัดเจน อู๋เหลาโก่วดึงซากนั้นมาสำรวจจนแน่ใจจึงผิวปากเรียกให้เจ้าหมายักษ์ลุกขึ้นจากตัวของผู้ร่วมขบวน


นั่นอะไร ใครสักคนถามขึ้น

งูหัวเหล็ก...หากโดนพิษเข้าแล้วหาชาวภูเขาแถบนี้ไม่เจอก็มีแต่ต้องไปยมโลก เขาตอบพลางโยนซากงูออกไปให้ห่าง แล้วลูบศีรษะเจ้าหมาดำตัวผอม ดีมากถังเซิง


เมื่อหายจากอารามตกใจขบวนกกลับสู่ระเบียบเดิมแล้วมุ่งหน้าต่อโดยมีบรรยากาศตึงเครียดของความระวังตัวแทรกอยู่ ปกติแล้วโจรขุดสุสานไม่ค่อยมีใครขึ้นมาคว่ำกรวยกันบนเขา...เพราะนอกจากจะต้องใช้คนมาก ได้ไม่คุ้มเสีย แล้วยังต้องมีความชำนาญพิเศษที่ไม่ใช่ว่าใครๆ จะทำได้


งูชนิดนี้ชอบซุ่มตัวอยู่ในพงหญ้ากับที่รกสินะ ซือเย๋หนุ่มเดินตีเสมอมาด้านข้าง

อืม ข้าเคยโดนกัด แค่ถากๆ แต่เกือบเอาชีวิตไม่รอดไปเหมือนกัน

คนที่ขึ้นลงเขาจนชำนาญอย่างท่านก็ยังเคยโดนงั้นหรือ

...ข้าเคยมาแถวนี้อยู่บ้างเท่านั้น ไม่ได้ชำนาญอะไร ตอบก่อนจะถามกลับไป ทำไมท่านถึงคิดแบบนั้น

พ่อพระบอกข้าว่าท่านเป็นคนหมู่บ้านเม่าซาจิ่ง ท่านจะบอกว่าตนไม่ได้ขึ้นลงเขาบ่อยๆ?”


ครั้งนี้อู๋เหลาโก่วไม่ได้ตอบแต่หันกลับไปมองหัวหน้าขบวนที่กำลังสั่งการบางอย่างอยู่ทันที




แสงตะวันสีแสบตาหรี่ลงเรื่อยๆ คณะเดินทางเร่งฝีเท้ามาจนถึงลานโล่งที่ตีนหน้าผาแห่งหนึ่ง หลังจากสำรวจพื้นที่โดยรอบแล้วจึงเริ่มตั้งค่ายอย่างรวดเร็ว แม้จะมีจำนวนคนมาก แต่การดำเนินงานอย่างเป็นระเบียบแบบแผนกลับไม่ทำให้ความคล่องตัวลดลงแต่อย่างใด

อากาศบนหุบเขายามค่ำคืนค่อนข้างเย็นจัด ไออุ่นจากกองไฟเรียกให้ทุกคนเข้ามานั่งล้อมวงกันได้ไม่ยาก เสียงพูดคุยเบาๆ ดังขึ้นรอบๆ อู๋เหลาโก่วนั่งพิงเจ้าสุนัขยักษ์ขนฟูมองภาพความเงียบสงบอย่างสบายใจ แต่ในช่วงที่เขากำลังจะเคลิ้มหลับก็รู้สึกว่ามีคนลงมานั่งข้างๆ เมื่อเปิดเปลือกตาดูหนึ่งข้างแล้วเขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นมา


ทำไมท่านถึงคิดว่าข้าเกิดที่เม่าซาจิ่ง

...แล้วเจ้าไม่ได้เกิดที่นั่นหรือ


เสียงทุ้มของอีกฝ่ายถามกลับ เขาจึงเม้มปากไม่ตอบอะไรบ้าง

หมู่บ้านเม่าซาจิ่งนั้นตั้งอยู่ติดกับตีนเขาเป็นบ้านเก่าของสกุลอู๋มาหลายชั่วอายุคน บ้านเก่าของเขาตรงนั้นในปัจจุบันยังเป็นเพียงบ้านดินไร้ขอบรั้วชัดเจน อู๋เหลาโก่วย้ายออกจากตรงนั้นมาอยู่ที่หน้าด่านในตัวเมืองฉางซาได้หลายปีแล้ว หากไม่มีธุระกับศาลบรรพชนเขาก็ไม่กลับไป

ในเมื่อไม่มีคนเป็นให้กลับไปหาอีกแล้ว...


ข้าเดา ที่ดินในหมู่บ้านนั้นเป็นของสกุลอู๋มากกว่าครึ่ง พ่อพระใหญ่ตอบช้าๆ แล้วตอนที่เดินทางผ่าน เจ้าหันมองหมู่บ้านนั้นจนลับตา


ฟังแล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรไป แม้ดวงตาเฉียบคมนั้นจะไม่ได้จับจ้องอยู่...แต่เขากลับตกอยู่ในการเฝ้ามองของอีกฝ่ายอย่างเต็มตัว


จางฉี่ซานมีลักษณะที่ดีของการเป็นผู้นำที่มีคนพร้อมใจติดตาม...ความช่างสังเกตและใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยก็เป็นหนึ่งในนั้น นายทหารใหญ่มีบุคลิกเคร่งขรึม ดูจริงจังในทุกการกระทำและคำพูด แต่บรรยากาศรอบตัวกลับไม่ได้น่าเกรงขามจนอึดอัด

นายทหารอายุน้อยคนหนึ่งหยิบขวดเหล้ามาให้เจ้านาย ท่าทีของคนในขบวนบอกว่ามีความใกล้ชิดกับพ่อพระใหญ่ไม่น้อย แต่ในความสนิทสนมนั้นก็มีความเคารพนับถือผสมกันอยู่

จางฉี่ซานยกขวดเหล้าขึ้นดื่มสองสามคำก่อนจะยื่นมาให้ คนอายุน้อยกว่าก็ยินดีรับมาไม่ให้เสียมารยาทก่อนจะยกขึ้นกระดกบ้าง แต่แล้วความรู้สึกร้อนวาบที่ไม่ทันตั้งตัวก็ไหลลงตามลำคอพร้อมกับขึ้นวิ่งจมูก อู๋เหลาโก่วไอแค่กออกมาเล็กน้อย เดือดร้อนนายทหารใหญ่ต้องมาลูบหลังให้


ระวังหน่อย

เห็นท่านยกดื่มแบบนั้นข้าก็นึกว่าเจี้ยนหนานชุน ว่าถึงเหล้าดีกรีต่ำแล้วก็ยกขวดตรงหน้าขึ้นจิบเบา ครั้งนี้เมื่อตั้งตัวได้ เขาก็ละเลียดรสชาติขมปร่าอย่างช้าๆ เหล้าชนิดนี้เรียกว่าเซาเตาจื่อ ที่หมู่บ้านเม่าซาจิ่งของเขานิยมกลั่นเอง มีดีกรีสูงมาก เอาไว้กินแก้หนาวได้ดี

ขอโทษ ในเมื่อกลิ่นฉุนแรงยังคงติดจมูกเขาอยู่ก็ไม่น่าที่อีกฝ่ายจะไม่ทันสังเกต วิชาที่โด่งดังของสกุลอู๋คือดมกลิ่นดูหน้าดิน?”

...จมูกข้าไม่ได้กลิ่นอีกแล้ว ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะบอกออกไป


แต่ถึงแม้จะบอกไปแบบนั้นพ่อพระใหญ่ก็ยังคงมีสีหน้าราบเรียบคล้ายกับทราบอยู่แล้ว อู๋เหลาโก่วจึงยกมือขึ้นลูบสันจมูกของตัวเองซึ่งมีรอยหักเล็กน้อยที่ถ้าไม่สังเกตคงไม่เห็น


อุบัติเหตุจากการคว่ำกรวย

แต่ก็ฝึกหมาให้ดมกลิ่นแทนได้

ไม่งั้นข้าก็อดตาย เขาหัวเราะ ตั้งแต่จำความได้ก็รู้แต่วิชาขึ้นลงสุสาน โรงเรียนก็ไม่ได้เข้า...ให้ไปทำอย่างอื่นเอาตัวไม่รอดหรอก


อู๋เหลาโก่วยกแขนขึ้นแล้วซันชุ่นติงก็มุดออกมาจากแขนเสื้อ ส่ายหัวเล็กๆ ไปมาก่อนจะส่งสายตาใสซื่อใส่พร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดอย่างสนใจ ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะดันก้นให้เจ้าตัวน้อยเดินเตาะแตะไปทางพ่อพระใหญ่

หมาจิ๋วไต่ขึ้นมาแล้วขดตัวบนหน้าตักของนายทหารใหญ่อย่างสบายใจ จนคนที่ไม่ชินกับสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ได้แต่ขมวดคิ้วหนักเพราะทำอะไรไม่ถูก ท่าทางนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างกว้างเจ้าของได้อีกไม่น้อย


มันชอบท่าน

...เจ้าเอาเจ้าหนูนี่ไปทำอะไรในกรวยกัน

อย่าดูถูกไป ถ้ามีซันชุ่นติงอยู่ด้วยต่อให้เป็นศพโลหิตข้าก็ไม่กลัว จางฉี่ซานแล้วมองดวงตาวิบวับของอีกฝ่ายแล้วก็พาลนึกถึงเด็กหนุ่มเมื่อหลายปีก่อนคนนั้น...คนที่จริงใจและซื่อตรงอย่างยิ่ง

เป็นคู่หูของเจ้างั้นสิ

ข้าไม่มีจมูก ซันชุ่นติงก็เป็นจมูกให้ข้า ถ้าซันชุ่นติงวิ่งตามหมาตัวอื่นไม่ทัน ข้าก็จะเป็นขาให้มันเอง จะกรวยไหนข้าก็ไม่กลัวถ้ามีซันชุ่นติง


พ่อพระใหญ่มองคนจริงจังกับเจ้าหมาน้อยที่ขดตัวเป็นก้อนขนนุ่มนิ่มสลับกันแล้วก็หลุดขำออกมาเองจนคนอายุน้อยกว่าถึงกับชะงักไป


ขอโทษ...ข้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ยังคงยกมุมปากขึ้นอย่างที่หาได้ยาก เพียงแต่คิดแล้วรู้สึกว่าเหมาะกันมากจริงๆ


มือสากของนายทหารช้อนสิ่งมีชีวิตตัวน้อยขึ้นมาแล้วส่งคืนให้เจ้าของ


หมาน้อย


ว่าจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปทิ้งให้คนฟังอยู่กับความรู้สึกงุนงง ใจหนึ่งก็รู้สึกเหมือนถูกหยามนิดๆ แต่อีกใจก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้...คิดดูแล้วต่อให้ใครจะพูดยกย่องอย่างไร หากเทียบชั้นเจ้าบ้านสกุลระนาบแบบเขากับพ่อพระใหญ่ก็คงต้องเรียกว่าเป็นคนละเวที ในสายตาของจางฉี่ซานเขาคงจะเป็นเพียงไอ้หนูนักขุดหัวหยองที่อ่อนด้อยด้านประสบการณ์อย่างยิ่ง

...พูดจาอวดดีไปแบบนั้นจะโดนหัวเราะเข้าให้ก็คงไม่แปลก


อู๋เหลาโก่วไถลตัวลงอิงกับขนหนาฟูของหมายักษ์ กระชับเสื้อคลุมตัวนอกให้แน่น ก่อนจะหามุมที่นอนสบาย ซันชุ่นติงไต่ขึ้นมาซุกตัวกับอกเสื้อ ขนไม่สั้นไม่ยาวชวนจั๊กกะจี้ทำให้ชายหนุ่มย่นจมูก


นี่...สักวันมาทำให้พ่อพระเห็นกันดีกว่าว่าเราทำอะไรได้บ้าง


หมาจิ๋วเห่าเบาๆ แล้วมุดเข้าไปในสาบเสื้อตัวนอกอย่างขี้เกียจ จนเจ้าของได้แต่ทอดถอนใจ อู๋เหลาโก่วหลับตาลงก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าอีกครั้ง จึงหยิบขวดเหล้าที่วางอยู่ข้างตัวยื่นให้โดยไม่ได้ลืมตา


เซาเตาจื่อของท่าน

...พ่อพระคงยกให้ท่านแล้ว เสียงที่ตอบกลับมาคือหลี่ซือเย๋ ทำให้ชายหนุ่มต้องสะดุ้งตัวลุกขึ้นมานั่งอีกที

ขออภัย ข้านึกว่าพ่อพระเดินย้อนกลับมา

ไม่เป็นไร คนตัวผอมหัวเราะก่อนจะยื่นผ้าผืนหนามาให้ ถ้าท่านไม่ยอมนอนในเต๊นท์ที่จัดให้ก็ห่มเสียหน่อย ข้ารู้ว่าท่านร่างกายแข็งแรงกว่าข้าเยอะนัก แต่อากาศบนนี้ก็ไม่ใช่เล่นๆ

ขอบคุณ อู๋เหลาโก่วพึมพำก่อนจะคลี่ผ้าผืนนั้นมาห่อตัวทั้งคนทั้งหมาไว้จนซันชุ่นติงครางหงุงหงิงอย่างพอใจ

บอกพ่อพระเถอะ ใบหน้าเหมือนหมาจิ้งจอกยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป


ชายหนุ่มเห็นอีกฝ่ายไปแล้วก็พลิกตัวนอนอีกครั้ง ไออุ่นของผืนผ้าชวนให้รู้สึกสบายตัวมากกว่าเดิม

...ไว้มีโอกาสค่อยไปบอกขอบคุณพร้อมเอาเซาเตาจื่อไปคืน นั่นคือความตั้งใจสุดท้ายก่อนที่ชายหนุ่มจะเคลิ้มหลับไป




หนังสือเล่มเก่าถูกปิดอย่างเบามือก่อนจะสอดเข้าไปกับแผ่นหนังซ้อนในเป้ทหาร แล้วตะเกียงก็ถูกดับลงเหลือเพียงแสงจากกองไฟภายนอก


ว่าไง


ถามขึ้นลอยๆ ในเต๊นท์ทหารที่เงียบสงัด แล้วเงาหนึ่งตรงมุมผ้าก็ค่อยๆ ชัดขึ้นเห็นเป็นรูปร่างคนที่เข้ามายืนใกล้


หลอกไม่ได้หรอกครับ เขาคงสงสัยแล้วเพียงแต่ไม่อยากถามออกมาเอง

...ก็ให้สงสัยไป

เป็นแบบนี้สุดท้ายเขาก็ต้องรู้อยู่ดี

เจ้าอยู่กับตำรามากเกินไป เรื่องในกรวยไม่มีผิดถูก อาชีพอย่างเราก็คือการหลับตาข้างหนึ่งอยู่แล้ว


จางฉี่ซานหัวเราะเบาก่อนจะโบกมือ


ไปนอนซะอาหลี่...ร่างกายแบบเจ้าจะเดินตามคนอื่นไม่ไหวเอา




TBC...next week

Saturday 18 July 2015

[fic]「秋天开的花朵」Blossom in Autumn 03 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

「秋天开的花朵」Blossom in Autumn 03 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)


「秋天开的花朵」
Blossom in Autumn

Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)
Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
Rate : G
Timeline : หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event 16/8/58 จะลงสัปดาห์ละตอนไปเรื่อยๆ จนถึงวันงานนะคะ***



ลิงค์ตอนที่ 0 1 2


03



              ในเขตเมืองเก่าของฉางซายังมีบ้านไม้ก่อตัวเรียงกันอย่างเบียดเสียด ถนนแคบๆ เป็นแผ่นหินที่สึกกร่อนไปตามเวลา หากจะเข้ามาถึงส่วนนี้ได้ก็มีแต่ต้องเดินมาจากถนนใหญ่ลัดเลาะตามแนวแม่น้ำลอดใต้เนินสะพาน ตรอกเล็กๆ แห่งนี้มีการแลกเปลี่ยนค้าขายข้าวของทุกอย่าง ตั้งแต่สัตว์ทุกชนิด ยาสมุนไพร อุปกรณ์ทำงาน หรือแม้กระทั่งอาวุธ

ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวผ่านความครึกครื้นนั้นไปอย่างไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้าง เขาเดินลึกลงไปจนถึงเรือนไม้ที่สร้างติดกับกำแพงดินและมีส่วนยื่นออกไปเหนือผิวน้ำ ชายคนนั้นถือวิสาสะก้าวผ่านเข้าไปในระเบียงบ้าน...แล้วผลักประตูตรงสุดทางให้เปิดออกจนกลิ่นธูปหอมจากด้านในกระจายฟุ้งออกมา

ห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มีโต๊ะไม้ตั้งอยู่พร้อมกับกระถางธูปมากมาย กำแพงทึบไม่อนุญาตให้แสงแดดเล็ดรอดเข้ามาได้ จึงมีเพียงตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะเท่านั้นที่ช่วยให้ความสว่าง


บ้านเก้าผู้ตรงต่อเวลา เจ้าของห้องเอ่ยทักทายก่อน เงาวูบไหวจากเปลวไฟสะท้อนกับดวงตาหลังกรอบแว่นทรงกลมเป็นแววลึกล้ำยากจะอ่านออก

เหล่าปา ผู้มาเยือนโค้งให้อย่างเคารพนับถือให้กับเจ้าบ้านสกุลฉีพร้อมกับหยิบถุงผ้าที่มีเศษเหรียญออกมาวางบนโต๊ะดูดวง

ไม่ต้อง...ของที่เจ้าต้องการข้าให้คนเตรียมไว้แล้ว ห่อผ้าถูกยกขึ้นมาบนโต๊ะดูดวงตัวเล็ก เมื่อแกะออกก็พบกับแจกันขนาดเล็กที่มีลวดลายของดอกไม้อันอ่อนช้อยงดงาม เครื่องเคลือบยุคราชวงศ์หมิงคงเป็นที่ถูกใจท่านแม่ของเจ้า

ขอบคุณท่านมาก เซี่ยจิ่วสำรวจสินค้าตรงหน้าโดยละเอียดพร้อมกับคิดคำนวณราคาค่างวดอย่างรวดเร็ว ของชิ้นนี้...

น่าเสียดาย วันนี้จะมีเรื่องใหญ่มาหาข้า ขัดขึ้นเรียบๆ สนทนากับเจ้าได้ไม่นาน แจกันใบนี้ข้าขอยกให้เจ้าแทนคำขอโทษ


คุณชายบ้านเก้าอ้าปากจะตอบแต่ก็โดนฉีเถียจุ่ยยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้หยุดพูดอีกครั้ง


เซี่ยจิ่วเย๋*’ เจ้าเป็นคนฉลาด คงรู้คำตอบของสิ่งที่สงสัยอยู่แล้ว

...กล่าวเกินไปแล้ว ชายหนุ่มนิ่งงันไปชั่วครู่กับคำกล่าวนั้นก่อนจะตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกความรู้สึก

ชะตากรรมที่เจ้าสร้างมันขึ้นมาเอง ไม่จำเป็นต้องใช้วิชาพยากรณ์ก็ย่อมเดาได้


วาจาสิทธิ์ของฉีเถียจุ่ยเมื่อกล่าวออกมาแล้วย่อมไม่มีทางเปลี่ยนแปลง คุณชายแห่งบ้านเก้าสบตาคนตรงหน้า ห่อแจกันใบเล็กถูกรวบขึ้นมาก่อนศีรษะจะคำนับอีกครั้ง


งั้นข้าคงรบกวนเพียงเท่านี้


เมื่อว่าเช่นนั้นเจ้าบ้านแปดก็ลุกขึ้นส่งพร้อมกับหยิบห่อกระดาษขนาดประมาณฝ่ามือมาใส่ลงในแจกัน กลิ่นหอมประหลาดกำจายขึ้นมาโดดเด่นจากกลิ่นธูปในห้องนั้นชัดเจน


ฝากความเป็นห่วงถึงเถ้าแก่ให้ดูแลสุขภาพด้วยนะเซี่ยจิ่ว


เสียงของฉีเถียจุ่ยแม้ราบเรียบแต่ก็มีพลังบางอย่าง เขาหันหลังให้กับคำทิ้งท้ายนั้นแล้วก้าวออกมาจากห้อง แต่เมื่อเดินออกมาถึงนอกระเบียงไม้ เรื่องใหญ่ ของฉีเถียจุ่ยก็มารออยู่แล้วตรงนั้น

คนมากมายในชุดเครื่องแบบล้วนมีแผ่นหลังเหยียดตรงและกิริยาที่นิ่งสงบไม่ต่างจากผู้เป็นนาย เซี่ยจิ่วโค้งให้นายทหารคนสำคัญอย่างไม่นึกประหลาดใจ


เหล่าปากำลังรอท่านอยู่


จางฉี่ซานเพียงพยักหน้ารับแล้วก็เดินสวนเข้าไปโดยที่ไม่ได้โต้ตอบอะไร

คุณชายบ้านเก้าเห็นดังนั้นก็หัวเราะแผ่วเบาแล้วเดินลงเนินใต้สะพานย้อนกลับไปทางเก่า...ผู้ยิ่งใหญ่แท้จริงย่อมรู้ว่าเมื่อไรถึงจำเป็นต้องคลานลงต่ำหรือไต่ขึ้นสูง พ่อพระใหญ่จางย่อมรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี

นับเป็นบุญของฉางซาหรือแผ่นดินจีนก็คงไม่ผิดนัก...


ขณะที่ชายหนุ่มกำลังก้าวผ่านสะพานหินแสงแดดก็สะท้อนกับผิวแม่น้ำเป็นประกายประหลาด เซี่ยจิ่วรับรู้ถึงความผิดปกติทันที อีกไม่นานนักอาการปวดศีรษะจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ไล่จากขมับทั้งสองข้างร้าวมาจนถึงในกระบอกตา

อาการเหล่านี้อยู่กับเขามานานจนแทบจะลืมไปแล้วว่าช่วงที่ปกติเป็นอย่างไร แต่เขาไม่เคยบอกกับใครนอกจากหมอประจำตระกูลที่ทำได้เพียงแต่การสั่งฝิ่นเพิ่มเท่านั้น ส่วนธูปจิ้นผอที่ถูกใส่มาในแจกันใบนี้...ท้ายสุดแล้วเขาก็คงจะไม่ได้ใช้มัน

สิ่งที่เขาต้องคิดนั้นมีมากมายเหลือเกินแม้ในขณะหลับตา...




พ่อพระใหญ่...ข้าเคยบอกท่านแล้วว่านั่นคือคำสุดท้าย


จางฉี่ซานมองสีหน้าราบเรียบของอีกฝ่ายแล้วก็ก้าวเข้าไป หยิบถุงผ้าเทลงบนโต๊ะดูดวงตัวเล็กนั้น


ข้าเป็นคนธรรมดาไม่ได้แตกต่างจากเจ้าหรือเซี่ยจิ่วเลย

คนธรรมดาที่ใหญ่โตขึ้นทุกที... เจ้าบ้านสกุลฉีมองเศษเหรียญก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเดินนำเข้าไปยังประตูด้านหลัง ว่ากันตามตรง...ทุกครั้งที่ท่านกลับมาที่นี่ ข้าลำบากใจเหลือเกิน


หน้าด่านของฉีเถียจุ่ยไม่เหมือนใคร...มีเพียงโต๊ะดูดวงตัวเล็กในห้องธูป จึงต้องจ่ายเศษสตางค์เพื่อจะเข้าไปยังห้องสมบัติด้านหลัง และเมื่อเลือกสินค้าขึ้นมาหนึ่งชิ้น ราคาค่างวดของมันจะถูกตั้งขึ้นมาโดยมีคำทำนายที่เป็นดังวาจาสิทธิ์รวมมาด้วย

คนมากมายมาที่นี่เพื่อคำทำนายมากกว่าสินค้าเหล่านั้น...ไม่เว้นแม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฉางซา


...ข้าไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก

นั่นเพราะท่านไม่เชื่อข้าเอง คำตอบนั้นตรงอย่างยิ่ง แต่ฮูหยินของเอ้อร์เหย่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นได้เช่นกัน


นายทหารใหญ่ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่เดินสำรวจสมบัติโบราณในห้องนั้นโดยละเอียด

แม้ฉากหน้าจางฉี่ซานจะเป็นนายพลผู้ยิ่งใหญ่ แต่เดิมนั้นเขาเป็นโจรขุดสุสานที่ได้รับถ่ายทอดวิชามาจากสำนักเหนือ มีวิชาฮวงจุ้ยลึกล้ำ สายตาเฉียบคมสามารถอ่านและวิเคราะห์สุสานโบราณได้แม่นยำจนเป็นที่เลื่องลือในอดีต ของโบราณชิ้นไหนเมื่ออยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายอะไรให้มากความ

หลังจากเงียบไปอยู่นาน สิ่งที่ถูกเลือกขึ้นมาคือกล่องหินหยกแกะเป็นลวดลายดอกไม้ ขอบของมันเลี่ยมด้วยทองอย่างประณีต สมบัติชิ้นนี้ไม่ได้มีอายุเท่าไร น่าจะเป็นของตกทอดธรรมดาในสุสานของตระกูลใหญ่ๆ ทั้งราคาค่างวดอะไรก็คงไม่ได้สูงมากมาย แต่สลักตรงฝากล่องที่เป็นชิ้นหยกขาวถูกแกะแล้วร้อยด้วยดิ้นไหมทองนั้นถูกใจเขา


“ ‘มือ’ ” ดวงตาหลังกรอบแว่นทอดมองของในมืออีกฝ่าย


สีหน้าของนายทหารหนุ่มไม่เปลี่ยนไปแม้สักนิด คล้ายกับคำกล่าวนั้นไม่มีผลต่อตัวเขาแต่อย่างใด


...ส่วนที่ข้าได้เตือนท่านไว้ก็ย่อมเป็นไปตามนั้น สุดแท้แต่ท่านจะพิจารณา


ถุงใส่เงินถูกส่งมาให้ แล้วสินค้าก็ถูกจัดใส่ห่อผ้าอย่างดี จางฉี่ซานยื่นมือรับของก่อนจะสบตาอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย


เหล่าปา บางอย่าง...ต่อให้ข้าฟังก็ไม่อาจทำตามได้

...เพราะเช่นนี้ ข้าจึงยิ่งลำบากใจ ผู้อ่อนวัยกว่าตอบ หากท่านต้องการเป็นคนธรรมดา ท่านต้องคิดแบบคนธรรมดา นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะตรวจดวงชาตะให้ท่าน


ร่างสูงใหญ่ของนายทหารเดินจากไป ทิ้งไว้แต่ความอึดอัดที่ฉีเถียจุ่ยไม่ชอบเอาเสียเลย

ถุงนั้นมีจำนวนเงินเท่ากับราคาของกล่องหยกพอดิบพอดี บางทีที่นายทหารเลือกของชิ้นนั้นอาจไม่ได้เป็นเพราะถูกใจจริงๆ แต่เลือกเพราะความเหมาะสมกับสิ่งที่ตระเตรียมไว้

แม้จะเป็นผลดีต่อฉางซา แต่ฉีเถียจุ่ยไม่ชอบนิสัยข้อนี้ของพ่อพระใหญ่ การมองส่วนรวมมองมุมกว้างมากเกินไป จนหลายครั้งก็ลืมมองตนเอง...บนที่สูงอันหนาวเหน็บ บาดแผลของผู้ยิ่งใหญ่ย่อมไม่มีใครอยู่ช่วยดูแลรักษามัน


ตัวเขามีกฏเหล็กของตนในการใช้วิชาพยากรณ์...สุดท้ายแล้วก็ได้แต่เก็บงำทุกอย่างไว้เพียงคนเดียวแล้วเฝ้ามองสิ่งต่างๆ หมุนเปลี่ยน

ผู้ยิ่งใหญ่เกี่ยวพันกับผู้คนมากเกินไป คำพูดเดียวของเขาอาจจะทำให้ดวงชะตาของใครอื่นปั่นป่วน เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนทำถูกหรือไม่...แต่สิ่งที่เขาบอกพ่อพระใหญ่จางไปอาจจะไม่ใช่คำตอบของคำถามที่อีกฝ่ายต้องการ

บางทีเขาก็ได้แต่หวัง...ว่าเมื่อเรื่องทุกอย่างจบลงจะไม่มีใครต้องเสียใจภายหลัง


++++++


              พี่รอง แรกๆ ที่ลงดินพี่ไม่กลัวบ้างหรือ

อะไรของเอ็งอีกวะไอ้หนู

ก็ในนั้นมันมีอะไรอยู่ก็ไม่รู้ พี่ไม่กลัวบ้างหรือไง?’

ไอ้โง่เอ้ย

สบถยาวเหยียดจบหนุ่มตาเดียวก็หันมาง้างมือตบหัวเข้าให้แบบไม่มีปราณีสักนิดจนคนเป็นน้องต้องครางโอด

จะกลัวทำไมกับของที่ไม่รู้...เอ็งแค่เข้าไปให้รู้แล้วซัดมันซักโป้งก็จบ



พี่รองของอู๋เหลาโก่วอายุเยอะกว่าหลายปี เป็นคนหนุ่มที่มีพลัง ใจห้าวหาญ ไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด...ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยเห็นพี่ชายคนนี้จะยอมแพ้กับอะไร ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนพี่รองก็แค่พุ่งชนกับมัน

หากไม่ได้อายุสั้นไปเสียก่อน...ก็คงจะเป็นผู้นำสกุลที่ยิ่งใหญ่ได้มากกว่าตัวเขาในตอนนี้


แผ่นปั๋วเพี่ยนในกล่องไม้ถูกหยิบขึ้นมาส่องกับแสงตะเกียงวูบไหว ปลายนิ้วไล้แผ่วเบาไปตามลวดลายสีซีด ชายหนุ่มไม่เคยเข้าโรงเรียน...แต่ถึงเคยได้เรียนเขียนอ่านจริงๆ ข้อความบนผืนผ้าไหมนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะแกะออกโดยง่าย

สมบัติมากมายขุดขึ้นมาได้ก็ถูกแลกเปลี่ยนกับพวกคนต่างชาติผู้บ้าคลั่งของโบราณ...จะมีก็แต่แผ่นจารึกผืนนี้ที่อย่างไรก็ตัดใจขายไปไม่ลง


ของดูต่างหน้า?

ไม่หรอก...ผู้ที่หากินกับสมบัติคนตายอย่างพวกเขาไม่ละเอียดอ่อนถึงขั้นนั้น


ชายหนุ่มม้วนผืนผ้าอย่างระวังแล้วเก็บกลับลงไปในก้นหีบที่ลึกที่สุดเช่นเดิม ก่อนจะกลับมานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน...จนน้ำมันตะเกียงหมดแล้วฟ้าสางในที่สุด


ซันชุ่นติง ศีรษะเล็กๆ ผงกขึ้นหันมองเจ้าของทันทีที่กระซิบเรียก ดวงตาใสมองสบไม่หลบหนี ครั้งนี้เจ้าก็ยังจะไปกับข้าใช่ไหม?”


เจ้าหมาแคระลุกเดินเตาะแตะมาที่ขอบโต๊ะก่อนจะกระโดดลงมาบนหน้าตักของเจ้าของ เอาปลายจมูกดุนแขนแล้วมุดเข้าไปอยู่ในแขนเสื้ออย่างรู้งานจนชายหนุ่มหลุดขำ


...ไปกันเถอะ


อู๋เหลาโก่วลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกไป แล้วสุนัขนับสิบก็ค่อยๆ ลุกเดินตามติดไปไม่ห่างเจ้าของ

แต่เมื่อก้าวออกไปพ้นเขตบ้าน ตรงนั้นก็มีรถทหารจอดรออยู่แล้ว โดยมีเจ้าของใบหน้านิ่งยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านข้าง พ่อพระใหญ่จางไม่มีเครื่องแบบทหารอยู่บนตัวอย่างที่ใครต่อใครชินตา นั่นทำให้เขารู้สึกสนิทใจมากกว่าจนกล้าเปิดรอยยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย...เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายปีก่อนในค่ำคืนกลางสายฝน


สาย เสียงนั้นดุอย่างยิ่งหากไม่ได้ทำให้เขาเกรงกลัว

...คณะเดินทางของสกุลอู๋มันวุ่นวายอยู่สักหน่อย พยักเพยิดไปทางสุนัขของตน หากท่านจะกรุณา...

ขึ้นมา


ประตูรถถูกเปิดให้ก่อนที่สุนัขพันธุ์ทางสีดำสนิทจะกระโดดขึ้นไปเป็นตัวแรก ตามมาด้วยทิเบแทนมัสติฟตัวอ้วนสีน้ำตาลแดงที่กินพื้นที่ไปกว่าครึ่ง


หวังว่าครั้งนี้จะเป็นกรวยอวบนะพ่อพระ อู๋เหลาโก่วเอ่ยกระเซ้าก่อนจะได้เห็นมุมปากของอีกฝ่ายขยับยกขึ้น

ส่วนแบ่งของเจ้าจะเป็นที่น่าพอใจ


ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเบา ก้าวขึ้นรถไปบ้างโดยมีหัวหน้าคณะในครั้งนี้ปิดประตูตามหลังให้ แล้วขบวนรถก็เริ่มเคลื่อนตัวออกจากเขตตัวเมืองฉางซา

สุนัขจิ๋วมุดออกมากลิ้งตัวบนตัก ดวงตาแป๋วจ้องหน้าเจ้าของอย่างมีความหมายก่อนจะเห่าเบาๆ


ข้ารู้...ไม่ต้องห่วงหรอก


ปลายนิ้วของเขาสัมผัสลูบศีรษะของเพื่อนตัวน้อยอย่างแผ่วเบาก่อนจะหันมองออกไปยังต้นไม้ที่มีใบสีเหลืองเขียวด้านนอก

อากาศเย็นลงทุกทีแล้วนะ...พี่รอง



TBC...next week