「秋天开的花朵」Blossom
in Autumn 04 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
「秋天开的花朵」
Blossom in Autumn
Blossom in Autumn
Fandom
: Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)
Pairing
: 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
Rate
: G
Timeline
: หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event 16/8/58 จะลงสัปดาห์ละตอนไปเรื่อยๆ จนถึงวันงานนะคะ***
pre-orderได้ที่นี่ค่ะ (ภายในวันเสาร์นี้แล้วนะคะ!)
04
ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามสกุลระนาบแห่งฉางซา
เรื่องเดินเข้าออกสุสานนั้นก็เหมือนกิจวัตรที่อู๋เหลาโก่วทำไม่ขาด
ตั้งแต่จับปืนขึ้นนกได้เขาก็ติดตามปู่และพ่อขึ้นลงดินไปทั่วสารทิศ...แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่มีคนร่วมงานเยอะถึงเพียงนี้
คณะคว่ำกรวยของพ่อพระใหญ่จางในครั้งนี้ประกอบด้วยคนจำนวนเกินยี่สิบชีวิตและลาบรรทุกของอีกสองตัว
ทุกคนในขบวนล้วนเป็นทหารสังกัดหน่วยพิเศษที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อแอบแฝงตัวตนของหัวขโมยไว้กับกองทัพใช้หลักการไม่ต่างกับพวกฮ่องเต้ยุคโบราณ
หลังจากออกจากเขตเมืองมาได้
ก็ไปหยุดขบวนรถที่ค่ายทหารนอกเมืองแล้วต่อจากนั้นก็เป็นการเดินเท้าขึ้นเขาไต่ตามแนวเขาเลาะมาจนถึงเขตป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยต้นไม้หนาแน่นและเถาวัลย์ท่อนเท่าแขน
แม้ยามกลางวันแสงสว่างก็แทบลอดไม่ผ่านร่มไม้ลงมา
“โก่วอู่เย๋”
เสียงหนึ่งเรียกขึ้นทำให้เขาหันไปมองโดยที่ไม่ได้ผ่อนฝีเท้าลง “หากคืนนี้จะตั้งค่ายที่เนินดินด้านหน้าท่านคิดเห็นอย่างไร”
“...ใกล้แหล่งน้ำมากเกินไป เข้าเขตหมั่งซานมาพอสมควร ควรหาที่โล่งมากกว่านี้” เขาตอบไปตามที่คิด
“ขอบคุณท่านมาก”
ชายหนุ่มรูปร่างผอมจุดรอยยิ้มที่มุมปาก ดวงตาตี่มีประกายความพึงพอใจชัดเจน
“เจ้าไม่ต้องเรียกข้าแบบนั้น เราอายุไม่ได้ต่างกันเลยหลี่ซือเย๋”
พอบอกแบบนั้นคนฟังก็ยิ้มขำจนดึงรูปคางเรียวแหลมทำให้เหมือนหมาจิ้งจอกมากขึ้น
“หากท่านเลิกเรียกข้าว่าซือเย๋ ข้าจะเลิกเรียกท่านว่าเถ้าแก่”
ว่าจบแล้วก็เดินผละออกไป
คนฟังจึงโคลงศีรษะอย่างไม่รู้จะว่าอย่างไร
ชายผู้นี้ไม่มีท่าทางของนักขุดหรือแม้กระทั่งทหาร ใครๆ ก็เรียกเขาว่าหลี่ซือเย๋ด้วยความเคารพ
ในบรรดาผู้ร่วมขบวนทั้งหมดซึ่งเป็นเหล่านายทหารใบ้ไม่ต่างกับเจ้านายใหญ่
ก็เห็นจะมีแต่ซือเย๋คนนี้ที่พอจะสนทนากันได้เขาจึงรู้สึกถูกชะตาด้วย
คนคนนี้มีความฉลาดเฉลียวรู้ทันในแววตา
เพียงแต่อู๋เหลาโก่วฝึกจิตมากับเซี่ยจิ่วตั้งแต่เล็กแต่น้อย ไหนเลยซือเย๋ท่านนี้จะทำอะไรเขาได้
เวลาผ่านไปจนตะวันเริ่มคล้อยต่ำ
อาการเหนื่อนล้าจากการเดินเท้าระยะไกลทำให้ประสาทสัมผัสตื่นตัวน้อยลง ทันใดนั้นทิเบแทนมัสติฟตัวยักษ์ก็ร้องคำรามขึ้นก่อนจะพุ่งไปกระแทกนายทหารคนหนึ่งจนล้มลง
ขบวนที่เคยเงียบสงบเกิดความโกลาหนในทันที แต่แทนที่เจ้าของสุนัขจะห้ามปรามเขากลับไม่สนใจ
แล้วหันไปเรียกเจ้าสุนัขดำให้กระโจนเข้าไปในพงหญ้าซึ่งสั่นไหวอย่างน่ากลัวแทน
ครู่เดียวซากศพของงูเขียวก็ถูกลากออกมา
ลำตัวของมันมีลายพรางสีน้ำตาลเข้มดูกลมกลืนไปกับต้นไม้ บริเวณคอถูกขย้ำจนเกือบขาดแต่ยังเห็นเขี้ยวยาวที่ง้างออกพร้อมจู่โจมชัดเจน
อู๋เหลาโก่วดึงซากนั้นมาสำรวจจนแน่ใจจึงผิวปากเรียกให้เจ้าหมายักษ์ลุกขึ้นจากตัวของผู้ร่วมขบวน
“นั่นอะไร” ใครสักคนถามขึ้น
“งูหัวเหล็ก...หากโดนพิษเข้าแล้วหาชาวภูเขาแถบนี้ไม่เจอก็มีแต่ต้องไปยมโลก” เขาตอบพลางโยนซากงูออกไปให้ห่าง แล้วลูบศีรษะเจ้าหมาดำตัวผอม “ดีมากถังเซิง”
เมื่อหายจากอารามตกใจขบวนกกลับสู่ระเบียบเดิมแล้วมุ่งหน้าต่อโดยมีบรรยากาศตึงเครียดของความระวังตัวแทรกอยู่
ปกติแล้วโจรขุดสุสานไม่ค่อยมีใครขึ้นมาคว่ำกรวยกันบนเขา...เพราะนอกจากจะต้องใช้คนมาก
ได้ไม่คุ้มเสีย แล้วยังต้องมีความชำนาญพิเศษที่ไม่ใช่ว่าใครๆ จะทำได้
“งูชนิดนี้ชอบซุ่มตัวอยู่ในพงหญ้ากับที่รกสินะ”
ซือเย๋หนุ่มเดินตีเสมอมาด้านข้าง
“อืม ข้าเคยโดนกัด แค่ถากๆ แต่เกือบเอาชีวิตไม่รอดไปเหมือนกัน”
“คนที่ขึ้นลงเขาจนชำนาญอย่างท่านก็ยังเคยโดนงั้นหรือ”
“...ข้าเคยมาแถวนี้อยู่บ้างเท่านั้น ไม่ได้ชำนาญอะไร”
ตอบก่อนจะถามกลับไป “ทำไมท่านถึงคิดแบบนั้น”
“พ่อพระบอกข้าว่าท่านเป็นคนหมู่บ้านเม่าซาจิ่ง ท่านจะบอกว่าตนไม่ได้ขึ้นลงเขาบ่อยๆ?”
ครั้งนี้อู๋เหลาโก่วไม่ได้ตอบแต่หันกลับไปมองหัวหน้าขบวนที่กำลังสั่งการบางอย่างอยู่ทันที
แสงตะวันสีแสบตาหรี่ลงเรื่อยๆ
คณะเดินทางเร่งฝีเท้ามาจนถึงลานโล่งที่ตีนหน้าผาแห่งหนึ่ง
หลังจากสำรวจพื้นที่โดยรอบแล้วจึงเริ่มตั้งค่ายอย่างรวดเร็ว แม้จะมีจำนวนคนมาก
แต่การดำเนินงานอย่างเป็นระเบียบแบบแผนกลับไม่ทำให้ความคล่องตัวลดลงแต่อย่างใด
อากาศบนหุบเขายามค่ำคืนค่อนข้างเย็นจัด
ไออุ่นจากกองไฟเรียกให้ทุกคนเข้ามานั่งล้อมวงกันได้ไม่ยาก เสียงพูดคุยเบาๆ ดังขึ้นรอบๆ
อู๋เหลาโก่วนั่งพิงเจ้าสุนัขยักษ์ขนฟูมองภาพความเงียบสงบอย่างสบายใจ แต่ในช่วงที่เขากำลังจะเคลิ้มหลับก็รู้สึกว่ามีคนลงมานั่งข้างๆ
เมื่อเปิดเปลือกตาดูหนึ่งข้างแล้วเขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นมา
“ทำไมท่านถึงคิดว่าข้าเกิดที่เม่าซาจิ่ง”
“...แล้วเจ้าไม่ได้เกิดที่นั่นหรือ”
เสียงทุ้มของอีกฝ่ายถามกลับ
เขาจึงเม้มปากไม่ตอบอะไรบ้าง
หมู่บ้านเม่าซาจิ่งนั้นตั้งอยู่ติดกับตีนเขาเป็นบ้านเก่าของสกุลอู๋มาหลายชั่วอายุคน
บ้านเก่าของเขาตรงนั้นในปัจจุบันยังเป็นเพียงบ้านดินไร้ขอบรั้วชัดเจน
อู๋เหลาโก่วย้ายออกจากตรงนั้นมาอยู่ที่หน้าด่านในตัวเมืองฉางซาได้หลายปีแล้ว หากไม่มีธุระกับศาลบรรพชนเขาก็ไม่กลับไป
ในเมื่อไม่มีคนเป็นให้กลับไปหาอีกแล้ว...
“ข้าเดา ที่ดินในหมู่บ้านนั้นเป็นของสกุลอู๋มากกว่าครึ่ง” พ่อพระใหญ่ตอบช้าๆ “แล้วตอนที่เดินทางผ่าน
เจ้าหันมองหมู่บ้านนั้นจนลับตา”
ฟังแล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรไป
แม้ดวงตาเฉียบคมนั้นจะไม่ได้จับจ้องอยู่...แต่เขากลับตกอยู่ในการเฝ้ามองของอีกฝ่ายอย่างเต็มตัว
จางฉี่ซานมีลักษณะที่ดีของการเป็นผู้นำที่มีคนพร้อมใจติดตาม...ความช่างสังเกตและใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยก็เป็นหนึ่งในนั้น
นายทหารใหญ่มีบุคลิกเคร่งขรึม ดูจริงจังในทุกการกระทำและคำพูด แต่บรรยากาศรอบตัวกลับไม่ได้น่าเกรงขามจนอึดอัด
นายทหารอายุน้อยคนหนึ่งหยิบขวดเหล้ามาให้เจ้านาย
ท่าทีของคนในขบวนบอกว่ามีความใกล้ชิดกับพ่อพระใหญ่ไม่น้อย
แต่ในความสนิทสนมนั้นก็มีความเคารพนับถือผสมกันอยู่
จางฉี่ซานยกขวดเหล้าขึ้นดื่มสองสามคำก่อนจะยื่นมาให้
คนอายุน้อยกว่าก็ยินดีรับมาไม่ให้เสียมารยาทก่อนจะยกขึ้นกระดกบ้าง แต่แล้วความรู้สึกร้อนวาบที่ไม่ทันตั้งตัวก็ไหลลงตามลำคอพร้อมกับขึ้นวิ่งจมูก
อู๋เหลาโก่วไอแค่กออกมาเล็กน้อย เดือดร้อนนายทหารใหญ่ต้องมาลูบหลังให้
“ระวังหน่อย”
“เห็นท่านยกดื่มแบบนั้นข้าก็นึกว่าเจี้ยนหนานชุน” ว่าถึงเหล้าดีกรีต่ำแล้วก็ยกขวดตรงหน้าขึ้นจิบเบา
ครั้งนี้เมื่อตั้งตัวได้ เขาก็ละเลียดรสชาติขมปร่าอย่างช้าๆ
เหล้าชนิดนี้เรียกว่าเซาเตาจื่อ ที่หมู่บ้านเม่าซาจิ่งของเขานิยมกลั่นเอง มีดีกรีสูงมาก
เอาไว้กินแก้หนาวได้ดี
“ขอโทษ” ในเมื่อกลิ่นฉุนแรงยังคงติดจมูกเขาอยู่ก็ไม่น่าที่อีกฝ่ายจะไม่ทันสังเกต
“วิชาที่โด่งดังของสกุลอู๋คือดมกลิ่นดูหน้าดิน?”
“...จมูกข้าไม่ได้กลิ่นอีกแล้ว”
ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะบอกออกไป
แต่ถึงแม้จะบอกไปแบบนั้นพ่อพระใหญ่ก็ยังคงมีสีหน้าราบเรียบคล้ายกับทราบอยู่แล้ว
อู๋เหลาโก่วจึงยกมือขึ้นลูบสันจมูกของตัวเองซึ่งมีรอยหักเล็กน้อยที่ถ้าไม่สังเกตคงไม่เห็น
“อุบัติเหตุจากการคว่ำกรวย”
“แต่ก็ฝึกหมาให้ดมกลิ่นแทนได้”
“ไม่งั้นข้าก็อดตาย” เขาหัวเราะ “ตั้งแต่จำความได้ก็รู้แต่วิชาขึ้นลงสุสาน โรงเรียนก็ไม่ได้เข้า...ให้ไปทำอย่างอื่นเอาตัวไม่รอดหรอก”
อู๋เหลาโก่วยกแขนขึ้นแล้วซันชุ่นติงก็มุดออกมาจากแขนเสื้อ
ส่ายหัวเล็กๆ ไปมาก่อนจะส่งสายตาใสซื่อใส่พร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดอย่างสนใจ ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะดันก้นให้เจ้าตัวน้อยเดินเตาะแตะไปทางพ่อพระใหญ่
หมาจิ๋วไต่ขึ้นมาแล้วขดตัวบนหน้าตักของนายทหารใหญ่อย่างสบายใจ
จนคนที่ไม่ชินกับสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ได้แต่ขมวดคิ้วหนักเพราะทำอะไรไม่ถูก
ท่าทางนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างกว้างเจ้าของได้อีกไม่น้อย
“มันชอบท่าน”
“...เจ้าเอาเจ้าหนูนี่ไปทำอะไรในกรวยกัน”
“อย่าดูถูกไป ถ้ามีซันชุ่นติงอยู่ด้วยต่อให้เป็นศพโลหิตข้าก็ไม่กลัว” จางฉี่ซานแล้วมองดวงตาวิบวับของอีกฝ่ายแล้วก็พาลนึกถึงเด็กหนุ่มเมื่อหลายปีก่อนคนนั้น...คนที่จริงใจและซื่อตรงอย่างยิ่ง
“เป็นคู่หูของเจ้างั้นสิ”
“ข้าไม่มีจมูก ซันชุ่นติงก็เป็นจมูกให้ข้า
ถ้าซันชุ่นติงวิ่งตามหมาตัวอื่นไม่ทัน ข้าก็จะเป็นขาให้มันเอง จะกรวยไหนข้าก็ไม่กลัวถ้ามีซันชุ่นติง”
พ่อพระใหญ่มองคนจริงจังกับเจ้าหมาน้อยที่ขดตัวเป็นก้อนขนนุ่มนิ่มสลับกันแล้วก็หลุดขำออกมาเองจนคนอายุน้อยกว่าถึงกับชะงักไป
“ขอโทษ...ข้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดี” ยังคงยกมุมปากขึ้นอย่างที่หาได้ยาก
“เพียงแต่คิดแล้วรู้สึกว่าเหมาะกันมากจริงๆ”
มือสากของนายทหารช้อนสิ่งมีชีวิตตัวน้อยขึ้นมาแล้วส่งคืนให้เจ้าของ
“หมาน้อย”
ว่าจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปทิ้งให้คนฟังอยู่กับความรู้สึกงุนงง
ใจหนึ่งก็รู้สึกเหมือนถูกหยามนิดๆ
แต่อีกใจก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้...คิดดูแล้วต่อให้ใครจะพูดยกย่องอย่างไร
หากเทียบชั้นเจ้าบ้านสกุลระนาบแบบเขากับพ่อพระใหญ่ก็คงต้องเรียกว่าเป็นคนละเวที
ในสายตาของจางฉี่ซานเขาคงจะเป็นเพียงไอ้หนูนักขุดหัวหยองที่อ่อนด้อยด้านประสบการณ์อย่างยิ่ง
...พูดจาอวดดีไปแบบนั้นจะโดนหัวเราะเข้าให้ก็คงไม่แปลก
อู๋เหลาโก่วไถลตัวลงอิงกับขนหนาฟูของหมายักษ์
กระชับเสื้อคลุมตัวนอกให้แน่น ก่อนจะหามุมที่นอนสบาย
ซันชุ่นติงไต่ขึ้นมาซุกตัวกับอกเสื้อ ขนไม่สั้นไม่ยาวชวนจั๊กกะจี้ทำให้ชายหนุ่มย่นจมูก
“นี่...สักวันมาทำให้พ่อพระเห็นกันดีกว่าว่าเราทำอะไรได้บ้าง”
หมาจิ๋วเห่าเบาๆ
แล้วมุดเข้าไปในสาบเสื้อตัวนอกอย่างขี้เกียจ จนเจ้าของได้แต่ทอดถอนใจ
อู๋เหลาโก่วหลับตาลงก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าอีกครั้ง
จึงหยิบขวดเหล้าที่วางอยู่ข้างตัวยื่นให้โดยไม่ได้ลืมตา
“เซาเตาจื่อของท่าน”
“...พ่อพระคงยกให้ท่านแล้ว”
เสียงที่ตอบกลับมาคือหลี่ซือเย๋ ทำให้ชายหนุ่มต้องสะดุ้งตัวลุกขึ้นมานั่งอีกที
“ขออภัย ข้านึกว่าพ่อพระเดินย้อนกลับมา”
“ไม่เป็นไร” คนตัวผอมหัวเราะก่อนจะยื่นผ้าผืนหนามาให้
“ถ้าท่านไม่ยอมนอนในเต๊นท์ที่จัดให้ก็ห่มเสียหน่อย
ข้ารู้ว่าท่านร่างกายแข็งแรงกว่าข้าเยอะนัก แต่อากาศบนนี้ก็ไม่ใช่เล่นๆ”
“ขอบคุณ” อู๋เหลาโก่วพึมพำก่อนจะคลี่ผ้าผืนนั้นมาห่อตัวทั้งคนทั้งหมาไว้จนซันชุ่นติงครางหงุงหงิงอย่างพอใจ
“บอกพ่อพระเถอะ”
ใบหน้าเหมือนหมาจิ้งจอกยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป
ชายหนุ่มเห็นอีกฝ่ายไปแล้วก็พลิกตัวนอนอีกครั้ง
ไออุ่นของผืนผ้าชวนให้รู้สึกสบายตัวมากกว่าเดิม
...ไว้มีโอกาสค่อยไปบอกขอบคุณพร้อมเอาเซาเตาจื่อไปคืน
นั่นคือความตั้งใจสุดท้ายก่อนที่ชายหนุ่มจะเคลิ้มหลับไป
หนังสือเล่มเก่าถูกปิดอย่างเบามือก่อนจะสอดเข้าไปกับแผ่นหนังซ้อนในเป้ทหาร
แล้วตะเกียงก็ถูกดับลงเหลือเพียงแสงจากกองไฟภายนอก
“ว่าไง”
ถามขึ้นลอยๆ
ในเต๊นท์ทหารที่เงียบสงัด แล้วเงาหนึ่งตรงมุมผ้าก็ค่อยๆ ชัดขึ้นเห็นเป็นรูปร่างคนที่เข้ามายืนใกล้
“หลอกไม่ได้หรอกครับ เขาคงสงสัยแล้วเพียงแต่ไม่อยากถามออกมาเอง”
“...ก็ให้สงสัยไป”
“เป็นแบบนี้สุดท้ายเขาก็ต้องรู้อยู่ดี”
“เจ้าอยู่กับตำรามากเกินไป เรื่องในกรวยไม่มีผิดถูก
อาชีพอย่างเราก็คือการหลับตาข้างหนึ่งอยู่แล้ว”
จางฉี่ซานหัวเราะเบาก่อนจะโบกมือ
“ไปนอนซะอาหลี่...ร่างกายแบบเจ้าจะเดินตามคนอื่นไม่ไหวเอา”
TBC...next week