Sunday 12 June 2016

[fic] 「緣分」 fate 00 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)


「緣分」

fate




Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)

Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

Rate : G

Timeline : ช่วงปี1960-1963

***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event2 28/8/59***

แบบสอบถามความสนใจ+รายละเอียดค่ะ >> https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfZokZ6TKMev2-oNPyhfYMPvrmB4TDHrwEnpPdWVCocyIIx1g/viewform





00







อาคารอิฐฉาบปูนหลังใหญ่ซึ่งถูกล้อมด้วยรั้วหนามยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางสายหมอกที่ทิ้งตัวลงต่ำตามความชื้นแฉะของอากาศ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นกรวดจำนวนมากดังไปทั่วลานกว้างด้านใน สุนัขตัวใหญ่ยักษ์หลายพันธุ์วิ่งเรียงกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบโดยไม่ส่งเสียงเห่า




“หดหู่จังนะ...”




เสียงแหบเปรยขึ้นเบาๆ จากคนที่กำลังยืนเหม่อมองท้องฟ้าสีเทาขมุกขมัว




“นั่นสิ” อีกเสียงตอบก่อนจะทำเสียงขึ้นจมูก “จะตายเมื่อไร คงได้แต่นับเม็ดข้าวสารรอ”

“...ทางนั้นเขาไม่เอาเราแล้วนี่”

“ก็ไม่น่าแปลก ทุกวันนี้ก็เหมือนหมาบ้า กัดกับฝูงอื่นเสร็จก็หันมากัดกันเอง ไม่ได้คิดเลยว่าอาจจะอดตายก่อนโดนขย้ำคอหอย”

“พูดถึงอดตาย...คนที่บ้านเก่าข้าเพิ่งย้ายเข้ามาหังโจว บอกจะให้หางานให้ อยู่นู่นทำนาก็อดตาย สู้เข้าเมืองมาเสี่ยงดวงเอาเขาว่าอาจจะดี” ว่าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เขาที่ว่านั่นมันใครกันล่ะวะ ในเมืองตอนนี้ก็มีแต่คนตกงานแต่ไม่มีงาน ไอ้การพัฒนายี่สิบปีในหนึ่งวันอะไรนั่นมันก็แค่ขายฝันลมๆ แล้งๆ”




คำพูดแบบกระแทกกระทั้นใส่อารมณ์นั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวังจนคนฟังอยากจะอ้าปากเข้าผสมโรงต่อด้วยอย่างอัดอั้นถ้าไม่ติดว่ามีเสียงกระแอมไอดังขึ้นจากด้านหลัง ทั้งคู่สะดุ้งสุดตัวเพราะไม่คิดว่าจะมีใครผ่านเข้ามาได้ยิน อาการลนลานถูกเก็บเอาไว้เหลือเพียงสายตาเลิกลั่ก เหงื่อที่ซึมชื้นตรงขมับและมือที่เลื่อนแตะปืนพกข้างเอว




“สมัยนี้เป็นอย่างไรข้าไม่ใคร่แน่ใจนัก แต่สมัยก่อนพูดจาหมิ่นเบื้องสูงโทษคือจับตัดลิ้น” ชายวัยกลางคนก้าวเข้ามาที่ทางเดินข้างลาน สีหน้าเรียบเฉยนั้นมีแววตำหนิในดวงตาก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากแล้วกล่าวไปคนละเรื่อง “วันนี้ข้าขอตัวก่อนเวลา อีกไม่นานฝนคงลงเม็ด”

“...ครับท่าน” นายทหารคนแรกได้สติโค้งศีรษะให้อีกฝ่ายก่อนพร้อมกับรับคำด้วยเสียงเบาหวิว มือเลื่อนกลับมาอยู่ที่ตะเข็บกางเกงเหมือนเดิม “พวกข้าต้องขออภัยด้วยครับ”

“ขอโทษอะไร ข้าไม่ได้ยินอะไรแม้แต่นิดเดียว”




เจ้าของคำกล่าวนั้นหัวเราะในลำคอแล้วก้าวผ่านหน้าไประยะใกล้เพียงหนึ่งช่วงแขนแต่นายทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดีเช่นพวกเขากลับไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเลยสักนิด ชายผู้นี้ดูภายนอกท่าทางเหมือนคนธรรมดาทั่วไปแต่กลับมีรัศมีบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกยำเกรง




“...เกือบไปแล้วไง” ทันทีที่แผ่นหลังนั้นลับตาลมหายใจก็พรูออกมาอย่างโล่งอก

“โชคดีดีที่เป็น ‘คนฝึกหมา’ หากเป็นคนอื่นมาได้ยินพวกเราคงไม่รอด”

“เขาเป็นใครกัน”

“นี่เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ” เสียงตอบถูกหรี่ลงไปอีกจนอีกฝ่ายต้องขยับเข้ามาใกล้อย่างสนใจ “เขาว่า ‘คนฝึกหมา’ คนนี้เคยเป็นคนมีชื่อเสียงในฉางซา”

“หืม เจ้าจะบอกว่าคนคนนี้เป็นหนึ่งในตำนานโจรขุดสุสานของฉางซาน่ะหรือ” ถามกลับไปอย่างเหลือเชื่อ “ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องแต่งเล่ากันสนุกๆ เสียอีก”

“จะไปแน่ใจได้หรือ...แต่เท่าที่ดู เขาก็ใช่คนธรรมดาเสียเมื่อไรเล่า “




เสียงพูดคุยที่ดังสะท้อนมุมตึกทำให้ชายผู้ถูกนินทาระยะใกล้ถอนหายใจ...เพิ่งถูกด่าไปยังไม่ทันสิ้นคำดีก็ปากหาเรื่องต่อ มันน่าปล่อยให้ถูกลากคอไปซ้อมสักรอบจะได้เข็ดขยาด




“เรื่องของพวกเรากลายเป็นนิทานหลอกเด็กไปเสียแล้ว” เสียงเห่ารับคำเบาๆ ดังออกมาจากในแขนเสื้อ “แต่ก็ถูกของพวกเขานะ...ถึงตอนนี้แล้ว แม้แต่ตัวข้าเองกับหลายๆ เรื่องก็ยังคิดว่ามันอาจจะเป็นแค่ความฝัน”




นอกรั้วหนามที่ถูกเลื่อนเปิดให้นั้นเริ่มมีหยดน้ำเล็กๆ โปรยปรายลงมาดังคำกล่าวเมื่อก่อนหน้านี้ เขาปฏิเสธคำเสนอที่จะนำรถไปส่งให้ในตัวเมืองของนายทหารที่เฝ้าประจำการอยู่อย่างสุภาพก่อนจะก้าวเดินออกไปกลางฝนหมอกที่ทำให้ภาพเบื้องหน้าลางเลือน




“เหมือนเราก็เคยเดินตากฝนด้วยกันแบบนี้เลยนะ กลับบ้านกันเถอะ...ซันชุ่นติง”







TBC...




#ปล่อยของรายสัปดาห์ค่า

Thursday 2 June 2016

[Fic] Letter from Edinburgh (Yangyang x Liyifeng) [END]


*ฟิคสั้นวาเลนไทน์ค่ะ อย่าถามว่าทำไมเพิ่งเอามาลงป่านนี้ 55555 ตั้งใจจะมาอัพวันละตอนจนจบนะคะ :)*


Letter from Edinburgh

-1-

เสียงถอนหายใจดังขึ้นในห้องพักที่มีเพลงจากคอมพิวเตอร์บนโต๊ะบรรเลงอยู่เบาๆ กล่องกระดาษใบสุดท้ายถูกพับเก็บแล้วสอดเอาไว้หลังตู้วางของก่อนที่เจ้าของห้องจะไปลากเครื่องดูดฝุ่นมาทำความสะอาดอีกครั้งเป็นอันเสร็จสิ้นพิธี หลี่อี้เฟิงหันมองข้าวของที่ถูกจัดเรียบร้อยอย่างภาคภูมิใจ

เดือนธันวาคมแบบนี้อากาศภายนอกหนาวจนแทบแข็งตายแต่เขาที่ย้ายของเข้าห้องพักใหม่ใกล้มหาวิทยาลัยกลับใช้แรงในการจัดห้องมาตั้งแต่ช่วงสายจนเหงื่อซึมชื้นตรงไรผม...จริงๆ นี่ไม่ใช่ช่วงที่ควรย้ายห้องพักแต่หลี่อี้เฟิงมีความจำเป็นบางประการทำให้ต้องเดินฝ่าหิมะไล่หาอยู่เป็นสัปดาห์จนมาเจอห้องนี้ซึ่งเจ้าของเพิ่งย้ายออกไปได้ไม่นาน หลังจากตัดสินใจปุบปับเขาก็เซ็นสัญญาแล้วย้ายของเข้ามาทันทีโดยไม่ทันได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนคนไหน ทำเอาต้องใช้แรงไปไม่น้อยกับการขนข้าวของมหาศาลของตัวเองขึ้นมาถึงชั้นสี่โดยที่ไม่มีลิฟต์
ชายหนุ่มลูบหน้าท้องซึ่งเริ่มประท้วงเบาๆ แล้วตัดสินใจคว้าเสื้อนอกกับกระเป๋าเงินเดินออกมา ลมหนาวหอบเอาเกล็ดหิมะพักเข้าหน้าทันทีที่เปิดประตู ดวงตาโตกะพริบสองสามครั้งก่อนจะเพ่งมองฝ่าอากาศขมุกขมัวไปยังสวนสาธารณะตรงข้ามหอพัก แล้วจึงก้าวสาวเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว


“เรียบร้อยดีไหม?” คำถามนี้เป็นของคุณลุงผู้ดูแลที่นั่งเฝ้าอยู่ชั้นล่าง ใบหน้ายับย่นฉายแววใจดีจนทำให้นึกถึงคุณปู่ที่บ้านนอก บนโต๊ะกว้างนั้นมีกาน้ำชากับแมวสีเทาตัวอ้วนที่นอนขี้เกียจชวนให้เข้าไปลูบหัวเกาคาง

“ครับ ยังไม่มีปัญหาอะไร” เขายิ้มตอบให้กับคำถามนั้น

“มีอะไรก็มาบอกแล้วกัน...เอ้อ มีจดหมายมานะ” ปลายนิ้วสั่นๆ ชี้ไปทางตู้ไม้ข้างกำแพงช้าๆ


หลี่อี้เฟิงบอกขอบคุณอีกครั้งก่อนจะเดินไปหยุดหน้าตู้พร้อมความงุนงง ชายหนุ่มไล่สายตาไปตามเลขห้องจนเจอ เขามองเพ่งเข้าไปในรูสอดจดหมายจนเห็นว่าภายในนั้นมีอะไรอยู่จริงๆ จึงหยิบกุญแจตู้ที่เพิ่งได้รับขึ้นมาไข

โปสการ์ดนั้นเป็นรูปถ่ายปราสาทโบราณเหมือนในนิทานดิสนีย์ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นของฤดูหนาวดูงดงามและเหงาจับใจ เขาไล้ปลายนิ้วไปตามขอบก่อนจะพลิกดูข้อความด้านหลัง...ซึ่งก็เป็นดังคาด โปสการ์ดนี้ไม่ได้จะส่งถึงเขา


‘ฉันมัวแต่ยุ่งกับการย้ายห้อง ที่อยู่ใหม่ข้างล่างนะ ส่งโปสการ์ดมาตามสัญญาแล้ว หยุดทวงได้แล้วโว้ย - หยางหยาง’


เขากวาดสายตาอ่านทวนซ้ำอีกรอบ ทั้งชื่อคนส่งและคนรับนั้นไม่คุ้นเลยสักนิด แต่นั่นก็ไม่ทำให้รู้สึกแปลกใจอะไรเพราะหลี่อี้เฟิงยังไม่ทันได้บอกใครเรื่องที่พักใหม่เลย แม้แต่พ่อแม่หรือเพื่อนสนิทอย่างเฉินเว่ยถิง ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะมีจดหมายส่งมาถึง

ชายหนุ่มถือโปสการ์ดนั้นไว้ในมือแล้วเดินออกไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่ตรงข้าม พื้นถนนเคลือบไปด้วยแผ่นน้ำแข็งซึ่งทำให้แต่ละก้าวนั้นลำบากมากขึ้น อากาศหนาวไปถึงขั้วกระดูกแบบนี้คงไม่มีใครอยากออกมาเดินให้ป่วยเล่นๆ ถ้าไม่ติดว่าตู้เย็นในห้องพักใหม่นั้นว่างเปล่า เขาเองก็คงเอาแต่ซุกตัวอยู่กับฮีตเตอร์ในห้องอุ่นๆ เหมือนกัน เมื่อหยิบอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งจำนวนมากใส่ตะกร้า พร้อมกับเสบียงที่พอจะทำให้เขาไม่ต้องออกไปไหนได้อีกหลายวันก็เดินไปต่อแถว

ขณะที่รอคิดเงินชายหนุ่มก็พลิกโปสการ์ดในมือขึ้นมาดูอีกครั้ง รูปถ่ายบนโปสการ์ดนั้นมีองค์ประกอบที่สวยถูกใจเขาและเมื่อเพ่งดูดีๆ ตรงมุมของภาพนั้นก็มีชื่อเครดิตตัวเล็กๆ ใส่เอาไว้

หลี่อี้เฟิงขมวดคิ้วกับตัวอักษรไม่กี่ตัวนั้น


“คุณครับ” เสียงเรียกจากพนักงานแคชเชียร์ทำให้คนที่อยู่ในภวังค์สะดุ้งเล็กน้อย เขาเปิดกระเป๋าเงินเพื่อที่จะจ่ายตังแต่ก็ต้องชะงักไปกับความคิดชั่ววูบที่แล่นเข้ามาในหัว

ชายหนุ่มหันไปมองด้านหลังว่าไม่มีใครต่อแถวหลังตนอีกแล้วจึงหันกลับมาถามพนักงาน


“มีซองจดหมายขายไหมครับ”



-2-

วันๆ ของหลี่อี้เฟิงดำเนินไปอย่างเอื่อยเฉื่อย หิมะที่สุมกันเต็มขอบถนนทำให้เขาไม่อยากจะลุกออกจากห้องเรียนซึ่งอุ่นสบายด้วยอานุภาพแห่งฮีตเตอร์ ชายหนุ่มเอาคางวางกับโต๊ะไม้เย็นเยียบอย่างเกียจคร้านจนมีน้ำหนักไม่เบานักตีลงบนหัว


“ลุกได้แล้วไอ้แมวขี้เกียจ” เจ้าของหนังสือที่ตีลงมาบอก

“เดี๋ยวลุกน่า” เขาครางตอบเบาๆ “ยังไม่ไปอีกเรอะ”

“รออยู่นี่ไง ไปๆ ลุกได้แล้ว เดี๋ยวเดินกลับด้วย”

“เฮ้ย ไม่ต้อง มีนัดไม่ใช่หรือไง”

“มี แต่ฉันจะไปดูห้องใหม่ของนายด้วย” เฉินเว่ยถิงเอาหนังสือฟาดซ้ำลงไปอีก “ไอ้เรื่องที่ย้ายออกจากหอในไม่บอกไม่กล่าวนี่ยังไม่ได้คิดบัญชีเลยนะโว้ย”


คนเพิ่งย้ายบ้านฟังแล้วก็กลอกตา...ไม่ได้คิดบัญชีแต่บ่นมาเป็นอาทิตย์ยังไม่เลิกบ่นเนี่ยนะ

สุดท้ายหนุ่มฮอตแห่งมหาลัยผู้มีนัดกับแฟนสาวอย่างเฉินเว่ยถิงก็โวยวายเกาะติดตามเขามาจนถึงห้องพักใหม่จนได้ ท่าทางของอีกฝ่ายดูจะไม่ค่อยพอใจที่ไม่มีบันได แต่เมื่อเทียบกับราคามิตรภาพและระยะห่างไม่ไกลจากมหาลัยนักก็ถือว่าดีมากแล้ว


“แล้วจะอยู่อีกนานแค่ไหน”

“เรื่อยๆ ถ้าไม่มีปัญหาก็คงอยู่จนจบ”

“คนเดียวอ่ะนะ?”

“ฉันอยู่คนเดียวได้น่าเว่ยถิง ไปๆ แฟนนายรออยู่ไม่ใช่เรอะ”


ใบหน้าหล่อขมวดคิ้วใส่ แต่หลี่อี้เฟิงทำเป็นมองไม่เห็นไป เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังเป็นห่วงเพราะเขาเป็นคนที่มีอะไรไม่ค่อยยอมบอกใครเท่าไร และสองปีที่ผ่านมาเขาก็อาศัยอยู่หอในแบบมีรูมเมตมาตลอดจนเกิดเรื่อง


“เฮ้ย เฟิงเฟิง ฉันว่า...”

“ฉันไม่เป็นหรอกน่า อยู่คนเดียวก็สบาย จะเปิดเพลงในห้องดังๆ ก็ได้ กลับดึกก็ไม่ต้องกังวลเวลาปิดประตูหอ”


เฉินเว่ยถิงทำท่าจะบ่นนู่นบ่นนี่ต่อถ้าไม่ติดว่าโทรศัพท์ดังทำให้ต้องรีบออกไปตามนัดทันที เขาโบกมือไล่หลังเพื่อนก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปในตัวอาคาร อากาศอุ่นสบายภายในพัดออกมาปะทะแก้มเย็นจัด หลี่อี้เฟิงยิ้มทักทายเจ้าของตึกพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบขนฟูของเจ้าแมวขี้เกียจบนโต๊ะ


“มีจดหมายมานะ”


ชายหนุ่มยิ้มขอบคุณก่อนจะเดินไปไขกล่องจดหมาย ซองจดหมายสีขาวที่มีความหนาประมาณหนึ่งทำให้เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้น ปลายนิ้วเย็นดึงหน้าซองออกมาอ่านทันทีก่อนจะรีบยัดใส่กระเป๋าแล้วก้าวเท้าไวๆ กึ่งกระโดดข้ามขั้นบันไดไปถึงห้องในสุดของชั้นที่สี่อย่างรวดเร็ว

ทันทีที่ล็อกประตูห้องเสร็จหลี่อี้เฟิงก็หยิบซองจดหมายออกมาแกะเปิดอย่างรวดเร็ว ด้านในนั้นมีรูปที่อัดเคลือบด้านอย่างสวยงามอยู่จำนวนหนึ่งพร้อมกับกระดาษเขียนจดหมายเนื้อเนียนอีกหนึ่งพับ


‘สวัสดีครับ…’


ลายมือหวัดเล็กน้อยบนหัวกระดาษทำให้เขาเผลอยิ้มกว้างจนตาหยี หลี่อี้เฟิงนั่งลงกับพื้น เอารูปถ่ายทั้งหมดมาวางเรียงกันแล้วเริ่มอ่านจดหมายอย่างตั้งใจ



-3-

ชายหนุ่มหอบเอากระดาษลังจำนวนมาที่ถูกพับสอดไว้หลังตู้วางของออกมากองไว้ ก่อนจะออกแรงทั้งตัวค่อยๆ ดันตู้สูงท่วมหัวให้ขยับออกจนเห็นกำแพงด้านหลังซึ่งเปื้อนคราบสีแดงเข้มดูน่ากลัว

หลี่อี้เฟิงหัวเราะออกมาเมื่อคิดได้ว่าดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้เห็นคราบนี้ก่อนที่จะได้อ่านจดหมาย เจ้าของห้องคนปัจจุบันถ่ายรูปร่องรอยอารยธรรมบนฝาผนังเก็บไว้ก่อนจะดันตู้กลับเข้าสู่ที่เดิม

และเหตุผลที่ทำให้เขาต้องลุกขึ้นมาค้นหารอยเปื้อนนี้ก็เพราะจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ


เจ้าของจดหมายนี้คือผู้ชายชาวจีนที่ชื่อ หยางหยาง ซึ่งกำลังเรียนถ่ายภาพอยู่ที่เมืองเอดินเบิร์ก ประเทศอังกฤษ หลังจากขอโทษขอโพยอยู่เป็นย่อหน้าที่ส่งจดหมายผิดเพราะเพื่อนของเขาชื่อ จิ่งปั๋วหรัน ดันไม่บอกว่าย้ายที่อยู่ไปแล้ว ทำให้หยางหยางส่งโปสการ์ดไปที่ที่อยู่เดิมซึ่งกลายมาเป็นห้องของหลี่อี้เฟิงขณะนี้ไปเสียแล้ว หยางหยางก็บอกขอบคุณที่อุตส่าห์เขียนจดหมายมาบอกเรื่องส่งผิด เพราะคนที่ชื่อจิ่งปั๋วหรันนั้นติสต์แตกติดต่อไม่ค่อยได้ มักทำให้เพื่อนๆ ไม่ค่อยรู้ว่าป่านนี้เจ้าตัวไปอยู่ไหน


‘แล้วก็ขอบคุณที่ชอบรูปถ่ายของผมด้วย ผมเลือกรูปที่ชอบส่งมาให้คุณอิจฉาเล่นๆ เอดินเบิร์กเป็นเมืองที่สวยมาก ถ้ามีโอกาสคุณน่าจะลองมาเที่ยวดูสักครั้ง’


หลี่อี้เฟิงพลิกรูปถ่ายเมืองเก่าดูทีละใบวนไปมา ถึงจะไม่ได้มีความรู้เรื่องการถ่ายภาพแต่เขาก็รู้สึกว่าหยางหยางเป็นคนมีฝีมือ ภาพเหล่านี้เหมือนมีชีวิตมีอารมณ์ความรู้สึกแทรกอยู่ ทั้งมุมมองและแสงสีดูลงตัวอย่างบอกไม่ถูก เขาชอบพวกมันมากจนตั้งใจเอามาเรียงไว้บนโต๊ะไม่ยอมเก็บ

โปสการ์ดที่ถูกส่งผิดมาในคราวที่แล้วมีเครดิตติดอยู่ด้านล่างว่า Y2 studio และเมื่อเทียบกับเจ้าของโปสการ์ดที่ชื่อหยางหยางแล้วเขาจึงเดาว่าน่าจะเป็นฝีมือของคนส่งนี่แหละ ซึ่งก็เดาได้ไม่ผิดเลย


‘ไหนๆ คุณก็มาเช่าห้องต่อจากปั๋วหรัน ผมก็มีความลับจะบอก เมื่อปีที่แล้วตอนปีใหม่พวกเราฉลองกันในห้อง มีคนเอาไวน์ที่บ้านมาแต่ดันลืมเอาที่เปิดจุกไวน์มาด้วย ตอนนั้นปั๋วหรันเสนอให้ทำตามวิธีในอินเตอร์เน็ตคือเอาผ้าพันก้นขวดแล้วกระแทกกับกำแพงให้จุกหลุดออกมา หมอนั่นมั่นใจมาก แต่พอทำเข้าจริงๆ ขวดไวน์ดันแตกคามือจนกลายเป็นรอยเปื้อนบนผนัง ผมกับเพื่อนงี้ขำจนปวดกรามไปหมด ผมถ่ายคลิปไว้ด้วยนะ หน้าหมอนั่นตลกชะมัด ตอนหลังปั๋วหรันกลัวโดนค่าปรับจากเจ้าของตึกเลยเอาตู้วางของมาวางปิดไว้ คุณลองหาดูได้ ถ้าจำไม่ผิด ถ้าคุณเดินเข้ามาในห้องมันจะเป็นตู้แรกที่อยู่ทางขวามือ’


หยางหยางเผาเพื่อนอย่างใจร้ายลงในจดหมายจนเขาสงสารคนที่ชื่อ จิ่งปั๋วหรัน ขึ้นมานิดหน่อย แต่พออ่านย้อนอีกทีก็หลุดขำไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้

หลังจากเอากระดาษลังเสียบกลับไปที่หลังตู้เหมือนเดิมแล้วหลี่อี้เฟิงก็หันไปมองนอกหน้าต่างที่หิมะยังคงทิ้งตัวลงมาไม่หยุด เขาคว้าเสื้อโค้ตกับกระเป๋าแล้วเปิดประตูออกไปเผชิญอากาศเลวร้ายอีกครั้ง


หวังว่าร้านเครื่องเขียนจะไม่ปิดเร็วนัก...หลี่อี้เฟิงคิดขณะก้าวลงบันไดเร็วๆ ไม่ต่างจากขามา ตอนนี้เขาอยากได้กระดาษเขียนจดหมายดีๆ กับกระดานไม้เอาไว้แปะรูปมากๆ



-4-

ชีวิตประจำวันในช่วงนี้ของหลี่อี้เฟิงดูจะมีเรื่องเพิ่มเติมจากเดิมเล็กน้อย สำหรับนักศึกษาคณะบัญชีอย่างเขา เดิมทีร้านเครื่องเขียนก็มีความสำคัญแค่การซื้อปากกาหรือสมุดจด แต่เร็วๆ นี้เขาเริ่มสนใจกระดาษชนิดต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะกระดาษสำหรับเขียนจดหมาย

ในยุคสมัยนี้การเขียนจดหมายไม่ค่อยเป็นที่นิยมแล้ว กระดาษเขียนจดหมายที่มีให้เลือกส่วนใหญ่จึงเป็นลายการ์ตูนสำหรับเด็ก ทำให้หลี่อี้เฟิงมีภารกิจใหม่ในการตามหากระดาษดีๆ มาเขียนจดหมายตอบคนที่เอดินเบิร์ก

เขาถ่ายรูปไม่เป็นแบบอีกฝ่าย แต่ก็อยากจะให้รู้ว่าเขาตั้งใจเขียนตอบไปในทุกๆ ครั้ง เพราะฉะนั้นถึงจะต้องเจียดเงินจากการทำงานพิเศษมาซื้อกระดาษบ้างหลี่อี้เฟิงก็รู้สิกยินดี


หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยเขาก็เดินออกไปหาเฉินเว่ยถิงที่ยืนรออยู่ตรงหน้าร้าน อีกฝ่ายมองถุงในมือแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร


“เสร็จแล้ว ไปกัน”

“แวะกินข้าวก่อนไหม”

“เอาสิ”


หลี่อี้เฟิงพยักหน้ารับแล้วเดินนำไปทันที ท่าทางอารมณ์ของเพื่อนสนิททำให้เฉินเว่ยถิงโล่งใจ อีกฝ่ายเล่าให้เขาฟังสักพักแล้วถึงเพื่อนทางจดหมายที่เอดินเบิร์ก ถึงแม้จะเริ่มต้นจากการส่งจดหมายผิด แต่พอคุยกันถูกคอก็เลยมีการส่งจดหมายโต้ตอบกันมาเรื่อยๆ


‘ทำไมไม่ขอเว่ยปั๋วหรืออีเมลกันไปเลยวะ จะได้ขอไฟล์รูปมาใช้ด้วยไง’

เฉินเว่ยถิงเคยถามเมื่อเห็นว่าหลี่อี้เฟิงถ่ายรูปจากรูปถ่ายที่หยางหยางส่งมาให้เอามาเป็นพื้นหลังหน้าจอมือถือ แต่อีกฝ่ายกลับตอบกลับมาอย่างจริงจัง

‘penfriend ถ้าไม่ใช่จดหมายมันก็ไม่มีความหมายน่ะสิ’


ตอบมาแบบนี้เขาก็เถียงไม่ออก ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าการคุยกันแบบรอคำตอบห่างกันทีเป็นสัปดาห์มันสนุกตรงไหน...ก็นะ ไปรษณีย์จีนก็ไม่ได้ทำงานดีเด่อะไรด้วย


“หยุดปีใหม่จะกลับบ้านไหม” เฉินเว่ยถิงถามเพื่อนขณะยืนรอสัญญาณไฟที่สี่แยก

“คงไม่ล่ะ นายคงกลับสินะ” กลุ่มผมสีน้ำตาลสะบัดไปมา

“อืม...จะอยู่คนเดียวจริงเหรอ”

“เออสิ ฉันอยู่ได้น่า วันคริสต์มาสก็ด้วยนายไปฉลองกันแฟนเถอะ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เหงาเลยสักนิด”


พูดจบสัญญาณไฟก็ขึ้นสีแดงให้รถหยุด ทำให้ทั้งคู่รีบก้าวข้ามถนนจนไม่ได้ต่อบทสนทนานั้น ชายหนุ่มโคลงศีรษะพลางมองเพื่อนที่เดินไปตามทางอย่างอารมณ์ดีต่างจากเมื่อเดือนก่อนๆ ลิบลับ


เอาเถอะ...ถึงแม้เขาจะไม่ได้รู้จักคนที่ชื่อ หยางหยาง อะไรนั่น แต่การที่เห็นเพื่อนร่าเริงขึ้นได้ขนาดนี้ก็ต้องขอบคุณจริงๆ



-5-

‘ปีใหม่นี้ผมไม่ได้กลับจีนล่ะ คริสต์มาสกับปีใหม่ของที่นี่เป็นวันหยุดยาว ค่าจ้างช่วงนั้นพุ่งพรวดไปถึงห้าเท่า ผมงี้รับกะเพิ่มจนไม่ได้ออกไปถ่ายรูปเลย แต่ก็คุ้มนะ หลังจากนี้ผมว่าจะถอยเลนส์ใหม่สักตัว’


จดหมายฉบับนี้หยางหยางเขียนมาเล่าถึงเรื่องงานพิเศษในร้านอาหารที่กำลังทำเพื่อหาทุนในการเรียน อันที่จริงทางบ้านก็มีเงินส่งไปให้แต่เพราะการเรียนถ่ายรูปนั้นต้องใช้เงินมากจนเจ้าตัวรู้สึกผิดจึงตั้งหน้าตั้งตาหาเงินมาด้วยตัวเองแทน ซึ่งหลี่อี้เฟิงก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่ต่างกันนัก เพราะเขาเข้ามาเรียนในเมืองคนเดียวและยิ่งย้ายมาอยู่หอข้างนอกคนเดียวยิ่งต้องใช้เงินเพิ่มทำให้เขาก็ต้องรับงานพิเศษเช่นกัน


‘เจ้าของบ้านเช่าของผมก็ไปเที่ยวต่างประเทศกับลูกๆ ตอนนี้ในบ้านเงียบมาก ผมเหงาสุดๆไปเลย แล้วคุณล่ะ? คริสต์มาสนี้ไปเที่ยวไหนกับใครบ้างหรือเปล่า?’


หลี่อี้เฟิงเผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นภาพคนในจินตนาการตีหน้าหงอยเหมือนหมาตัวโต...อันที่จริงเขาไม่รู้ว่าหยางหยางหน้าตาเป็นอย่างไรเพราะอีกฝ่ายไม่เคยส่งรูปมาให้ดูและเขาเองก็ไม่คิดอยากรู้เท่าไร ปล่อยให้มันเป็นความลับแบบนี้สมเป็นเพื่อนทางจดหมายมากกว่า

เขาเหลือบมองกระดานไม้ตรงหน้า รูปห้องนั่งเล่นสไตล์อังกฤษภายใต้แสงสีส้มที่ติดอยู่ดูอบอุ่นจนอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าของรูปกำลังซุกตัวอยู่ในมุมไหนกัน หลี่อี้เฟิงหัวเราะเบาๆ กับความคิดตัวเองก่อนจะก้มหน้าลงมาที่กระดาษเนื้อดีบนโต๊ะ เสียงลากปากกากับกระดาษดังแกรกกรากอยู่ภายในห้องที่มีเสียงเพลงเปิดคลอเบาๆ จนปลายนิ้วก็ชะงักไปเพราะเส้นหมึกขาดหายอย่างไร้คำอธิบาย


“อะไรเนี่ย...”


บ่นงึมงำพร้อมกับหยิบเศษกระดาษอื่นมาลองหมึก เส้นสีดำขาดๆ หายๆ ทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด แต่ไม่ว่าจะลองลากอย่างไรปากกาเจ้ากรรมก็ไม่ยอมกลับมาใช้งานได้เป็นปกติสักทีจนต้องวางมือในที่สุด หลี่อี้เฟิงมองตัวอักษรซึ่งลากเส้นค้างไว้สลับกับหิมะที่นอกหน้าต่างอย่างชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนเจ้าตัวจะถอนหายใจเฮือกแล้วลุกไปหยิบเสื้อโค้ตมาสวมทับ

ลมหนาวพร้อมกับเกล็ดน้ำแข็งที่ตีใส่ใบหน้าทันทีที่เปิดประตูทำให้เขาอดคิดติดตลกกับตัวเองไม่ได้


ถ้าออกไปซื้อปากกาจนเป็นหวัด...หยางหยางจะส่งรูปถ่ายมาปลอบใจไหมนะ


หลี่อี้เฟิงยิ้มให้ตัวเองก่อนจะก้าวเร็วๆ ข้ามถนนตรงข้ามหอพักไปอย่างรวดเร็ว หลังจากซอยเท้าฝ่าบรรยากาศขมุกขมัวไปได้ไม่นานเขาก็พาตัวเองมาถึงจุดหมาย

ร้านเครื่องเขียนร้านนี้ขายของในราคาที่แพงกว่าร้านสวัสดิการเล็กน้อยแต่มีตัวเลือกเยอะกว่าทำให้มีความนิยมในหมู่นักศึกษามากกว่า ดังนั้นการที่จะบังเอิญมาเจอคนรู้จักสักคนในร้านนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร


“เฟิงเฟิง”


เสียงใสนั้นเหมือนจะหลุดอุทานออกมามากกว่าที่จะตั้งใจเรียก เจ้าของชื่อจึงยกมุมปากตอบไปอย่างไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร...แถมปฏิกิริยาของหนึ่งหญิงหนึ่งชายตรงหน้าก็ไม่ช่วยให้อะไรง่ายขึ้นเลยสักนิด


“ไม่เจอกันนานเลย...เอ้อ นายเป็นไงบ้าง” ประโยคห่วยแตกนี้เป็นของอดีตเพื่อนร่วมของเขาเอง หลี่อี้เฟิงข่มใจไม่ให้ตัวเองแสดงสีหน้าแย่ๆ ออกไปพร้อมกับมองหน้าทั้งสองที่ดูกระอักกระอ่วนไม่แพ้กัน

“สบายดี นายก็คงสบายดีสินะ” พูดพลางเลื่อนสายตาลงไปยังมือที่เกี่ยวกันอยู่ทำให้ฝ่ายหญิงกระตุกมือออกในทันที...ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งทำให้บรรยากาศดูแย่ลงไปอีกอย่างน้อยห้าเท่า


แล้วทำไมเขาจะต้องมาอยู่ตรงนี้ให้รู้สึกแย่ลงไปเรื่อยๆ ด้วยก็ไม่รู้...


“พวกนายตามสบายเถอะ ฉันแค่มาซื้อปากกา เดี๋ยวก็ไปแล้ว”


หลี่อี้เฟิงพูดกับ ‘อดีตเพื่อนร่วมห้อง’ ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับ ‘อดีตแฟนสาว’ อีกครั้งแล้วจึงก้าวเท้าผ่านทั้งคู่ไปที่โซนขายปากกาพร้อมกับสมองที่ว่างเปล่า


จริงๆ มันก็ออกจะเป็นความคิดที่แย่มากอยู่แล้วที่ออกมาซื้อปากกาในเวลาแบบนี้...ชายหนุ่มเปรยกับตัวเองในใจขณะก้มตัวลงไปหยิบของตรงชั้นวาง

...แต่เขาอยากได้ปากกามากจริงๆ เขาเขียนจดหมายค้างไว้ และตอนนี้ก็อยากกลับไปเขียนมันต่อมากๆ แล้วด้วย



-6-

การเขียนจดหมายนั้นต้องใช้สมาธิมากกว่าการพิมพ์เพราะไม่สามารถลบแก้ให้สะอาดได้เหมือนการพิมพ์ หลายๆ ครั้งที่หลี่อี้เฟิงจดจ่อกับการเขียนมากไปจนลืมเวลาหรือไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์...เช่นครั้งนี้


“นายช่วยรับสายให้ฉันรู้หน่อยเถอะว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”


เสียงบ่นปนเป็นห่วงดังยาวเหยียดมาร่วมห้านาทีแล้วเจ้าตัวก็ยังไม่มีทีท่าจะคอแห้งกับเขาบ้างเลยสักนิด จนหลี่อี้เฟิงที่เป็นคนฟังต้องยกมือขอเวลานอกไปหยิบน้ำมาเสิร์ฟให้เอง


“ฉันแค่ไม่ได้ยินเสียง”

“ก็ตั้งให้มันได้ยินสิวะ” เฉินเว่ยถิงแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งประหนึ่งเป็นเจ้าของเสียเอง “นี่ฉันพูดจริงๆ นะเว่ย อย่าทำให้ต้องเป็นห่วงจะได้ไหม”

“ขอโทษ...แต่ฉันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ นะ”

“ให้มันจริงเถอะ”

“จริง วันก่อนก็เจอ...แล้วก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว”


คนฟังเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจในทันที แต่สายตาของอีกฝ่ายก็ไม่มีแววโกหกเลยแม้แต่น้อย

การที่แฟนสาวนอกใจแอบไปคบกับเพื่อนร่วมห้องของตัวเองไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจได้ง่ายๆ ซึ่งแน่นอนว่าหลี่อี้เฟิงก็ทนมองหน้าอีกฝ่ายไม่ได้จนต้องย้ายหอออกมาอยู่ที่อื่นเอากลางเทอม เฉินเว่ยถิงจึงคิดว่าเพื่อนจะอยู่ในภาวะซึมเศร้านานกว่านี้


“คงเพราะมีเรื่องอื่นให้คิด....ล่ะมั้ง” เจ้าของห้องตอบ “บางทีอยู่เงียบๆ หัวโล่งๆ ก็รู้สึกแย่ขึ้นมาเหมือนกัน เลยติดรูปพวกนั้นไว้ เวลามองจะได้มีเรื่องให้คิด”

“คิดอะไร? คนที่เอดินเบิร์กที่หน้าก็ยังไม่เคยเห็นนั่นอ่ะนะ”


หลี่อี้เฟิงยิ้ม รู้ดีว่าอธิบายให้อีกฝ่ายฟังไปก็คงไม่เข้าใจ ช่วงนี้เขาเสพติดการนั่งมองรูปบนกระดานไปเรื่อยๆ เอาจดหมายในกล่องมาอ่านซ้ำ รวมถึงการเดินไปสำรวจกล่องจดหมายทุกวัน มันอาจจะฟังดูไร้สาระแต่ก็ทำให้มีอะไรให้คิดถึงแล้วยิ้มออกมาได้ตลอดทั้งวัน...มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือไง

เฉินเว่ยถิงมองเพื่อนที่ดูปกติมากจนราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วก็เดาะลิ้นอย่างไม่รู้จะเถียงอะไร


“แต่ยังไงอยู่คนเดียวก็หัดรับโทรศัพท์บ้างรู้ไหม”

“รู้แล้วๆ”


ชายหนุ่มรับรู้ถึงความห่วงใยของเพื่อนสนิท...แต่เขาเองก็อยากจะย้ำอีกหลายๆ ครั้งว่าไม่เป็นไร ที่ออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ไมได้ทำให้เขาเหงาหรือเศร้าไปมากกว่าเดิมเลย


‘งั้นปีใหม่นี้คุณก็ฉลองคนเดียวสินะ เหมือนกันเลย เรามาฉลองด้วยกันแบบข้ามซีกโลกดีมั้ยครับ ที่จีนขึ้นปีใหม่เร็วกว่า แต่ผมจะอยู่เคานต์ดาวน์ล่วงหน้ากับคุณก่อนก็ได้ แล้วคุณตื่นมาเคานต์ดาวน์กับผมด้วยล่ะ’


ใช่แล้ว...เขาไม่รู้สึกเหงาเลยสักนิด



-8-

‘คุณโสดหรือเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลย คุณดูเป็นคนใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากเลยนะ ผมว่าแฟนคุณต้องเป็นคนที่โชคดีมากแน่ๆ อะไร? ไม่เชื่อผมหรือ? แค่ดูวิธีพับจดหมายกับการปิดซองของคุณก็รู้แล้ว ผมเก่งเรื่องพวกนี้นะ’


หลี่อี้เฟิงกวาดสายตาไปตามตัวอักษรจีนหวัดๆ ที่คุ้นตา เขาอ่านมันซ้ำไปมาจนแทบจะจำข้อความในนั้นได้ทั้งหมด หยางหยางมักจะเขียนจดหมายมายาวเหยียด เล่านู่นเล่านี่ในชีวิตประจำวันรวมถึงเรื่องของตัวเองให้ฟังมากมาย รวมถึงชอบทายอะไรเกี่ยวกับตัวเขา...ซึ่งอันที่จริงชายหนุ่มก็แอบเดาเรื่องของอีกฝ่ายเอาไว้เหมือนกัน

หยางหยางเป็นคนช่างสังเกต เห็นได้จากเรื่องต่างๆ ที่เอามาเล่าให้ฟัง เป็นคนมองโลกในแง่ดี มักจะหามุมมองที่สวยงามของสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ จนอดคิดไม่ได้ว่านิสัยนี้อีกฝ่ายคงเอามาใช้กับการถ่ายรูปด้วย


‘ปีใหม่ที่ผ่านมาผมเก็บเงินได้เยอะกว่าที่คิดล่ะ! คุณว่าผมซื้ออะไรเป็นรางวัลให้ตัวเองดี?’


ตอนท้ายของจดหมายจบลงแค่นั้น ชวนให้คนอ่านช่วยเก็บขบคิด หลี่อี้เฟิงยกยิ้มก่อนจะหยิบรูปถ่ายในซองจดหมายออกมาดู ภาพสตรีตวิวยามค่ำคืนของเมืองเก่าในช่วงที่มีไฟประดับไปทั่วนั้นเหมือนมีกลิ่นอายของความสุขและความอบอุ่นลอยออกมา ดวงไฟกลมๆ ขับให้ภาพนั้นเหมือนอยู่ในความฝัน


‘ถ่ายตอนเดินกลับบ้าน เดินคนเดียวหนาวชะมัด’


ในจินตนาการของเขาปรากฏภาพของผู้ชายที่เพิ่งเดินออกมาจากร้านหลังเลิกงานพิเศษ แล้วก็บ่นอุบอิบไปตลอดทางพร้อมกับยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพไปเรื่อยๆทำให้เขาหลุดขำออกมา หลี่อี้เฟิงเอื้อมมือติดรูปใบนี้ไว้บนที่ว่างสุดท้าย แล้วจึงเข้านอนพร้อมกับความคิดวนเวียนเรื่องของรางวัล

ของหยางหยางนั้นเขายังนึกไม่ออก...แต่ของตัวเขาเองต้องเป็นกระดานไม้สำหรับติดรูปถ่ายอันใหม่แน่นอน


เสียงกดออดปลุกเจ้าของห้องขึ้นในเช้าวันถัดมา หลี่อี้เฟิงลูบหน้าแรงๆ เพื่อเรียกสติก่อนจะหยีตามองนาฬิกาบนหัวเตียงซึ่งโชว์เวลาเก้านาฬิกาสามสิบเจ็ดนาทีของวันอาทิตย์ที่สิบสี่กุมภาพันธ์


ให้ตาย...นี่มันเช้าวันหยุดนะ


ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า พลางคาดโทษเอาไว้ในใจว่าหากธุระที่ขุดเขาขึ้นมาจากเตียงนั้นไม่สมเหตุสมผลจะทำอย่างไร แต่เมื่อเข้าสาวเท้ามาถึงที่ประตูหน้าห้องก็ต้องสะดุดสายตากับของที่ถูกสอดผ่านเข้ามาทางช่องใต้ประตู


โปสการ์ดรูปปราสาทเอดินเบิร์กยามเช้าที่มีแสงอาทิตย์อาบไล้ผิวอิฐซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน...หลี่อี้เฟิงรู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นเร็วและแรงจนเจ็บ ปลายนิ้วพลิกโปสการ์ดเพื่ออ่านข้อความด้านหลังในทันที


‘ถ้าไม่รังเกียจและวันนี้คุณยังว่างอยู่ เปิดประตูออกมาแล้วเราไปเที่ยวด้วยกันมั้ยครับ?’


แม้จะไม่มีชื่อลงท้ายไว้เหมือนทุกครั้ง แต่ลายมือที่เขาอ่านมาเป็นร้อยรอบอย่างไรก็ลืมไม่ลง กว่าจะรู้ตัวเขาก็ปลดล็อกแล้วกระชากประตูห้องให้เปิดออกอย่างรวดเร็ว

ที่หน้ากรอบประตูนั้นปรากฏร่างของคนคนหนึ่งที่ไม่คุ้นตาเลยสักนิด


“สวัสดีครับ” คนแปลกหน้าพูดด้วยเสียงทุ้มนุ่ม “ผมชื่อ หยางหยาง”


พูดไปก็เห็นสีแดงจางขึ้นที่แก้มทั้งสองข้าง ท่าทางประหม่าของคนตรงหน้าทำให้เขาต้องเผลอยิ้มกว้างออกมาจนตาหยี


“ผม...หลี่อี้เฟิง”


หยางหยางตรงหน้าค่อนข้างแตกต่างจากในจินตนาการของเขาอยู่พอสมควร หยางหยางมีรูปร่างสูงโปร่งสมส่วน ใบหน้าหล่อเปื้อนรอยยิ้ม มือทั้งสองประคองกล้องตัวใหญ่ที่คล้องคออยู่ ปลายนิ้วลูบไปมาบนตัวกล้องอย่างกังวล


“ผม...มารบกวนคุณหรือเปล่า พอผมคิดได้ว่าจะซื้อตั๋วเครื่องบินเป็นรางวัลให้ตัวเอง ผมก็รีบบินออกมาเลย คุณได้อ่านจดหมายฉบับล่าสุดของผมแล้วใช่มั้ย?” เสียงนั้นพยายามอธิบาย “ผมขอโทษที่มาแต่เช้า แต่ผมกลัวว่าถ้ามาช้าคุณจะออกไปข้างนอกเสียก่อนแล้วจะคลาดกัน”

“...จริงๆ ผมยังนอนอยู่”


พอบอกออกไปแบบนั้นคนฟังก็หน้าซีดเผือดไปในทันที แต่หลี่อี้เฟิงกลับหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกมือป้องปากตัวเอง


“เช้านี้ผมยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลย”


เขาพูดพลางรู้สึกเขินสารรูปยับย่นของตัวเองอย่างมาก ชุดเสื้อนอนย้วยๆ หัวฟูๆ ปากเหม็นๆ ความประทับใจแรกช่างน่าติดลบเสียจริงๆ ...


“ผมขอเวลาจัดการตัวเองแปปเดียว แล้วจะออกไปกับคุณ”


พอพูดจบก็ขยับตัวเปิดทางให้อีกฝ่ายเข้ามารอในห้อง หยางหยางเบิ่งตากว้างอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสว่างไสว


เมื่อหาที่ทางให้แขกกะทันหันนั่งรอได้ หลี่อี้เฟิงก็เอาโปสการ์ดในมือวางไว้บนโต๊ะแล้วรีบหลบเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็ว ลืมเรื่องหงุดหงิดที่โดนปลุกในยามเช้าไปเสียสนิท


จดหมายจากเอดินเบิร์ก...ทำให้เขายิ้มออกมาได้เสมอ


END


TALK

สวัสดีค่าาาาาาาา นี่คือ...ฟิควาเลนไทน์ //โดนตรบ กรี๊ดดดดดดดดดดด ไม่มีอะไรจะสารภาพนอกจาก ลืมลงฟิคค่าาาาาา โอ้ย คิดว่าตัวเองลงจนจบไปแล้ว บายยยยยยยยยยยย orz

ฮือ ตอนแรกตั้งใจจะลงวันละท่อน ช่างมัน ลงรวดเลยแล้วกันค่ะวันนี้ โฮโฮโฮ วันหลังเตือนกันได้นะคะ ถ้าเราลืมลงฟิคอีก โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

จริงๆ ฟิคเรื่องนี้เราตั้งใจเขียนมาเพราะความช้ำใจที่วาเลนไทน์ปีนี้(2016)เราสอบน่ะคะ //พราก// บวกกับมีแผนจะส่งโปสการ์ดให้คนอื่นด้วยเลยอยากเขียนอะไรเกี่ยวกับโปสการ์ด/จดหมายขึ้นมา

ส่วนตอนต่อ...มีอยู่ในจินตนาการแต่ยังไม่มีแผนจะเขียนออกมานะคะ //โดนต่อย// ฮือ ช่วงนี้ตั้งใจจะเคลียร์คิวที่ดองไว้ทีละอย่างน่ะค่ะ ถ้าเคลียร์หมดแล้วอาจจะกลับมาเขียนต่อหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของอนาคต (...)

เอาล่ะ คิดtalkไม่ออกแล้ว สุดท้ายนี้ขอฝากหยางเฟิงไว้ในอ้อมกอดด้วยนะค้า หวังว่าจะถูกใจกับหยางเฟิงในแบบของเรานะคะ ขอบคุณค่า