Saturday 30 July 2016

[fic] 「緣分」 fate 01 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

「緣分」

fate




Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)

Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

Rate : G

Timeline : ช่วงปี1960-1963

***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event2 28/8/59***

แบบสอบถามความสนใจ+รายละเอียดค่ะ >> https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfZokZ6TKMev2-oNPyhfYMPvrmB4TDHrwEnpPdWVCocyIIx1g/viewform


01



ช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาแม้ไฟสงครามจะมอดดับไปนานแล้วแต่เถ้าถ่านของความเสียหายยังคงไม่ปลิวไปไหน ความบอบช้ำของสาธารณรัฐประชาชนจีนทั้งหมดนับเป็นมูลค่ามหาศาลที่ไม่อาจกอบกู้คืนมาได้ในเวลาอันสั้น

แนวคิดเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดดของเหมาเจ๋อตุงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ผลผลิตทางการเกษตรไม่ได้ตามเป้าหมาย ระบบพัฒนาอุตสาหกรรมยิ่งไม่คืบหน้า ทำให้เกิดข้อกังขามากมายในระบบการบริหารรวมถึงความเชื่อมั่นของนานาชาติที่มีต่อพรรคคอมมิวนิสต์ ปัญญาชนในประเทศเริ่มทนไม่ไหวจึงเกิดการโต้ตอบด้วยความคิดเห็นรุนแรงขึ้นในแผนการร้อยบุปผาระยะที่สองร่วมกับการคว่ำบาตรจากประเทศต้นแบบของระบอบคอมมิวนิสต์อย่างรัสเซียส่งผลให้อำนาจในมือของประธานเหมาสั่นคลอนอย่างหนัก

ยิ่งการเมืองในชาติไม่มั่นคง ก็ยิ่งไม่มีใครเหลียวแลประชาชนนับแสนนับล้านชีวิตที่ต้องอดมื้อกินมื้ออย่างไร้ความหวัง แผ่นดินในเวลานี้กลายเป็นเวทีแย่งอำนาจและผลประโยชน์ของบรรดาสิ่งมีชีวิตใหม่ที่เรียกว่านักการเมืองไปอย่างน่าเศร้า


ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินลัดเลาะผ่านตรอกซอกซอยในเมืองหังโจวอย่างคุ้นเคย พื้นถนนสกปรกไร้การดูแลเริ่มมีคนจรจัดมาจับจองมากขึ้น ป้ายไม้หางานที่ยอมรับจ้างทำทุกอย่างมีให้เห็นโดยทั่วไป สิบปีที่เขาย้ายจากฉางซามาอยู่ที่นี่ สภาพเมืองมีแต่จะแย่ลงทุกทีอย่างไร้ทางแก้ไข

ความอดอยาก ตกงานและอาชญากรรม สิ่งเหล่านี้ทำให้อู๋เหลาโก่วคิดถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง...สุดท้ายแล้วการสู้รบก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนอิ่มท้องขึ้นมา


เสียงเห่าเบาๆ ของสุนัขดำข้างตัวทำให้เจ้าของต้องเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้า เมฆสีดำลอยตัวลงต่ำพร้อมกับพระอาทิตย์ที่กำลังทิ้งตัวลงตรงขอบฟ้าทำให้เขาต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น


“ถ้าธุระด่วนของเสี่ยวจิ่วจิ่วฟังไม่เข้าท่าเจ้าวิ่งไปงับได้เลยนะ”


เถ้าแก่หมาห้าแห่งฉางซาก้มบอกสหายแม้จะรู้ดีว่าคนที่ตัวเองกล่าวถึงนั้นไม่มีทางทำอะไรไม่มีเหตุผล


หนึ่งคนหนึ่งหมาวิ่งไปตามทางเดินซับซ้อนไปจนถึงหน้าประตูไม้ขนาดไม่ใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มบ้านเก่าโทรม...ใครจะไปคิดว่าฉากหลังที่ซ่อนอยู่นั้นคือบ้านใหญ่ของสกุลเซี่ยในขณะนี้

อู๋เหลาโก่วส่งสัญญาณเป็นรหัสลับอย่างเคยชินไม่นานก็มีคนมาเปิดประตูให้ ด้านหลังนั้นยังเป็นประตูกลไกอีกหลายชั้นกว่าจะเข้าถึงสวนบ้านอันเรียบง่ายตามรสนิยมเจ้าของบ้าน


“เถ้าแก่มีแขกอยู่ แต่บอกให้ท่านเข้าไปได้เลยเมื่อมาถึง” 


เด็กรับใช้สกุลเซี่ยกล่าวด้วยเสียงสุภาพพร้อมกับผายมือไปที่ทางเดินสู่ห้องรับแขก ก่อนจะยกชามข้าวที่เตรียมเอาไว้แล้วมาให้สุนัขดำอย่างรู้งาน


แต่เมื่อเจ้าบ้านสกุลอู๋เดินไปได้ครึ่งทางกลับมีคนเดินสวนออกมา เด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารทำความเคารพให้แล้วก็ก้าวผ่านไป อู๋เหลาโก่วไม่รู้สึกแปลกใจนักเพราะก่อนที่จะเข้ามาก็สังเกตว่ามีรถทหารจอดอยู่ไม่ไกลนักแล้ว แต่เขาอยากรู้มากกว่า ว่าเรื่องเร่งด่วนจากทางการในครั้งนี้จะเป็นอะไร


“เมื่อไรจะเลิกนิสัยเปิดประตูห้องคนอื่นโดยไม่บอกก่อนเสียที” ทันทีที่ก้าวเข้าไปคำพูดเย็นชาก็ลอยมาปะทะหน้า

“เจ้ากับข้าไม่ใช่คนอื่นนี่” ตอบกลับพลางหัวเราะพร้อมกับเดินลอยหน้าไปนั่งโดยไม่รอคำเชิญ “ว่าอย่างไร ทำเอาข้าต้องวิ่งหลบฝนมาถึงนี่ ไอ้หนูทหารนั่นเอาเรื่องร้อนอะไรมาโยนใส่เจ้ากัน”

“เหลาอู่ ในค่ายทหารเขาไม่อบรมมารยาทให้เจ้าบ้างหรือไง” เซี่ยจิ่วเหล่เพื่อนสนิทด้วยสายตาเย็นชา

“ข้าไปฝึกทหารหมา ไม่ได้ฝึกทหารคนนี่”


คนฝึกหมาของกองทัพทำลอยหน้าลอยตาจนอีกฝ่ายต้องถอนหายใจ เซี่ยจิ่วขยับแว่นตาแล้วยืดตัวนั่งหลังตรงเป็นการบ่งบอกว่าจะเริ่มเข้าเรื่องจริงจัง


“มีคนจะคีบลามะ”


เมื่อสิ้นสุดประโยคนั้นหัวคิ้วของคนฟังก็ขยับเข้าหากันทันที บรรยากาศอึมครึมลอยลงมาปกคลุมทั่วห้องรับแขก


“ใคร?”

“พูดไปเจ้าจะไม่เชื่อ”


เถ้าแก่สกุลเซี่ยยกยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ยชื่อผู้ถือครองอำนาจอันดับต้นๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์ออกมา


“...เจ้าโกหก”

“ตอนได้ยินครั้งแรก...ข้าก็รู้สึกแบบเจ้านั่นแหละ”


อู๋เหลาโก่วสบถยาวเหยียด...ภายหลังการปฏิรูปที่ดินสิ้นสุดในปี 1952 การขุดสุสานโบราณนั้นถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงตามกฎหมาย ตำนานเมืองฉางซาเสมือนถูกกวาดล้างจนเหลือเพียงเรื่องเล่า ยอดฝีมือมากมายล้มตายไปในเหตุการณ์นั้น และหนึ่งในนั้นคือเฮยเป้ยเหล่าลิ่วแห่งบ้านหก

เหล่าโจรขุดสุสานแห่งฉางซาเคยย่ามใจเสมอว่าทางการไม่มีหลักฐานเอาผิดอะไรจนกระทั่งฉิวเต๋อเข่าได้นำเอาความลับนั้นไปมอบให้กับทางการก่อนจะขึ้นเรือหนีกลับบ้านเกิด

เมื่อมีสิ่งมัดตัวก็ย่อมหลีกหนีไม่พ้น อำนาจทหารในยุคการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ถือเป็นที่สุด สหายผู้เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาในวงการหลายคนถูกโทษประหาร หลายคนถูกทรมานเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม...ซึ่งทุกคนล้วนไม่ตายดี อาชีพนี้ไม่ใช่อาชีพมีเกียรติ วิถีโจรย่อมตายอย่างโจร แต่เมื่อหวนนึกถึงคราวใดก็ไม่อาจต้านความรู้สึกโศกเศร้าได้


ชายหนุ่มหลับตาลง...หนึ่งในหลักฐานชิ้นสำคัญที่ฉิวเต๋อเข่ามอบให้กับทางการนั้นมาจากมือของเขาเอง ความผิดบาปนี้เขาก็มีส่วนที่ต้องแบกรับ

แต่ในเมื่อความผิดที่พวกเขากระทำมันร้ายแรงถึงเพียงนั้น...แล้วทำไมในวันนี้ผู้ที่เคยสั่งฆ่าพวกเขากลับกลายมาเป็นเจ้ามือในการคีบลามะไปได้


“พวกเขาเลือกยื่นข้อเสนอมาให้พวกเราเพราะมีคนแนะนำ” เซี่ยจิ่วเคาะปลายนิ้วลงบนกระดาษที่กางอยู่ตรงหน้า “คนนอกวงการเป็นเจ้ามือก็คือเจ้าของเงิน แต่คนคีบลามะตัวจริงคือคนอื่น”

“หึ มาถึงบ้านสกุลเซี่ยได้ก็คงไม่ใช่คนอื่นคนไกลกระมัง”


ได้ฟังดังนั้นรอยยิ้มประหลาดก็ถูกจุดขึ้นที่มุมปากของซือเย๋แห่งฉางซา แต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรต่อความรู้สึกยุกยิกในแขนเสื้อก็ทำให้เขาต้องก้มลงไปดุ


“เฮ้ ซันชุ่นติง เจ้าเป็นอะไร?”


เจ้าตัวน้อยดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขน ท่าทางกังวลจนพวงหางสะบัดไปมานั้นทำให้เจ้าของต้องขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ แต่คนที่อีกฝั่งของโต๊ะกลับมองแล้วยกยิ้มให้


“กลิ่นที่คุ้นเคย ถึงสิบปีผ่านไปก็ยังไม่ลืมสินะ”

“...เจ้าจะพูดอะไร”


คำพูดนั้นของเพื่อนสนิททำให้เขารู้สึกสะกิดใจ ใครกันคือคนวงในที่จะรู้ลึกถึงขนาดส่งคนมาถึงบ้านสกุลเซี่ยได้...และยิ่งสบสายตาของเซี่ยจิ่วที่จ้องตอบมาอู๋เหลาโก่วก็ยิ่งรู้สึกเหมือนใจหล่นวูบไปในหลุมมืดมิด


“ ‘เขา’ มาที่นี่ด้วยตัวเอง” เสียงราบเรียบตอบ “ข้าบอกไปว่าเดี๋ยวเจ้าจะมา เขาเลยขอตัวออกไปก่อน”


ฟังไม่ทันจบประโยคดีอดีตเจ้าบ้านห้าแห่งฉางซาก็หมุนตัววิ่งออกจากห้องไป เซี่ยจิ่วมองตามแผ่นหลังนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ


สิบปีผ่านไปแล้วสินะ...


++++++


ม่านน้ำด้านนอกยังคงไหลลงมาจากฟ้าไม่หยุด หมอกฝนทำให้เห็นภาพเบื้องหน้าได้ไม่ชัดแต่อู๋เหลาโก่วก็ไม่ลังเลที่จะก้าวขาออกไปทันที หัวใจเต้นเร็วจนแทบจะหลุดออกมาจากอก แม้จะเป็นเพียงระยะทางสั้นๆ แค่ผ่านสวนหน้าบ้านออกไปเขาก็รู้สึกเหมือนจะทนรออีกไม่ไหว แอ่งน้ำเจิ่งนองกระเซ็นจนเปรอะเปื้อนไปหมดแต่เจ้าตัวก็ไม่สนใจ

ชายหนุ่มวิ่งออกมาจนถึงหัวมุมที่รถทหารคันนั้นเคยจอดอยู่ แล้วก็เกือบจะทรุดลงไปเมื่อพบกับความว่างเปล่า มือสั่นเทาปาดหยาดน้ำที่เปรอะอยู่บนหน้าออกก่อนจะหัวเราะแห้งๆ กับตัวเอง


นี่เขากำลังคาดหวังอะไรอยู่กันนะ...


“...เลยเปียกฝนอีกแล้ว”


อู๋เหลาโก่วเปรยพร้อมกับหมุนตัวจะเดินกลับไปยังทางเดิมแต่การขยับไปมาในแขนเสื้อทำให้เขาชะงัก แล้วซันชุ่นติงโผล่หน้าออกมาเห่าเบาๆ


แสงสลัวปรากฏขึ้นในม่านหมอก พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่โดนสายฝนกลบจนเกือบไม่เหลือ รถทหารขยับเข้ามาจนถึงระยะที่มองเห็นแล้วจึงหยุดลง

ประตูรถด้านหลังเปิดออกพร้อมกับเงาที่ทำให้ใจกระตุกจนเจ็บ ร่างสูงสง่าของนายทหารใหญ่ยังคงดูดีเสมอในเครื่องแบบสีเข้ม...เวลาสิบปีไม่ได้ทำให้ภายนอกดูเปลี่ยนแปลงไปนัก

แสงจ้าจากไฟท้ายรถทำให้เขาเห็นสีหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด แต่อู๋เหลาโก่วกลับรับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ส่งผ่านมาได้อย่างชัดเจนจนขอบตาร้อนผ่าว จางฉี่ซานยังคงเหมือนเดิมในความรู้สึก...ยังคงเป็นคนนั้นคนเดิม


ทั้งคู่ได้ยืนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นท่ามกลางสายฝน โดยไม่มีใครเอ่ยคำพูดอะไรออกมาได้ แม้แต่ในตอนที่นายทหารใหญ่ก้าวกลับขึ้นรถไปก็ยังไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก

เมื่อแสงจากไฟรถยนต์จางหายไปในสายฝน ขาทั้งสองข้างของเขาก็ไม่อาจพยุงร่างกายเอาไว้ได้อีก อู๋เหลาโก่วทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าลงบนแอ่งน้ำจนเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปหมด ชายหนุ่มกอดตัวเองที่สั่นเทาเอาไว้แน่นปล่อยให้น้ำอุ่นๆ ไหลออกจากขอบตาปะปนกับสายฝน


ความโหยหาที่กดเอาไว้ลึกสุดของก้นบึ้งทะลักทลายออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ เขารู้ดีว่าเมื่อครู่หากตนขยับหรือพูดอะไรออกไปจะไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกที่โหมกระหน่ำได้อีก


เขาคิดถึงจางฉี่ซานมาก...อย่างที่ตัวเองก็คาดไม่ถึง


ซันชุ่นติงคลานออกมาจากแขนเสื้อ พยายามเช็ดน้ำตาให้เจ้าของด้วยลิ้นเล็กๆ เจ้าหมาน้อยแม้จะรู้สึกหนาวเพราะความเปียกและสายฝนแต่มันก็รู้ดีว่าใจของเจ้าของหนาวเหน็บยิ่งกว่า


ในความมืดมิด เซี่ยจิ่วเดินฝ่าสายฝนมาพร้อมกับร่มสองคันในมือ เจ้าบ้านเก้าหยุดยืนข้างเพื่อนสนิทแล้วยื่นมือออกไปกางร่มให้ เขายืนรอเงียบๆ ไปเนิ่นนานจนเสียงสะอื้นเบาลงจึงเริ่มพูด


“พ่อพระใหญ่จางกำลังจะคีบลามะ” เขาเอ่ยขึ้น “ข้า กับเจ้า...และเก้าสกุลทุกคนที่ยังเหลืออยู่”


เถ้าแก่แห่งบ้านเก้าหยุดถอนหายใจพร้อมกับมองหยดน้ำที่ยังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย


“หากเจ้าตกลง...ครั้งนี้ข้าจะไปด้วย”


อู๋เหลาโก่วขยับตัวเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสูดจมูก สายตายังคงจับจ้องไปยังทางที่แสงไฟลับตาไป เขาไม่ได้ตอบอะไรแต่เซี่ยจิ่วก็รู้คำตอบดี


ความรู้สึกที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้เป็นเวลาสิบปีถูกปลดกุญแจออกมาอีกครั้ง
...พร้อมกับเค้าลางของเรื่องราวที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาล




TBC ... next week