Sunday 21 August 2016

[fic] 「緣分」 fate 03 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

「緣分」

fate




Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)

Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

Rate : G

Timeline : ช่วงปี1960-1963

***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event2 28/8/59***

แบบสอบถามความสนใจ+รายละเอียดค่ะ >> https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfZokZ6TKMev2-oNPyhfYMPvrmB4TDHrwEnpPdWVCocyIIx1g/viewform


วันนี้มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่เมืองหังโจว แม้จะเป็นคนทั่วไปก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ขบวนรถทหารพากันทยอยเข้ามาในตัวเมืองตั้งแต่หลายวันก่อน และดูจะหนาตาขึ้นเป็นพิเศษในวันนี้...แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครอยากสนใจกิจธุระของทหาร...ความเป็นอยู่อัตคัดขัดสนทำให้คนเราเห็นแก่ตัวสนใจแต่ปากท้องของตนเป็นใหญ่


เซี่ยจิ่วนั่งอยู่บนภัตตาคารชั้นสอง มองลอดช่องหน้าต่างลงไปยังถนนเบื้องล่าง หญิงสาวสวยสะคราญก้าวลงจากรถพร้อมกับคนรับใช้หญิงในชุดเสื้อผ้างดงาม วันเวลาสิบปีไม่ได้ทำให้ความเป็นเทพธิดาของฮั่วเซียนกูลดลงแม้แต่น้อย เขามองสหายเก่าเดินเข้าไปในอาคารฝั่งตรงข้ามด้วยมาดนางพญาอย่างใจเย็นแล้วหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดู

หลังหญิงงามจากบ้านฮั่ว รถยุโรปสีอ่อนคันงามก็แล่นมาอวดโฉมอยู่ตรงริมถนนโดดเด่นท่ามกลางรถทหารสีเข้ม และเมื่อประตูด้านหลังถูกเปิดออกให้เจ้าของก้าวลงมาก็ยิ่งดึงดูดสายตาคนได้มากขึ้นไปอีก ชายผู้นี้มีท่วงท่ากิริยาที่ดูนุ่มนวลแต่ก็แฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม ใบหน้าหมดจดไร้ร่องรอยอายุทำให้เขาดูอ่อนวัยกว่าความเป็นจริง


บรรยากาศมืดครึ้มทำให้คนที่เพิ่งก้าวลงจากรถรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างประหลาด เขาหันมองภาพไม่คุ้นเคยโดยรอบอย่างไม่สบายใจ เอ้อร์เย่ว์หงอาศัยอยู่แต่ในฉางซามานานเกินไป...หลายปีแล้วที่เขาแทบไม่ได้ไปไหนนอกกำแพงสี่ด้านรอบบ้าน ยังดีที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงคุ้นหน้าคุ้นตาแม้จะผ่านไปถึงสิบปี


“เอ้อร์เหยีย ไม่พบกันนาน ท่านคงสบายดี” เสียงทักทายนั้นดังมาจากฝั่งตรงข้าม เจ้าบ้านเซี่ยคนปัจจุบันก้าวยาวๆ ข้ามถนนมา

“ตามสภาพนั่นแหละ” เขายิ้มตอบพลางลอบสำรวจอีกฝ่าย “ทางหังโจว เองก็คงไม่แย่จนเกินไป”


เซี่ยจิ่วไม่ตอบว่าอะไร เพียงแต่ผายมือเชิญผู้ที่เดินทางมาไกลให้เข้าไปด้านในก่อน ภัตตาคารใหญ่ถูกเหมาเอาไว้ทั้งหลัง พนักงานถูกไล่ต้อนออกไปจนหมดเปลี่ยนเป็นนายทหารมากมายมาประจำการแทนที่

ในห้องส่วนตัวบนชั้นสามมีบรรยากาศหนักอึ้งที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันคุ้นเคยชวนให้รู้สึกขนลุก 

หนึ่ง...สอง...สาม.............แปด...เก้า...ทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว เอ้อร์เย่ว์หงเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ว่างถัดจากสหายเก่าแก่อย่างจางฉี่ซานด้วยความเคยชินที่ถูกปลุกขึ้นมา ป้านเจี๋ยหลี่บนรถเข็นอีกฝั่งเห็นดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ แล้วประตูห้องก็ถูกปิดลง


“ขาดเพียงฮั่วผอจื่อกับเฮยเป้ยเหล่าลิ่วก็เหมือนเวลาย้อนไปสิบปีทีเดียว” ผู้มาถึงคนสุดท้ายเปรยขณะกวาดสายตามองไปโดยรอบ “ฮั่วเซียนกู ข้าเสียใจด้วย ขออภัยที่ไม่ได้ไปร่วมงานที่ปักกิ่ง”

“ขอบคุณค่ะเอ้อร์เหยีย ท่านแม่คงดีใจที่เป็นที่นึกถึง” หญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องโค้งศีรษะเล็กน้อย

“เราไม่ได้มาเพื่อรำลึกความหลังกันล่ะมั้งเหล่าเอ้อร์*” เสียงแหบต่ำของชายพิการแทรกขึ้น

“ใจเย็นน่าเหล่าซาน** เราไม่ได้พบกันมาสิบปีเชียวนะ” บุคลิกของเถ้าแก่บ้านสองยังเหมือนเดิมทุกประการ พัดถูกคลี่สะบัดไปมาอย่างอารมณ์ดีท่ามกลางบรรยากาศหนักอึ้ง “เห็นทุกบ้านยังอยู่เกือบพร้อมหน้าข้าก็ดีใจ...เหตุการณ์ครั้งนั้นจะว่าสูญเสียมากก็มาก แต่แท้จริงก็ยังแทบทำอะไรพวกเราไม่ได้เลยนี่”


น้ำเสียงเรียบเรื่อยเสียดสีคนด้านข้างอย่างโหดร้ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มหวาน จนเสียงกระแอมจากนายทหารใหญ่ดังขึ้นในที่สุด


“ในเมื่อพร้อมกันแล้ว...เงื่อนไขทั้งหมดเป็นดังเนื้อความในจดหมาย หากไม่มีข้อซักถาม เราจะมาพูดถึงแผนการ”

“หึ ข้อซักถามงั้นหรือ อย่ามาพูดให้ตลกไปหน่อยเลย” เสียงแค่นหัวเราะดังมาจากคนที่ยืนพิงเสาอยู่ “เงื่อนไขของท่านเชื่อได้แค่ไหนกันยังไม่ทราบ พวกข้า


ควรเชื่อน้ำลายคนที่จับพี่น้องตัวเองยิงเป้ากลางเมืองจริงๆ หรือ”


เฉินผีอาซื่อเอียงศีรษะมองผู้ยิ่งใหญ่แห่งฉางซาพร้อมกับส่งสายตามุ่งร้ายไร้ความเกรงกลัว


“พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อมาดูว่าท่านมีสิ่งใดเป็นหลักประกัน ท่านคงไม่คิดจะให้พวกเรายึดถือลมปากหลักลอยนั่นหรอกใช่ไหม?”


สิ้นสุดคำกล่าวนั้นอุณหภูมิในห้องก็ดิ่งลงติดลบในทันที เซี่ยจิ่วประสานมือบนหน้าตักลอบมองสมาชิกทั้งหมดอย่างระมัดระวัง นอกจากตัวแทนบ้านหกคนใหม่ที่เป็นชายร่างยักษ์แล้วทุกคนล้วนอยู่ในเหตุการณ์นองเลือดที่ฉางซาเมื่อสิบปีก่อน ภาพของคนสกุลจางผู้ยังคงมีความหวังว่าตนจะไม่ถูกทอดทิ้งแม้ในวินาทีที่ปากกระบอกปืนจ่ออยู่ตรงหน้าสร้างความสะเทือนใจถึงขีดสุด

เฉินผีอาซื่อพูดถูก...พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าข้อแลกเปลี่ยนนั้นจะเป็นจริงหรือไม่


“นั่นสินะ ว่าอย่างไรล่ะพ่อพระ ท่านมีอะไรมาเป็นหลักประกัน” ป้านเจี๋ย หลี่เห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็หัวเราะชอบใจในลำคอพลางหันไปถามคนด้านข้าง

“...พวกเจ้าคงเข้าใจผิดกระมัง” สายตาแปดคู่เลื่อนมาจับจ้องยังนายทหารใหญ่ที่มีสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะมีรอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้น “ผู้คีบลามะไม่ใช่ข้า แต่คือท่านผู้นั้น ทุกคนมีสิทธิ์ปฏิเสธ...แต่ก็เพราะไม่สามารถปฏิเสธได้มิใช่หรือ จึงมารวมกัน ณ ที่นี้”

“คิดว่าข้าหวาดกลัวทางการนักหรือ” เจ้าบ้านสกุลเฉินหรี่ตามอง

“กลัวหรือไม่ก็ทำให้เจ้าสงบปากสงบคำไปได้หลายปี เหล่าซื่อ*” นายทหารจ้องตอบ “คดีความของเจ้ายาวเหยียดเป็นหางว่าว หากไม่สนใจชีวิตตัวเองก็คิดถึงภรรยากับลูกในครรภ์ด้วย”


คำสบถหยาบคายหลุดตามมาในทันทีพร้อมกับรังสีสังหารรุนแรง แต่คำกล่าวนั้นก็ทำให้เถ้าแก่บ้านสี่เงียบลงไปได้ บรรยากาศอึดอัดทำให้ทุกคนหยั่งท่าทีในการจะกล่าวอะไรออกมา เซี่ยจิ่วเหลือบมองผู้แทนบ้านหกคนใหม่ที่ดูไม่มีทีท่าหวั่นเกรงอะไรด้วยสายตาประเมิน แต่แล้วเสียงกระแอมแผ่วเบาก็ดึงเอาความสนใจของคนทั้งห้องไปได้


“ข้ามีคำถาม” พัดที่ถืออยู่ถูกรวบเก็บใส่อุ้งมือ เอ้อร์เย่ว์หงเหล่มองคนด้านข้างก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเรื่อยราวกับทั้งห้องไม่ได้ตกอยู่ในบรรยากาศฆ่าฟัน

“เชิญ”

“ทำไมต้องเป็น ‘เก้าสกุลใหญ่’ ...ไม่แปลกไปหน่อยหรือไง เหล่าซื่อกับเหลาอู่ยังพอเข้าใจได้ แต่ข้ากับเหล่าซาน ไหนจะสกุลล่าง ฮั่วเซียนกู เหล่าปา เหล่าจิ่วอีก พวกเราไม่มีผู้คนให้ใช้สอยลงกรวยมากมายเหมือนก่อนแล้ว”

“นี่เป็นเงื่อนไขของผู้แทนของท่านผู้นั้น” จางฉี่ซานอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “การขุดสุสานครั้งนี้ไม่ได้ต้องใช้พวกเราทั้งเก้าสกุล แต่คนที่ท่านผู้นั้นเลือกในครั้งนี้ต้องการความช่วยเหลืออย่างอื่นจากพวกเรา”

“ต้องอธิบายให้ยากลำบากเช่นนั้นหรือ พ่อพระใหญ่จาง” เสียงแหบต่ำที่

ไม่คุ้นหูของเจ้าบ้านหกคนใหม่กล่าวขึ้น “นี่คือเงื่อนไขที่พวกข้าไม่ได้รับรู้ก่อนตกลงหรือเปล่า หลอกลวงกันแต่ต้นเช่นนี้ไม่แย่ไปหน่อยหรือ”

“ไม่...เพราะพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องตกลงในเงื่อนไขประการหลัง”

“แล้วเงื่อนไขนั้นคืออะไรท่านบอกมาตรงนี้เลยไม่ได้หรือไง”

“เมื่อถึงเวลา ‘เขา’ จะเป็นคนบอกเอง”

“... ‘เขา’ ก็อยู่ที่นี่แล้วมิใช่หรือ”


อู๋เหลาโก่วที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยแทรกขึ้น เงยหน้าจากซันชุ่นติงบนตักเพ่งมองเลยไปด้านหลังในมุมมืด จนทุกสายตาหันตามไป


“นั่นใช่เขาหรือเปล่า หากใช่ก็เชิญออกมาพูดคุยกันเลยเถอะ”

“...จางฉี่หลิง”


นายทหารใหญ่กัดฟันแน่น ก่อนจะหันกลับไปมองคนที่ก้าวออกมาอย่างเงียบเชียบด้วยความรู้สึกไม่พอใจ อันที่จริงจางฉี่ซานก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะฟังเขาเท่าไร

...เพียงแค่หวังว่าจะมีหัวคิดกว่านี้อีกสักนิด


ใบหน้าเรียบเฉยของผู้หลบซ่อนในเงามืดเผยออกมาให้ทุกคนเห็น ชายรูปร่างสมส่วนผู้นี้อยู่ในเสื้อผ้ารัดกุมพร้อมกับดาบเล่มโตสะพายติดหลัง แววตาของเขาว่างเปล่าราวกับห้วงน้ำลึกไร้ก้นบึ้ง


“คนสกุลจางงั้นหรือ?”

“ข้าคือจางฉี่หลิงแห่งสกุลจาง” ชายผู้นั้นกล่าว “ข้าเป็นผู้ยื่นเงื่อนไขให้ท่านผู้นั้นเรียกพวกท่านทั้งเก้ามารวมกัน ณ ที่นี้”

“...แล้วเจ้าต้องการอะไรจากพวกข้า” เอ้อร์เย่ว์หงเหลือบมองประเมินบุรุษตรงหน้าด้วยสายตาเปิดเผย “มีอะไรที่เก้าสกุลผู้ล่มสลายอย่างเราทำให้เจ้าได้หรือ”

“ข้าจะขอเท้าความถึงสาเหตุของการคว่ำกรวยครั้งนี้ก่อน...พวกท่านเองอยู่ในแวดวงนี้อย่างไรก็ต้องคุ้นชินกับความโลภของเหล่าจักรพรรดิโบราณ มนุษย์เราเมื่อยิ่งใหญ่คับฟ้าถึงจุดหนึ่ง สิ่งที่พวกเขาต้องการก็ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติอีกต่อไป”

“...ความอมตะ” ฉีเถียจุ่ยรำพึงออกมาเพียงหนึ่งคำแล้วก็ปิดปากเงียบ

“ใช่...ในที่สุดสิ่งเดียวที่จะพรากพวกเขาจากอำนาจและทรัพย์สมบัติก็คือความตาย ดังนั้นจุดสูงสุดของจักรพรรดิทุกราชวงศ์ก็คือเฟ้นหากลวิธีอยู่ค้ำฟ้าตลอดกาล” ดวงตาว่างเปล่าฉายแววเจ็บปวดเพียงชั่วพริบตาก็จางหายไป “การคว่ำกรวยครั้งนี้ก็เช่นกัน ท่านผู้นั้น...กำลังแสวงหาความลับของสวรรค์”

“เง็กเซียนฮ่องเต้ยังไม่อาจฝืนลิขิตฟ้า ไยนายทหารท่านหนึ่งจึงคิดว่าตนจะทำได้” อดีตนางเอกงิ้วคนงามยกยิ้มเยาะ

“เพราะท่านบังเอิญได้รับรู้ความลับยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งซึ่งจุดประกายความหวังอันเลือนลางให้มีเค้าความเป็นจริง” คำตอบนี้กลับเป็นจางฉี่ซานที่เอ่ยขึ้นมาแทน “สกุลจางของเราในยุคราชวงศ์ชิงมีถิ่นฐานอยู่ที่เขตกวนตง นอกด่านซันไห่กวน สมัยบิดาของข้าได้แยกตัวออกจากสายตระกูลหลักด้วยเหตุผลบางประการ หลังจากนั้นเมื่อด่านซันไห่กวนแตกพ่ายในสงครามจีน-ญี่ปุ่น ข้าจึงหนีตายลงมาถึงฉางซา”


เรื่องราวปูมหลังเช่นนี้ไม่ว่าใครในฉางซาก็ย่อมต้องเคยได้ยินมาก่อน แต่จู่ๆ เจ้าตัวกลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเอง ทุกคนจึงเริ่มเห็นเค้าลางบางอย่าง


“หลายปีก่อนข้าเคยกลับไปตามหาต้นตระกูล ในตอนนั้นข้าไม่พบอะไร

เลย...บ้านใหญ่สกุลจางที่บิดาของข้าเคยบอกเล่าไว้หายลับไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง” เสียงทุ้มยังคงเล่าเรื่องต่อไปอย่างใจเย็น “แต่ในการค้นหาครั้งนั้นข้าได้พบกับ...ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าสองปี ซึ่งในตอนนั้นเขาได้รับตำแหน่งผู้นำสกุลที่เรียกว่า ‘จางฉี่หลิง’ แล้ว”

“เป็นไปไม่ได้” ใครสักคนโพล่งขึ้นมา “เสี่ยวเกอท่านนี้น่ะหรือ?”


อู๋เหลาโก่วเพ่งสายตามอง คนคนนี้อายุมากกว่าเขาเป็นสิบปี แต่กลับดูเหมือนเด็กหนุ่มราวยี่สิบต้นๆ ใบหน้าเกลี้ยงเกลากับร่างกายที่สมส่วนเหมือนคนหนุ่มที่ยังมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์


“จางฉี่หลิงมีรูปลักษณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้มาหลายสิบปี ตัวตนของเขาคือเครื่องยืนยันสมมติฐานที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงในหน้าประวัติศาสตร์” จางฉี่ซานโต้กลับก่อนจะเหลือบมองคนที่ยืนหลบมุมมืดอยู่หลังห้อง “หากไม่เชื่อ...จะถามเหล่าปาดูก็ได้”


เพียงเท่านั้นทุกสายตาก็เบนไปที่ฉีเถียจุ่ยทันที เจ้าบ้านแปดถอนหายใจเฮือกก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ แววตาหลังกรอบแว่นไม่มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด บรรยากาศของห้องสี่เหลี่ยมถูกปกคลุมด้วยความลึกลับในทันที กลิ่นอายของสิ่งที่อธิบายไม่ได้ดึงให้ทุกคนจมจ่อมลงไปกับความคิดของตัวเอง


แต่แล้วก็มีเสียงวัตถุแหวกอากาศดังขึ้นทำลายภวังค์ความคิดของทุกคนจนหมดสิ้น


“เฉินผีอาซื่อ!!”


จางฉี่หลิงเบี่ยงตัวหมอบหลบลูกเหล็กที่ถูกดีดมาไม่ทันตั้งตัวทั้งชุดได้อย่างน่าหวาดเสียว เฉินผีอาซื่อหัวเราะหึแล้วเขวี้ยงตะขอเก้าเล็บไปเกี่ยวขอบโต๊ะให้พลิกคว่ำ เสียงกาน้ำชาแตกกระจายดังลั่นไปทั่วห้องแต่ก็ยังไม่มีผู้ใดขยับตัว

ฝ่ายผู้ถูกจู่โจมเห็นฉากกำบังถูกทำลายไปแล้วจึงตัดสินใจเหวี่ยงตัวพุ่งสวนเข้าไปใช้ท่อนขาเกี่ยวเชือกเหล็กเอาไว้แล้วกระชากอีกฝ่ายให้เสียหลักแทน

เมื่อถูกกระชากสวนแล้วสู้แรงไม่ได้เถ้าแก่บ้านสี่จึงปลดสายตะขอออกทันทีแล้วเตรียมซัดคืนด้วยลูกเหล็กในระยะประชิด


“เหล่าซื่อ!!”


เสียงตวาดลั่นห้องทำให้เขาชะงักในทันที เฉินผีอาซื่อสบถแผ่วเบาก่อนจะหันหน้าหนีจากผู้เป็นอาจารย์ จางฉี่หลิงเห็นสถานการณ์เย็นลงแล้วก็ลุกขึ้นช้าๆ ปลดสายตะขอซึ่งเกี่ยวขาอยู่ออกด้วยสีหน้าและลมหายใจที่ไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด


“หึหึ...จะมาเป็นคนคีบลามะของพวกเราก็ต้องมีฝีมือหน่อย ขอบคุณเฉินผีอาซื่อที่ออกแรงให้”


คำพูดนี้ดังมาจากคนบนรถเข็น ป้านเจี๋ยหลี่เอ่ยกระเซ้าพลางเหลือบมองสีหน้าทะมึนของเอ้อร์เย่ว์หง เซี่ยจิ่วกวาดสายตามองไปโดยรอบก็พบว่าทุกคนแม้จะยังนิ่งอยู่กับที่แต่มือล้วนแตะเตรียมพร้อมอยู่กับอาวุธประจำตัว

จางฉี่ซานเห็นภาพความวุ่นวายตรงหน้าก็ถอนหายใจเฮือกอย่างหงุดหงิด

“จางฉี่หลิง เป็นตำแหน่ง...ไม่ใช่ชื่อ สกุลจางสายตระกูลหลักมีวิชาขุดสุสานสำนักเหนือที่ถ่ายทอดกันมาอย่างยาวนาน การมีอยู่ของสกุลจางทำเพื่อรักษาความลับอันยิ่งใหญ่ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในประวัติศาสตร์หลายพันปีของประเทศจีน” นายทหารใหญ่เหลือบมองแผ่นหลังของญาติผู้น้อง “การคว่ำกรวยครั้งนี้คือการค้นหาความลับที่สกุลจางปกป้องเอาไว้”

“เขาก็อยู่ที่นี่แล้วนี่ ถามเอาตรงนี้ไม่ได้หรือไง”

“คนเป็นจางฉี่หลิงรู้แต่หน้าที่ที่ตนจะต้องปกป้อง คำตอบของสิ่งที่พวกท่านต้องการนั้นข้าไม่อาจอธิบายออกมาได้ ...ยุคสมัยของสกุลจางขณะนี้มาถึงจุดที่เสื่อมโทรมไปพร้อมสังคมศักดินา คนยุคใหม่ลืมเลือนหน้าที่ปกป้องของตนไปจนหมดสิ้นแล้ว บัดนี้จางฉี่หลิงที่ยังอยู่ ‘ข้างนอก’ เหลือเพียงข้าคนเดียว” ผู้นำแห่งสกุลจางอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือ...ข้าไม่อาจปกป้องความลับนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียวได้ แต่หากพวกเราทุกคนผลัดเปลี่ยนกันเพียงสิบปีในหนึ่งร้อยปี...ประวัติศาสตร์จีนก็จะสามารถก้าวต่อไปได้”


เซี่ยจิ่วเข้าใจเงื่อนไขทั้งหมดได้ในทันที...ความลับที่ท่านผู้นั้นต้องการ คือสิ่งที่สกุลจางเก็บซ่อนเอาไว้...แต่เพื่อจะเปิดเผยสิ่งนั้นต่อพวกเขาจางฉี่หลิงจึงยื่นเงื่อนไขมาให้ทุกคนร่วมแบกรับบางอย่าง หน้าที่ที่ต้องใช้เวลาถึงสิบปี


“พวกท่านยังไม่ต้องรับปากข้าในตอนนี้ เงื่อนไขของท่านผู้นั้นคือการค้นหาความลับของ ‘หอบ้านสกุลจาง’ กุญแจแรกที่เราต้องค้นหาอยู่ในเขตภูเขาสูงของมณฑลเสฉวน คิดทบทวนเงื่อนไขทั้งหมดให้ดี...ข้าเพียงต้องการความช่วยเหลือแลกเปลี่ยนกับความลับยิ่งใหญ่ แต่เมื่อตัดสินใจไปแล้ว...พวกท่านอาจไม่มีวันหวนคืนสู่เส้นทางปกติ”


สิ้นสุดคำกล่าวนั้นของจางฉี่หลิง เฉินผีอาซื่อก็ลุกขึ้นก้าวออกจากห้องไปโดยไม่ได้กล่าวอะไร ตามติดด้วยเถ้าแก่บ้านหกคนใหม่ที่ไม่แม้แต่จะหันมาบอกลาใครตามมารยาท การประชุมในครั้งนี้จึงสิ้นสุดลงเอาดื้อๆ


“เช่นนี้ข้าก็ขอตัวก่อนล่ะ” เอ้อร์เย่ว์หงลุกขึ้น พลางคลี่พัดโบกไปมา สายตาเชือดเฉือนถูกส่งให้คนข้างตัวก่อนที่จะหันหลังไป “อย่าคิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ท่านต้องการเสมอนะ...พ่อพระใหญ่จาง”

“...ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่เคยคิดว่าจะสามารถบังคับใครในเก้าสกุลได้อยู่แล้ว”


เถ้าแก่บ้านสองส่งเสียงขึ้นจมูกก่อนจะก้าวออกไปจากห้องโดยไม่ลืมบอกลาสหายเยาว์วัยแต่ละคน ตามติดด้วยป้านเจี๋ยหลี่ที่วันนี้เขามองเห็นแต่เรื่องสนุกสนานมากกว่าใครๆ ก็เลื่อนรถเข็นออกไปโดยทิ้งท้ายไว้แค่คำบอกลา


จางฉี่ซานรู้สึกอ่อนล้าอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน เขาเผลอยกมือขึ้นนวดขมับก่อนจะรู้สึกถึงสายตาที่มองมา แววตาใสสะอาดซึ่งเขาฝันถึงลอยอยู่ตรงหน้า...แม้จะแฝงด้วยความหมายหลากหลายแต่นายทหารหนุ่มก็รู้สึกโหยหาเกินกว่าจะละสายตา

หญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องคอยลอบสังเกตทุกอย่างอยู่เงียบๆ เมื่อเห็นเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ก็ตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้อง ฉีเถียจุ่ย จึงเริ่มขยับตัวบ้าง แล้วในที่สุดอู๋เหลาโก่วที่นั่งนิ่งมานานก็ต้องหลับตาลงก่อนจะเรียกสติลุกออกจากห้องไปพร้อมกับเพื่อนทั้งสอง

เซี่ยจิ่วก้าวตามเพื่อนออกจากห้อง...แต่ในก้าวสุดท้ายนั้นเจ้าบ้านสกุลเซี่ยก็ตัดสินใจหันกลับมาเหลือบมองผู้นำแห่งฉางซา


วงล้อสิบปีค่อยๆ หมุนวนกลับมาอย่างช้าๆ วันเวลาของเก้าสกุลใหญ่ที่ถูกหยุดเอาไว้กำลังจะกลับมาเดินใหม่อีกครั้ง


‘ต้องขอโทษด้วย’


นี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่พ่อพระใหญ่จางแห่งฉางซากล่าวคำพูดนี้กับเขาและสีหน้าลำบากใจ...ก็เป็นครั้งที่สองเช่นกัน ทั้งสองครั้งนั้นเกิดขึ้นในวันซึ่งฟ้ามืดสลัวก่อนเวลาฝนตกเพียงเล็กน้อย ครั้งแรกที่ฉางซา...ครั้งสองที่หังโจว

เซี่ยจิ่วไม่เคยชอบจางฉี่ซาน เพราะพวกเขาแตกต่างกันมากเกินไป...แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับนับถือชายผู้นี้


สิบปีก่อน...คนที่รู้เรื่องพรรคคอมมิวนิสต์จะกวาดล้างโจรขุดสุสานรวมถึงนโยบายปฏิรูปที่ดินจากคนรวยมาให้คนจนนั้นมีเพียงพ่อพระใหญ่จางกับตัวเขาซึ่งถูกอีกฝ่ายเรียกไปพบ วันนั้นเป็นวันที่ฉางซาฝนตกหนักที่สุดในรอบหลายปี

จางฉี่ซานเป็นทหารผู้เถรตรงและรู้หน้าที่ของตัวเองอย่างยิ่ง ตั้งแต่อ่านจดหมายพวกนั้นเขาเองก็คงตระหนักได้ถึงบทบาทโหดร้ายที่ต้องสวม เมื่อลูกของเพชรฆาตทำผิด...เพชรฆาตย่อมเป็นผู้ลงมือเอง เซี่ยจิ่วรู้ดีว่าการที่เขาถูกเรียกไปถามความเห็นมันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง...แท้จริงพ่อพระใหญ่จางต้องการให้เขาวางแผนซ้อนตัวเองเพื่อหาทางออกให้กับเก้าสกุลที่เหลือ


ผู้สูญเสียหนึ่งเดียวในเหตุการณ์ครั้งนั้นจึงมีแต่เฮยเป้ยเหล่าลิ่ว...


หรืออาจจะนับรวมพ่อพระใหญ่...ซึ่งต้องก้าวเดินต่อไปด้วยภาระทั้งหมดที่แบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียว


‘ท่านผู้นั้นต้องการความลับของสกุลจาง แต่ ‘เขา’ ต้องการความช่วยเหลือ และทั้งคู่เลือกเอาพวกเราเก้าสกุลไปเป็นข้อแลกเปลี่ยน’ ผู้มาเยือนเอ่ยขึ้นเมื่อเขาอ่านจดหมายทั้งหมดเรียบร้อย

‘...สกุลจางเป็นคนเห็นแก่ตัวที่มีความรับผิดชอบเหมือนกันหมดหรือเปล่า’ จางฉี่ซานยิ้มรับคำเสียดสีนั้นอย่างจำยอม

‘ข้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ แต่ก็ได้ยื่นเงื่อนไขที่คิดว่าคุ้มค่า...ก่อนจะส่งข่าวออกไปจึงอยากถามความเห็นเจ้า’

‘ท่านหลอกข้าเป็นครั้งที่สองไม่ได้ พ่อพระ’ เซี่ยจิ่วเหยียเหยียดยิ้ม ‘คราวก่อนข้ายินยอมเป็นหมากยืมบนกระดานของท่าน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน’

‘...เชื่อเถอะเซี่ยจิ่ว ข้าไม่เคยมองเจ้าเป็นหมากของข้าสักครั้งเดียว’


ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฉางซาหัวเราะขมขื่นก่อนจะจากไปทันทีเมื่อเขาบอกอีกฝ่ายว่าตนให้คนไปตามอู๋เหลาโก่วมา


...จางฉี่ซานผู้แข็งแกร่งราวกับภูเขาคือชายที่น่าสงสาร เพราะสิ่งเดียวที่เขาไม่อาจปกป้องเอาไว้ได้คือหัวใจของตัวเอง


ถึงเวลาแล้ว...

ชายหนุ่มหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูเวลาก่อนจะก้าวออกไปในสายฝนขมุกขมัวของเมืองหังโจว




TBC ... next week

Saturday 6 August 2016

[fic] 「緣分」 fate 02 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

「緣分」

fate




Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)

Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

Rate : G

Timeline : ช่วงปี1960-1963

***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event2 28/8/59***

แบบสอบถามความสนใจ+รายละเอียดค่ะ >> https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfZokZ6TKMev2-oNPyhfYMPvrmB4TDHrwEnpPdWVCocyIIx1g/viewform




02



ลมเย็นริมทะเลสาบหอบเอาความชื้นพัดผ่านจนอุณหภูมิลดต่ำ ผืนน้ำสะท้อนแสงแดดจ้าหลังฝนเป็นประกายระยิบระยับงดงามราวกับอัญมณีเลอค่า แม้จะอยู่ในยุคที่แผ่นดินลุกเป็นไฟแต่ทะเลสาบซีหูก็ยังคงเสน่ห์ของมันเอาไว้ได้ดี

ชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นหลิวเหม่อมองช่อดอกบัวบานสีสันสดใสด้วยแววตาว่างเปล่า จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังจึงวาดรอยยิ้มกว้างหันกลับไปทักทาย


“เหล่าปา...เป็นอย่างไรบ้าง”


อู๋เหลาโก่วออกปากทักเพื่อนที่ไม่พบหน้ากันมาหลายปี แววตาหลังกรอบแว่นของเจ้าบ้านแปดยังคงไม่เปลี่ยนแปลง รวมถึงบรรยากาศรอบตัวที่ยังคงรักษาความลึกลับเอาไว้ได้อย่างดี


“นับว่าสุขสบายเมื่อเทียบกับยามนี้” ฉีเถียจุ่ยตอบก่อนจะเดินมาหยุดยืนข้างคนที่มาก่อน “เซี่ยจิ่วกับเจ้าเองก็คงสบายดีสินะ”

“ฝึกหมาให้ทางการก็ไม่แย่นัก หลังจากหักค่าปิดปากก็ได้ค่าตอบแทนตามสมควร”


ภายหลังยุคที่เก้าสกุลแห่งฉางซาล่มสลาย ต่างคนต่างหาทางออกให้กับตนเอง ฉีเถียจุ่ยที่คาดเดาสถานการณ์ได้ก่อนหลบหนีออกไปไม่มีใครเห็นแม้แต่เงา เซี่ยจิ่วอาศัยฉากหน้าของนักธุรกิจที่มีความสัมพันธ์เรื่องเส้นสายในการจัดหาอาวุธให้กับทางการยืนหยัดต้านอำนาจส่วนกลางอยู่ระยะหนึ่งก่อนจะย้ายไปปักกิ่ง ส่วนอู๋เหลาโก่วที่หนีเอาตัวรอดมาได้ถึงหังโจวแม้จะได้พึ่งใบบุญสกุลเซี่ยแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมืออำนาจ ข้อเสนอในการเพาะพันธุ์และฝึกสุนัขทหารถูกยื่นมาให้แทนบทลงโทษแบบไร้ทางปฏิเสธ


“เจ้าคงรู้ว่าฮั่วผอจื่อเสียแล้ว” เจ้าบ้านแปดพูดพลางมองผืนน้ำเบื้องหน้า “ฮั่วเซียนกูจะลงใต้มาในฐานะเจ้าบ้าน”

“ทางเอ้อร์เหยียยังคงเงียบอยู่ แต่เฉินผีอาซื่อมีข่าวเรื่องรวบรวมลูกศิษย์ มีแต่คนให้ความสนใจเรื่องนี้” อู๋เหลาโก่วถอนหายใจ “เซี่ยจิ่วว่าซานเหยียก็ตอบตกลง...ขาดเพียงลิ่วเหยียเก้าสกุลก็จะกลับมารวมกันอีกครั้ง”

“ลิ่วเหยียไร้ทายาท แต่บ้านหกจะมีตัวแทนใหม่”

“รู้ขนาดนี้แล้วเจ้ารู้ด้วยไหมว่าพวกเรากำลังจะไปทำอะไรกัน” เสียงแค่นหัวเราะดังขึ้น “รัฐบาลจะจ้างโจรไปทำอะไร เก็บกู้สมบัติชาติ?”

“...ข้าเห็นเพียงแต่ทางเดินสีดำมืดที่อาบไปด้วยเลือด”

“เห็นอย่างนั้นเจ้าก็ยังกลับมา?” เขาหันไปถามทันที

“จางฉี่ซานในขณะนี้ก็เหมือนเกาทัณฑ์ง้างอยู่บนคันศร ไม่ปล่อยก็ไม่ได้ จะผ่อนสายก็ไม่ทันแล้ว” ฉีเถียจุ่ยหันกลับมาสบตาเพื่อน “ข้อเสนอของทางการจะนับว่าคุ้มค่าก็คุ้มค่า หากล้างมลทินของตระกูลได้พวกเราก็มีโอกาสที่จะเริ่มใหม่”


หนึ่งในข้อเสนอของการคีบลามะครั้งนี้คือแลกเปลี่ยนกับโทษทัณฑ์ในอดีต ทั้งเก้าสกุลจะเป็นอิสระจากการตามกวาดล้างของทางการ แม้จะเจ็บปวดกับชีวิตเพื่อนพ้องที่สูญเสียไปแต่สำหรับสกุลอู๋ที่ขึ้นลงกรวยมาตั้งแต่จำความได้ การล้างประวัติที่แปดเปื้อนนั้นจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเริ่มต้นใหม่...โดยยังไม่นับถึงเหตุผลอื่นที่ทำให้อู๋เหลาโก่วตกลงอย่างไม่ต้องคิด


“นั่นมันคุ้มค่าสำหรับสกุลระนาบอย่างข้า พวกเจ้าสามสกุลล่างไม่จำเป็นต้องใช้เงื่อนไขนี้ก็ยังใช้ฉากหน้าค้าขายต่อไปได้”

“สกุลฮั่วมีชนักติดหลังมากเกินไป ทั้งเรื่องพี่ชายของฮั่วเซียนกู ทั้งเรื่องคว่ำกรวย ต่อให้แต่งงานเข้าอิงกับหน่วยเหนือก็ยังลำบาก” ฉีเถียจุ่ยอธิบายช้าๆ “สำหรับพวกข้าเรื่องนี้ก็ยังมีประโยชน์ และอีกประการคือข้ากับเซี่ยจิ่วรู้ดีว่าเจ้าจะตกลง”


อู๋เหลาโก่วเม้มปากแน่น เขารู้ดีว่านี่คือความจริงใจของเพื่อนที่มอบให้กันมายาวนาน


“เหลาอู่ ข้าเคยตั้งใจเอาว่าจะไม่ตรวจดวงชะตาให้กับชนชั้นปกครองเพราะชะตากรรมของเขาเหล่านั้นผูกโยงกับคนมากมายเกินไป...พ่อพระใหญ่จางเองก็เช่นกัน”

“พอเถอะ ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าไม่อยากรู้สิ่งที่ยังมาไม่ถึง” เขาตัดบทเพื่อนพร้อมหันไปยิ้มให้ “ขอโทษนะเหล่าปา อย่างไรข้าคงไม่เปลี่ยนใจ หากเมื่อใดที่พวกเจ้ารู้ว่าได้ไม่คุ้มเสีย จงไปเถอะ อย่าห่วงข้า”


เถ้าแก่บ้านแปดฟังดังนั้นก็เลิกคิ้วก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากในลำคอ แววตาหลังกรอบแว่นมีประกายบางอย่างฉายออกมา


“เจ้ายังคงเหมือนเดิมเสมอ เหลาอู่” เขาพูดออกพร้อมกับสีหน้าผ่อนคลาย “คนที่ยังมองโลกในแง่ดีอยู่ได้แม้ในสถานการณ์เช่นนี้คงมีแต่เจ้า อย่าลืมว่าพวกข้าก็เป็นหนึ่งในเก้าสกุลใหญ่ เรื่องชั่วช้าก็ทำมาไม่น้อยเลย”

“คราวนี้เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าไม่กลัวพวกเจ้าหรอก อย่ามาพูดขู่ให้ใจเสียหน่อยเลย” อู๋เหลาโก่วเม้มปากพลางตอบอย่างหงุดหงิด


คนฟังได้ยินดังนั้นก็หัวเราะลั่นซึ่งอาจจะเป็นเสียงหัวเราะที่ดังที่สุดในรอบสิบปีนี้ก็เป็นได้ หลังจากถกเถียงกันจนพอใจทั้งสองยืนคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่ริมน้ำอีกสักพักก่อนที่ครูฝึกหมาจะต้องขอตัวไปทำหน้าที่ของตน


ใบไม้เรียวเล็กของต้นหลิวเสียดสีกันเองตามแรงลมเกิดเป็นดนตรีชวนเหงา หมอกจางทิ้งตัวลงมาเรื่อยๆ จนประกายบนผิวน้ำเริ่มอ่อนแสง เถ้าแก่บ้านแปดส่งยิ้มไล่หลังเพื่อนไปก่อนที่ดวงตาสีดำล้ำลึกจะฉายแววหม่นหมองออกมาอย่างปิดไม่มิด

โก่วอู่แห่งฉางซาไม่ชื่นชอบการพยากรณ์นักแม้จะหลงใหลการพนันไม่แพ้ฮูหยินของเฮยเป้ยเหล่าลิ่ว หลายครั้งที่เขาอยากเตือนออกไปแต่คำพูดก็ติดค้างอยู่ตรงริมฝีปาก...รวมถึงครั้งนี้ก็เช่นกัน


ชั่วชีวิตของอู๋เหลาโก่วนั้นดีและยืนยาว...แต่จะมีอยู่สองเรื่องที่ไม่อาจเป็นได้ดังใจ


เรื่องหนึ่งคือเรื่องของพี่ชาย...ส่วนอีกเรื่องนั้นกำลังจะมาถึง


++++++


สายฝนที่ตกลงมาไม่หยุดหย่อนทำให้อากาศเย็นชื้นอยู่ตลอดเวลาจนคนที่เคยชินกับอากาศไม่รู้สึกอึดอัดเท่าไร แต่หมอกที่หนาหนักรอบอาคารทำให้ไม่สามารถเห็นบรรยากาศโดยรอบได้จนมองคล้ายกับถูกขังอยู่ในคุก

ชายในชุดเครื่องแบบยืนมองออกไปด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย มือทั้งสองไพล่หลังอย่างเคยชินในท่วงท่าที่สง่างาม สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอะไรปิดซ่อนความรู้สึกเอาไว้ได้เป็นอย่างดี


เวลาสิบปีที่ผ่านมาจางฉี่ซานเคยมาเยือนหังโจวหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งเขาจะรีบเร่งทำธุระให้เสร็จแล้วจากไป แม้แต่ทะเลสาบซีหูก็ยังไม่เคยได้มองเต็มตาจริงๆ

เขากลัวว่าหากอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้อาจจะพบเจอกับคนที่หลีกหนีมาตลอด...และจะไม่สามารถหันหลังให้ได้เหมือนครั้งนั้นอีก


‘ไปหังโจวซะ ลืมเรื่องนี้ไปให้หมด’


จางฉี่ซานเป็นคนพูดประโยคนี้ออกมาเองที่ริมแม่น้ำซ่งฮวาเจียง แต่ตัวเขาเองกลับไม่เคยลืมได้แม้แต่เสี้ยววินาที


บาปกรรมที่ตัวเขาเองสร้างขึ้น ก็มีแค่สองบ่านี้ที่ต้องแบกรับ...เขาไม่อาจดึงใครมาทุกข์ทรมานด้วยได้อีก


สิบปีที่ผ่านมาแผ่นดินจีนมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมายภายใต้เบื้องหลังของความอดอยากที่โหดร้าย ขั้วอำนาจไหลเปลี่ยนเวียนวน การทรยศหักหลังและผลประโยชน์เป็นเรื่องดำมืดที่กลายเป็นความปกติสามัญ

ตัวเขาเองก็ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็หันกลับมาเห็นแต่เส้นทางที่ย้อมด้วยเลือดแดงฉาน...อ่อนล้าที่จะก้าวต่อไปเพียงใดแต่ก็ไม่อาจก้าวถอยหลัง


บนเส้นทางนี้สมควรมีแต่ตัวเขาเพียงผู้เดียว


“พวกเขามารวมตัวกันครบแล้ว”


จางฉี่ซานกล่าวขึ้นในความเงียบงัน เมื่อหันหลังกลับไปห้องที่เคยอยู่เพียงลำพังก็มีแขกผู้มาเยือนในมุมมืด


“ข้าขอพูดกับพวกเขาด้วยตัวเอง” เสียงราบเรียบกล่าวขึ้นช้าๆ

“เจ้าคิดว่าพวกเขาจะเชื่องั้นหรือ” นายทหารใหญ่ถามกลับในทันที “การเปิดเผยตัวตนของเจ้าตอนนี้มีแต่ผลเสีย”

“แต่พวกเขาจำเป็นต้องรับรู้เงื่อนไขของข้า”


คนในเงามืดก้าวออกมาเผยให้เห็นเสี้ยวหน้าอ่อนวัย ชายผู้นี้มีรูปร่างสูงสมส่วน แม้จะอยู่ในชุดรัดกุมแต่ก็ยังเห็นความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แบบ ท่าทางนิ่งเฉยนั้นไม่หวั่นเกรงต่อบุคคลผู้มีอำนาจตรงหน้าแม้แต่น้อย


“จุดประสงค์ของข้ากับของท่านไม่เหมือนกัน และพวกเขาต้องได้รู้ในจุดนี้” เสียงทุ้มย้ำคำเดิม

“เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าเป็นคนที่มาขอความช่วยเหลือ”

“แต่ท่านจำเป็นต้องมีข้า”


เสียงแค่นหัวเราะดังขึ้นจากผู้ที่สูงวัยกว่า นายทหารหรี่ตามองใบหน้ารูปสลักของคนตรงหน้า แววตาว่างเปล่านั้นไม่สะท้อนความรู้สึกใดออกมาแม้แต่น้อย


“สกุลจางถึงจุดที่ต้องล่มสลายแล้ว...จางฉี่หลิง”

“ข้ารู้...แต่หากพวกท่านไม่ยอมรับเงื่อนไข ความลับในประวัติศาสตร์พันปีของแผ่นดินจีนก็จะตายจากไปพร้อมกับสกุลของเรา...จางฉี่ซาน”


เมื่อพูดจบ ก็เดินจากไปพร้อมเสียงฝีเท้าเงียบงัน คนผู้นี้มีวิชาร้ายกาจราวกับภูตผี แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ใจนิ่งสงบของพ่อพระใหญ่แห่งฉางซาร้อนรุ่ม

นายทหารใหญ่รู้ดีถึงความหมายแฝงในคำพูดของอีกฝ่าย เพียงแต่เขาได้คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ มาตลอดสิบปี ทุกสิ่งทุกอย่างได้กลั่นกรองผ่านเหตุผลและความรู้สึก...เขาได้ตัดสินใจไปแล้ว


จางฉี่ซานไม่อาจก้าวถอยหลังได้อีก


...TBC next week