Saturday 11 July 2015

[fic]「秋天开的花朵」Blossom in Autumn 02 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

「秋天开的花朵」
Blossom in Autumn


Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)
Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
Rate : G
Timeline : หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event 16/8/58 จะลงสัปดาห์ละตอนไปเรื่อยๆ จนถึงวันงานนะคะ***



ลิงค์ตอนที่ 0 1



02




              เหลาอู่

             
ชายหนุ่มเจ้าของบ้านขานรับเสียงเรียกนั้นโดยที่ไม่ได้หันไปมองเพราะกำลังมีสมาธิกับสิ่งที่ทำอยู่มากเกินกว่าจะละสายตาไปได้ ผู้มาเยือนจึงเลือกที่จะเดินเข้าตัวบ้านมาเองอย่างถือวิสาสะ ลานกว้างมีฝูงสุนัขนอนหมอบอยู่เต็มไปหมด หลายตัวที่พอเห็นหน้าก็แยกเขี้ยวขู่...ถ้าไม่ติดว่าเพื่อนสั่งเอาไว้เขาคงจะได้กลายเป็นชิ้นเนื้อในพริบตา


ข้าว่าข้าย้ำเวลากับเจ้าแล้ว เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำ

ข้ารู้...แต่ถังเซิงกำลังทรมาน เจ้าจะให้ข้าทิ้งมันไว้แบบนี้หรือ


เซี่ยจิ่วก้มมอง ถังเซิง หรือเจ้าสุนัขสีดำที่ยืนนิ่งให้เจ้าของหาเห็บหมัดให้อยู่ตรงชานหน้าบ้าน


เหลาอู่...

เสี่ยวจิ่วจิ่ว อย่าจริงจังไปหน่อยเลย เจ้าเผื่อเวลาสำหรับข้าเอาไว้แล้ว


อู๋เหลาโก่วตอบกลับเพื่อนสนิทอย่างรู้ทัน ส่วนมือก็เด็ดเจ้าแมลงร้ายออกมาโยนลงกองไฟเล็กๆ ข้างตัวเรื่อยๆ แบบไม่อนาทรร้อนใจ


เจ้าจับหมาไปอาบน้ำให้หมดก็สิ้นเรื่อง คุณชายบ้านเก้าที่เลี่ยงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธทำให้คนฟังยิ้มขำเมื่อแน่ใจว่าตนเดาถูก

อากาศเริ่มเย็นแล้ว อาบน้ำตอนนี้เจ้าจะทรมานหมาข้าหรือไง

แต่มันจะหนาวขึ้นอีก เจ้าจะนอนกอดรังเห็บพวกนี้ไปจนจบหน้าหนาวหรือไง


สายตาเอือมระอาถูกส่งให้ไม่ปิดบัง แต่หมาห้าแห่งฉางซากลับเพียงหัวเราะในลำคอ สำรวจร่างกายสุนัขของตนอย่างละเอียดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะโกยทรายทับกองไฟแล้วลุกขึ้นยืน

เซี่ยจิ่วมองเครื่องแต่งกายของอีกฝ่ายแล้วก็อ้าปากจะกล่าววิจารณ์แต่เจ้าตัวรีบยกมือห้าม


ข้ารู้ๆ จะไปเปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้แหละ

รีบแล้วกัน

รู้แล้วๆ ...มีคนเคยบอกไหมว่าเจ้าเป็นคนนิสัยน่าเบื่อ

แล้วเคยมีคนบอกไหมว่าตรงต่อเวลามันเป็นมารยาทพื้นฐาน


อู๋เหลาโก่วโคลงศีรษะแล้วหันหลังเดินกึ่งวิ่งเข้าบ้านพลางบ่นอุบอิบ เซี่ยจิ่วมองท่าทางนั้นด้วยสายตาเฉยชาและเมื่อลับสายตาไปสักพักคนที่รออยู่จึงดึงนาฬิกาพกในกระเป๋าออกมาดู เข็มสั้นยาวบนหน้าปัดเรียกรอยยิ้มหยันให้ปรากฎขึ้นบนใบหน้านิ่ง

ถึงเวลาแล้ว...


++++++


วันนี้เป็นวันที่อากาศเย็น แต่สำหรับคนที่เกิดทางเหนืออย่างจางฉี่ซานถือว่านี่คืออากาศกำลังดี เขาจึงเอาเสื้อนอกแขวนไว้กับราวตามปกติ แม้ว่าวันนี้ลูกน้องจะจัดชาร้อนทั้งกายกมาให้เป็นพิเศษก็ตาม

กองเอกสารถูกนำมาตั้งไว้บนโต๊ะกว้าง เขาพยักหน้าให้นายทหารติดตามออกไป ก่อนจะดึงเอาจดหมายฉบับเล็กออกมาจากใต้ตั้งกระดาษ เขาเปิดออกกวาดสายตาอ่านซ้ำสองสามครั้งจนขึ้นใจแล้วจึงยื่นไปจ่อกับไฟของเตาต้มน้ำชา จนกระดาษแผ่นนั้นบิดงอกลายเป็นขี้เถ้าไปในที่สุด

จากนั้นจึงเริ่มต้นตรวจเอกสารทีละหน้าอย่างเคยชิน ก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้น


พ่อพระ คุณชายบ้านเก้าขอเข้าพบครับ

...บอกให้ไปรอที่ห้องรับรอง


นายทหารใหญ่ตอบกลับ เขาอ่านข้อความในกระดาษที่ค้างอยู่จนหมดหน้าอย่างใจเย็นแล้วจึงลุกขึ้นหยิบเสื้อนอกมาสวม

เจ้าบ้านสกุลจางตามตัวเซี่ยจิ่วไม่เจอมาราวหนึ่งสัปดาห์นับจากวันที่ตั้งใจไปพบอีกฝ่ายแล้วคลาดกัน นายทหารใหญ่รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจงใจทำตัวหนีหายไป แต่เขายังงานยุ่งเกินกว่าจะปลีกตัวไปสนใจเรื่องนั้นที่ไม่ต้องรีบด่วน

เพราะมันก็ไม่ได้ผิดจากคาดเท่าไรนัก...สุดท้ายเซี่ยจิ่วจะกลับมาพร้อมข้อต่อรองบางอย่าง


เมื่อไปถึงห้องรับรองก็พบคุณชายสกุลเซี่ยนั่งรออยู่แล้ว ในมือมีถ้วยน้ำชากรุ่นไออุ่นที่ไม่ถูกลิ้มรส คนอ่อนอายุโสกว่าโค้งให้อย่างงดงามก่อนจะกล่าวถ้อยคำที่เต็มไปด้วยมารยาท


พ่อพระใหญ่จาง

ว่ามา

ได้ยินว่าท่านกำลังคีบลามะ


ชายหนุ่มเข้าเรื่องทันทีไม่อ้อมค้อม...เซี่ยจิ่วรู้ดี วิธีพูดกับคนแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน กับนายทหารอย่างจางฉี่ซานต้องรวบรัดเข้าประเด็น กับนางเอกงิ้วคนดังอย่างเอ้อร์เย่ว์หงจะนิยมฟังวาจาเพราะๆ ลื่นหู ส่วนปีศาจไม้เท้าแดงอย่างป้านเจี๋ยหลี่...ไม่ต้องคุยด้วยได้น่าจะเป็นดีที่สุด


สกุลเซี่ยอยากร่วมแบ่งส่วนด้วยอย่างนั้นหรือ จางฉี่ซานถามด้วยใบหน้านิ่ง

มิได้ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของข้าเอง คุณชายคนสำคัญตอบ ข้าได้ยินว่าท่านต้องการตัวสหายของข้า

แล้วเขาอยู่ไหนเสียล่ะ? เจ้าอุตส่าห์หลบหน้าไปเตรียมการเสียหลายวัน ครั้งนี้ไม่ได้พามาพบข้าด้วยหรือ


ใบหน้าหมดจดของคนอายุน้อยยังคงเรียบตึงไม่แสดงอะไรออกมาแม้จะโดนดักคอจากอีกฝ่ายทุกทาง


ท่านคงเข้าใจผิด...ข้าไม่ได้คิดจะเล่นตุกติก เพียงแต่ข้ารู้จักสหายดีกว่าใคร...จึงทราบดีว่าเขาจะปฏิเสธท่าน น้ำคำนิ่งสงบอธิบาย เขตภูเขาหมั่งซานนั้นเป็นเส้นทางซึ่งเหลาอู่เลี่ยงที่จะขึ้นไปเหยียบย่างมาโดยตลอด


จางฉี่ซานเลิกคิ้ว เรื่องตำแหน่งสุสานครั้งนี้ไม่ทำให้แปลกใจ สายข่าวของสกุลเซี่ยมีวิธีของตนเองเสมอ ซ้ำแล้วเขาก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเพราะเขตป่าดงดิบของภูเขาหมั่งซานกว้างใหญ่ไพศาลไม่ใช่ที่ที่ใครจะเข้าไปได้โดยง่าย แต่ความหมายแฝงในถ้อยคำนั้นกำลังหมายถึงคนที่ตกเป็นหัวข้อสนทนานี้เคยไปที่นั่นมาก่อน


แล้วเจ้าต้องการอะไร?” ถามหยั่งกลับไป

ข้าบอกแล้วว่านี่คือเรื่องส่วนตัว ตอบยิ้มๆ หากเขายอมไปกับท่านจริงๆ ข้าเพียงจะฝากท่านดูแลเหลาอู่

ดูแล?” ทวนคำอย่างประหลาดใจ

หากท่าน...


เซี่ยจิ่ว!!”


เสียงโวยดังลั่นพร้อมกับประตูที่เปิดเข้ามาอย่างถือวิสาสะ ชายหนุ่มผู้มีสีหน้าไม่พอใจสุดขีดก้าวพรวดเข้ามาแบบไม่ได้ขออนุญาตแล้วหันไปว่าเสียงเครียดใส่เพื่อนทันที


เจ้าให้พวกเขาพาถังเซิงไปไหน?!”

เจ้าจะเอาหมาเข้ามาเดินเพ่นพ่านในกองบัญชาการทหารไม่ได้นะเหลาอู่ เซี่ยจิ่วตอบเพื่อนด้วยความเคยชิน ก่อนจะกระแอมไอแล้วผายมือไปทางเจ้าของสถานที่ แล้วก็รักษามารยาทด้วย ท่านนี้คือพ่อพระใหญ่จาง


ผู้มาใหม่รีบปรับเปลี่ยนท่าทีเมื่อเห็นว่าใครนั่งอยู่ด้วย อู๋เหลาโก่วตกใจแต่ไม่ได้แปลกใจนัก...แม้เซี่ยจิ่วจะไม่ได้บอกเขาว่าผู้คีบลามะครั้งนี้คือใคร แต่มาถึงที่นี่ก็ย่อมต้องเดาอะไรได้บ้างอยู่แล้ว

ณ ตอนนี้คนที่ต้องตกตะลึงจึงกลับกลายเป็นจางฉี่ซานเสียเอง


ข้าต้องขออภัยด้วยที่เสียมารยาท พ่อพระใหญ่จาง

...เจ้า?”


ใบหน้าอ่อนเยาว์ของชายหนุ่มเปิดยิ้มให้เหมือนเมื่อหลายปีก่อน คนตรงหน้าดูเปลี่ยนไปมากพอสมควร ซ้ำยังมีท่าทางเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและพลังของคนหนุ่มที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด...ทุกๆ วันเขาต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตาแต่สิ่งที่ทำให้จดจำคนคนนี้ได้ไม่มีผิดพลาดก็คือดวงตาซื่อใสจริงใจเหมือนกระจกแก้วไร้ตำหนิ


อู๋เหลาโก่ว บ้านสกุลอู๋ ศีรษะก้มโค้งให้เล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้ม


นายทหารลุกขึ้นส่งสัญญาณเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงแต่ชายหนุ่มกลับชะงักนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา


...ข้ายังคิดว่าท่านควรให้คนของท่านปล่อยถังเซิง

เหลาอู่ คุณชายสกุลเซี่ยร้องปรามแต่เขายังคงว่าต่อไป

ถังเซิงเป็นหมาเรียบร้อย ตอนนี้มันอาจจะแกล้งว่าง่ายให้จับไป...แต่เมื่อคนของท่านเผลอ มันจะแว้งกัดจนมือขาดแล้วหนีมา คำกล่าวนั้นเรียบง่ายไม่มีเค้าลางของความเกินจริง ข้าทราบว่ามันฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ท่านคงไม่อยากเสี่ยงให้ทหารที่ฝึกมาอย่างดีเสียมือไปสักข้าง


จางฉี่ซานฟังดังนั้นก็นิ่งไปอึดใจ มองสบดวงตาซื่อตรงของอีกฝ่ายก่อนจะเรียกทหารติดตามของตนมาสั่งการสองสามคำก็เป็นอันเรียบร้อย


ขอบคุณท่านพ่อพระมาก ชายหนุ่มคำนับต่ำให้แล้วทรุดตัวนั่งลงตามที่เชื้อเชิญในที่สุด

ไม่เป็นไร เป็นคนของข้าเองที่เสียมารยาทกับ...สหายของเจ้าก่อน มองพิจารณาคนตรงหน้า คิดไม่ถึงว่าโกวอู่เย๋ที่ใครเขาพูดถึงกันก็คือเจ้านั่นเอง

พ่อพระกล่าวยกย่องมากไปแล้ว...ข้ามันตัวคนเดียว ที่พอมีก็แค่วิชานิดหน่อยกับหมาไม่กี่ตัว

หมาไม่กี่ตัวที่เกือบจะทำให้ทหารของข้าพิการน่ะหรือ เขาย้อนกลับไปก่อนจะหัวเราะหึเมื่ออีกฝ่ายหน้าเสีย แล้วเจ้าลูกหมาตอนนั้นยังอยู่ดีไหม


เมื่ออู๋เหลาโก่วเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ไม่พอใจจริงๆ ก็ลอบถอนหายใจแล้วล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ


ท่านคงหมายถึงซันชุ่นติง


ลูกสุนัขขนสีน้ำตาลทองถูกหิ้วออกมา ดวงตากลมโตของมันใสแจ๋วไม่ต่างกับเจ้าของ เจ้าตัวน้อยนั่งอย่างนิ่งสงบในอุ้งมือของชายหนุ่มท่าทางไม่หวาดกลัวและสนอกสนใจอย่างยิ่ง


เจ้าหนูนี่พิการ คงไม่โตไปมากกว่านี้แล้ว ลูบศีรษะเล็กๆ อย่างเบามือ เห็นแบบนี้แต่ยามลงดินมันคือเพื่อนยากที่ไม่เคยห่างกายข้าเลย

งั้นหรือ สุดท้ายข้าก็ต้องมาเจอกับเจ้าในกรวยจริงๆ สินะ...อู๋เหลาโก่ว?”

เรียกข้าว่าเหลาอู่แบบเซี่ยจิ่วก็ได้ มีท่านเป็นผู้คีบแบบนี้ ลามะอย่างข้าเป็นเกียรตินัก รอยยิ้มกว้างขวางปรากฎขึ้น ลงดินครั้งนี้ท่านพ่อพระใหญ่มีอะไรให้หมาของข้ารับใช้อย่างนั้นหรือ


นายทหารใหญ่เหลือบมองเจ้าบ้านสกุลเซี่ยที่นิ่งจิบชาอย่างสงบเล็กน้อยก่อนจะเริ่มต้นเข้าเรื่อง


ตามที่เจ้าเข้าใจถูกแล้ว...เพียงแต่ลงกรวยครั้งนี้ข้ามีเป้าหมายว่าจะขึ้นเขา


พูดเพียงเท่านั้นคนฟังก็สีหน้าเปลี่ยนหันขวับไปมองสหายของตนทันทีราวกับเริ่มเดาอะไรบางอย่างได้


สุสานศพโลหิตบนหมั่งซาน...เจ้าเข้าใจถูกแล้ว

ข้า...ให้ท่านยืมหมาได้ แต่ตัวข้าคงไม่ได้ร่วมเดินทาง


คำปฏิเสธถูกกล่าวออกมาในทันทีพร้อมกับบรรยากาศที่เปลี่ยนไป แม้จะมีจังหวะของความลังเลแฝงอยู่...แต่เรื่องที่เซี่ยจิ่วบอกไว้ก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย ซึ่งเจ้าตัวก็เข้ามาแทรกในจังหวะนี้ทันที


เหลาอู่...เจ้าจะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับฝันร้ายที่ไม่รู้ว่าคืออะไรอย่างนั้นหรือ เสียงราบเรียบถามช้าๆ สิ่งที่เจ้าหวาดกลัวคือความจริงหรือความเท็จ เจ้าเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ

เงียบซะ เสี่ยวจิ่ว

เจ้าจะเอาอย่างนั้น...จริงๆ หรือ


ชายหนุ่มกัดฟันกรอดจนเห็นแนวสันกรามชัดเจน สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความสับสนที่ดูออกได้ง่ายดาย เซี่ยจิ่วรู้ดีว่าควรจะพูดแค่ไหนให้อีกฝ่ายตกอยู่ในความลำบากตรงปากเหวที่สัมผัสเพียงเล็กน้อยก็พร้อมจะพลาดลงไป

จางฉี่ซานมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยสายตาเปลี่ยนไป ก่อนจะยื่นข้อเสนอของตนออกไปบ้าง


เจ้าไม่จำเป็นต้องลงดิน ครั้งนี้ข้าเพียงต้องการดูตำแหน่งหน้าดินเป็นพิเศษ


นายทหารใหญ่ว่าไปพร้อมกับพิจารณาท่าทีของอีกฝ่าย อู๋เหลาโก่วคล้ายคนที่เป็นใบ้ชั่วขณะ ริมฝีปากเผยอค้างแต่กลับไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกมา ความหนักอึ้งคงจะถูกทิ้งค้างอยู่อย่างนั้นถ้าหากไม่มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

ซันชุ่นติงเห่าออกมาหนึ่งคำพร้อมกับสะบัดพวงหางไปมา เจ้าหมาน้อยมุดกลับเข้าไปในแขนเสื้อเจ้าของแล้วโผล่หน้าออกมาส่งสายตาบอกว่าจะกลับบ้านแล้วใส่ทุกคนในห้องนั้น

ชายหนุ่มที่เพิ่งถูกเรียกสติถอนหายใจเฮือก พร้อมกับปรับสีหน้าเปิดรอยยิ้มประจำตัวให้


...ข้าขอนำกลับไปคิด แล้วจะรีบให้คำตอบท่านในภายหลัง


ว่าจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งศีรษะให้เป็นการบอกลาโดยที่ไม่ได้รอคำตอบรับหรือปฏิเสธของใคร


ชายหนุ่มก้าวยาวๆ ไม่หยุดครู่เดียวก็ถึงประตูเหล็กขนาดใหญ่ ภายนอกนั้นมีสุนัขสีดำสนิทตัวหนึ่งนั่งเหยียดหลังตรงรออยู่อย่างเรียบร้อย เขาจึงตรงเข้าไปหาทันที

ถังเซิงลุกขึ้นมาคลอเคลียกับเจ้าของที่นั่งคุกเข่าลงลูบหัวลูบหางมันอย่างเบามือ ส่วนซันชุ่นติงก็มุดออกมาเลียหน้าเลียปากเงียบๆ


ลมหนาวพัดผ่านไปจนปลายนิ้วเริ่มเย็นคุณชายสกุลเก้าก็ก้าวเดินออกมาจากรั้วเหล็กช้าๆ มาหยุดยืนที่ข้างเพื่อนของตน


เจ้าเคยพบกับพ่อพระ?” เสียงเรียบเอ่ยถาม

...นานมาแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะจำได้เหมือนกัน


อู๋เหลาโก่วตอบโดยไม่ได้หันไปมอง แต่เซี่ยจิ่วก็ไม่ถือสาอะไร


พ่อพระใหญ่เป็นคนเด็ดขาด แต่ใจคอกว้างขวาง...คนของเขาล้วนภักดีจากใจจริง

แต่เขาก็เป็นคน...เหมือนกับเจ้าที่เป็นคนคนหนึ่ง เสี่ยวจิ่ว อู๋เหลาโก่วเงยหน้าสบตากับเพื่อน ข้าอาจจะตามเจ้าไม่ทัน...แต่อย่าคิดว่าข้าไม่รู้อะไรเลย

ข้าเป็นห่วงเจ้า เซี่ยจิ่วตอบกลับเรียบๆ

แต่เจ้าก็เป็นห่วงตัวเอง...ข้าคงพูดไม่ผิดใช่ไหม สวนไปทันที วิธีของเจ้ากับข้าต่างกันเกินไป...หากเป็นฮั่วเซียนกู คุณหนูใหญ่บ้านเจ็ดคงเข้าใจสถานการณ์ของเจ้าได้ดีกว่า


ว่าที่ผู้นำสกุลเซี่ยไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงเงียบไปให้อีกฝ่ายสรุปความเอาเอง


ข้าเบื่อเจ้าก็ตรงนี้ อู๋เหลาโก่วถอนหายใจเฮือก เจ้ามันก้อนหิน อย่าทำเหมือนข้าบ้าบอไปคนเดียวจะได้ไหม

...มีคนเคยบอกไหมว่ามองโลกในแง่ดีเกินไปมันเป็นการทำร้ายตัวเอง

เจ้าไม่ใช่คนแรกแน่นอน ยิ้มขำ แต่มันทำให้ข้ารู้สึกดีนะ...อย่างน้อยบนโลกนี้คนเราก็ยังเหลือความหวังดีต่อกัน


อู๋เหลาโก่วลุกขึ้นยืนในที่สุดแล้วหันไปเรียกอีกฝ่าย


กลับกันเถอะ


++++++


พ่อพระใหญ่แห่งฉางซาเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะไม้อย่างครุ่นคิด


เจ้าบ้านสกุลเซี่ยอายุมากแล้วในขณะที่คุณชายใหญ่ยังอายุน้อยกว่าเจ้าบ้านที่อายุน้อยที่สุดในปัจจุบันอย่างอู๋เหลาโก่วอีกหลายปี...ในฐานะของนักขุดดินที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นแล้ว ซือเย๋น้อยคนนี้กำลังวางหมากเชิงรุกเพื่อหนทางของตนอย่างชัดเจน ปากก็ว่าเรื่องส่วนตัวแต่ก็ใช้ประโยชน์ให้กับตระกูลได้อย่างไม่หวั่นไหว คนที่สามารถขายจุดอ่อนของเพื่อนต่อหน้าผู้อื่นต้องมีจิตใจแบบไหนกัน...อาจจะเป็นเขาเองที่เปิดกระดานผิดพลาดให้อีกฝ่ายเข้ามาจัดการเรื่องของเชลยชาวญี่ปุ่นจนเกิดเป็นช่องว่างให้กล้าเดินตานี้


ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจดับเตาต้มกาน้ำชา


ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นเลยแท้ๆ ...


ครั้งนี้ที่ยอมตกเป็นตัวเบี้ยให้สักครั้ง ก็เห็นแก่ว่าตัวเขาไม่เสียหายและยังได้ตามต้องการกันทุกฝ่าย...แต่หากยังมีหนหน้าคงต้องพิจารณาให้หนักกว่านี้

วัชพืชกาฝากหากจะถอนให้ได้ถึงรากโคนก็ต้องทำตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเพียงต้นอ่อน


สิ่งที่จางฉี่ซานกังวลไม่ใช่เกมหน้ากระดานซึ่งเห็นชัดเจน...หากแต่เป็นตาหมากที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกลเด็กเล่นนี่เสียมากกว่า



TBC...next week

No comments:

Post a Comment