Sunday 2 August 2015

[fic]「秋天开的花朵」Blossom in Autumn 05 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

「秋天开的花朵」
Blossom in Autumn

Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)
Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
Rate : G
Timeline : หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event 16/8/58 จะลงสัปดาห์ละตอนไปเรื่อยๆ จนถึงวันงานนะคะ***

ตอนนี้ปิดpre-orderแล้วนะคะ แต่ยังสามารถไปซื้อได้ที่หนา้งานค่ะ


ลิงค์ตอนที่ 0 1 2 3 4




05


ครั้งนี้อู๋เหลาโก่วเดินทางติดตามไปในฐานะลามะ เขาไม่อยากถามอะไรให้มากความแต่ก็ลอบสังเกตสิ่งต่างๆ อยู่เงียบๆ คณะของพ่อพระใหญ่เดินทางย้อนรอยทางทัพเดิมของคนโบราณ ทางเดินภูเขาพวกนี้ไม่มีคนใช้มานานหลายสิบปี มันผุพังไปมากซ้ำยังซับซ้อนไม่รู้จุดหมาย
หลังจากเดินเท้าติดต่อกันมาร่วมสัปดาห์ คณะเดินทางก็มาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง เนินดินด้านล่างเป็นสีแดงโดดเด่นอยู่ท่ามกลางป่าเขียวชอุ่ม
พวกเขาไต่ลงไปตามเนินแล้วตั้งค่ายอยู่ตรงแนวพุ่มไม้ด้านข้าง เมื่อถึงที่หมายทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเร่งรีบ เขาที่อยู่ในฐานะแขกพิเศษก็ไม่เชิง คนทำงานก็ไม่เชิงจึงไม่รู้จะลงมือทำอะไรดี
อู๋เหลาโก่วถือเป็นคนหนุ่มอายุน้อยเมื่อเทียบกับนักขุดทั่วไป ในคณะคว่ำกรวยนี้นอกจากหลี่ซือเย๋และทหารเด็กๆ ไม่กี่คนนอกนั้นก็ล้วนแต่อายุมากกว่าเขาทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่สะดวกใจนักกับการที่คนอายุมากกว่าจะมาพูดนอบน้อมด้วย ทำให้ไม่ค่อยได้ผูกมิตรกับใครเท่าไร
เสียงเห่าเบาๆ เรียกให้อู๋เหลาโก่วดึงหมาจิ๋วออกมาจากแขนเสื้อ จมูกเล็กๆ ของมันขยับไปมาก่อนจะกระโดดลงจากมือเจ้าของแล้ววิ่งซุกซนเข้าไปในพงหญ้า ชายหนุ่มจึงเดินทอดน่องไปพร้อมกับเจ้าหมาดำแทน
ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งยองๆ เขากำดินแห้งๆ ขึ้นมาจรดที่จมูก ...ยังคงไม่ได้กลิ่นอะไรทั้งนั้น

“ถังเซิง เจ้าว่าที่นี่เป็นอย่างไร”

หูทั้งสองกระดิกราวกับเข้าใจก่อนจะใช้อุ้งเท้าเขี่ยดินแดงไปมาแล้วถอยออกห่าง กิริยาของมันทำให้เขาหัวเราะเบาๆ  โยนดินแดงในมือใส่จนเพื่อนตัวดำขู่แฟ่กลับมา
เมื่อแรกเห็นสถานที่แห่งนี้ความทรงจำของชายหนุ่มก็ทับซ้อนขึ้นมาเป็นภาพของเนินเปียวจื๋อหลิ่งในอดีต ก่อนจะสลัดภาพความฟุ้งซ่านนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว บนภูเขาแถบฉางซามีภูมิประเทศแบบนี้อยู่หลายแห่งจนกลายเป็นต้นกำเนิดของตำนานศพโลหิตเฝ้าทอง
กระนั้นแล้ว...ความรู้สึกของเขาที่มีต่อดินสีแดงก็เห็นจะมีแต่ความปั่นป่วนชวนคลื่นเหียนทั้งสิ้น

“ดินแดงตรงนี้จะมีศพโลหิตอยู่จริงไหม”

ชายหนุ่มเงยหน้ามองปลายรองเท้าที่มาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ หลี่ซือเย๋ชะโงกหน้ามาถามเขาที่นั่งอยู่กับพื้นอย่างสนใจ

“...ถ้าข้ามาคนเดียวคงต้องตอกเสียมลั่วหยางลงไปดู” ศิษย์สำนักใต้ยืดตัวลุกขึ้นทันทีแล้วย้อนกลับไป แต่พวกท่านคงมีคำตอบในใจอยู่แล้ว...ว่าไง ใต้นี้จะมีศพโลหิตอยู่จริงไหม?

ใบหน้าแหลมเปิดรอยยิ้มไม่บอกความหมาย ส่วนเจ้าของคำถามก็รู้คำตอบดีจนคร้านจะว่าอะไร
แม้ศพโลหิตตรงนี้จะไม่ใช่ของจริง แต่สุสานโบราณที่พ่อพระใหญ่จางทุ่มทุนนำกำลังคนขึ้นมาถึงบนนี้ย่อมมีอะไรบางอย่าง ทั้งจำนวนคน อาวุธ ตัวบุคคลอย่างพ่อพระเอง หลี่ซือเย๋และตัวเขา ทุกอย่างชี้นำไปถึงเบื้องลึกเบื้องหลังที่ผู้คีบลามะไม่ได้ตั้งใจปิดบัง
ราวกับรู้ว่าแม้เขาจะได้กลิ่นของความไม่ชอบมาพากลเพียงไรก็จะไม่ถอนตัว
ซึ่งถูกต้องแล้ว...เขาจะไม่ถอนตัวอย่างเด็ดขาด

พ่อพระใหญ่จางเรียกซือเย๋ของคณะไปหารืออะไรบางอย่าง อู๋เหลาโก่วจึงถือจังหวะนี้เดินสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างไม่อยากไปยุ่งยากกับธรรมเนียมมากมายของสำนักเหนือ
ไม่นานนักหมาตัวจิ๋วที่หายไปนานก็มุดพงหญ้ากลับมาในที่สุด ชายหนุ่มเกือบจะออกปากดุมันก่อนจะสังเกตเห็นวัตถุบางอย่างที่สะท้อนแสงอยู่ในปาก จึงรีบรับซันชุ่นติงกลับเข้ามาในแขนเสื้อ แล้วถือโอกาสที่ทุกคนกำลังสาละวนอยู่กับหน้าที่ของตัวเองหยิบของนั้นมาดูให้มั่นใจ
สัมผัสเย็นเยียบของปลอกกระสุนที่มีรอยเลือดเกรอะกรังทำให้หัวคิ้วของชายหนุ่มขยับเข้าหากันทันที


แม้จะเป็นยามกลางวัน แต่อากาศในหุบเขายังเย็นเยียบกว่าตัวเมืองในที่ราบอยู่มาก อู๋เหลาโก่วที่เอาแต่เดินไปเดินมาเพื่อคลายหนาวจึงดีใจอย่างมากที่ถูกเรียกตัวมาใช้งานในที่สุด
วิธีขุดสุสานของสำนักเหนือใต้มีความแตกต่างในหลักใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และแต่ละตระกูลก็ยังมีวิชาก้นหีบเป็นของตัวเองอีก สกุลอู๋มีชื่อเสียงมาจากการดมกลิ่นดูหน้าดิน แม้จะเป็นดินแดงๆ เหมือนกัน แต่องค์ประกอบของมันให้ข้อมูลได้มากกว่าที่คิด ในปัจจุบันคนที่รู้วิชานี้ก็เห็นจะเหลือแต่ตัวเขาคนเดียว ซ้ำเขาเองยังมีวิชาแบบกระท่อนกระแท่นเพราะอาศัยครูพักลักจำเอาจากที่พ่อและปู่สอนพี่รอง
จางฉี่ซานคลี่ม้วนแผนที่ซึ่งวาดจากพู่กันออกตรงหน้า ก่อนจะชี้จุดฮวงจุ้ยอธิบายสิ่งที่ตนคิดออกมาจากการอ่านวิเคราะห์ตามหลักการ ปลายนิ้วลากผ่านจุดต่างๆ ย้อนรอยบรรดานายช่างในอดีตจำลองผังห้องสุสานขึ้น
นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นการขุดสุสานแบบ ผู้ดี ที่ญาติผู้ใหญ่เคยว่าถึง

...แล้วเจ้าเห็นว่าอย่างไร
ถ้าท่านถามข้าแบบนี้ ข้าก็ตอบได้ดังที่ว่าไป หลังจากที่ถกเถียงกันอยู่นานชายหนุ่มก็ผิวปากเรียกสุนัขสีดำกลับมา สำนักใต้อย่างไรก็ต้องลงเสียมลั่วหยาง หากท่านยืนกรานจะใช้วิธี เจิมถ้ำล่ามังกร ของท่าน ข้าก็คงช่วยออกความเห็นได้เพียงเท่านี้

นายทหารใหญ่พยักหน้ารับก่อนจะหันไปปรึกษาบางอย่างกับซือเย๋อายุน้อยที่มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน
สุสานแห่งนี้มีปัญหา...บางทีทางจางฉี่ซานอาจจะรู้ข้อนี้อยู่แล้วจึงต้องดึงตัวเขามาร่วมงานนี้ด้วย วิชาฮวงจุ้ยของพ่อพระใหญ่ลึกล้ำ แต่กระนั้นก็ยังมีจุดที่ตีความไม่ออก เมื่อได้ข้อมูลเพิ่มเติมไปจึงกลับไปสุมหัวกันอย่างคนมีความรู้ต่อ
อู๋เหลาโก่วเห็นดังนั้นก็โคลงศีรษะแล้วถอยฉากออกมา...คงจะเป็นข้อดีอีกครั้งของเซี่ยจิ่วผู้ทำให้เขารู้สึกฉลาดน้อยจนชินชา ทำให้ปล่อยวางกับระดับมันสมองได้แบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรนัก

เมื่อเวลาล่วงเลยไปมาก เหล่าทหารผู้ติดตามจึงจัดอาหารกลางวันเตรียมไว้ แต่ก็เกือบเย็นย่ำแล้วกว่าที่ผู้นำคณะจะได้ข้อสรุปแล้วยอมวางงานในมือ บรรยากาศขณะนั้นดูตื่นตัวกว่าปกติ จนแม้แต่คนนอกอย่างอู๋เหลาโก่วยังสัมผัสได้ว่าจากนี้คงจะเป็นการเริ่มลงมือของจริง
แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของเขาได้มากกว่าการคว่ำกรวยคือจางฉี่ซานผู้แยกออกมานั่งห่างจากผู้อื่นชัดเจนผิดวิสัย ดูจากกระแสอากาศรอบตัวนั้น ชายหนุ่มก็คาดเดาเอาเองว่าอีกฝ่ายกำลังใช้ความคิดจึงไม่มีลูกน้องคนไหนกล้าเข้าไปกวนใจ
...แต่อู๋เหลาโก่วใช่ลูกน้องของจางฉี่ซานเสียเมื่อไร

ยังคิดเรื่องเจิ่มถ้ำล่ามังกรไม่จบอีกหรือ เขาวาดรอยยิ้มแล้วนั่งลงด้านข้างก่อนจะเอ่ยคำกระเซ้าไป หากคิดไม่ตกเสียที ท่านก็น่าจะลองเปลี่ยนมาใช้วิธีสำนักใต้ ลงเสียมลั่วหยางดูบ้าง
...จริงสินะ เซี่ยจิ่วบอกว่าเจ้าเคยขุดสุสานศพโลหิต คำตอบกลับของอีกฝ่ายกับสีหน้าที่อ่านไม่ออกทำให้คนอารมณ์ดีถึงกับนิ่งไป
จะว่าตัวข้าก็ไม่ถูกนัก...ในตอนนั้นคนที่ขุดลงไปคือ ปู่ พ่อ และพี่รอง อู๋เหลาโก่วตอบไปตามตรง ก่อนจะหลับตานึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น ข้ายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่พวกเขาเจอคือศพโลหิตจริงหรือไม่
หากสกุลอู๋พลาดท่าก็คงไม่ใช่ผีดิบธรรมดา

อู๋ตากุ้ยผู้เป็นบิดานั้นจางฉี่ซานเคยได้รู้จักอยู่บ้าง สกุลอู๋เป็นนักขุดฝีมือดีแต่มักทำงานกันเองมากกว่าจะคีบลามะ ช่วงหลังที่ข่าวคราวของสกุลห้าเงียบหายไปเขาเองก็ได้ยิน แต่ด้วยเหตุการณ์ทางการทหารที่ผันผวนทำให้ไม่ได้ใส่ใจนัก เมื่อรู้อีกทีก็กลับกลายเป็นบุตรชายคนที่สามขึ้นมาเป็นเจ้าบ้านแทนเสียแล้ว

สิ่งที่มีปัญหาอาจไม่ใช่ศพโลหิต เพราะต่อให้สู้มันไม่ได้ก็ควรจะหาทางหนีทีไล่ได้...สุสานนั่นต่างหาก เขาว่าไปแล้วก็ชะงักก่อนจะถามกลับไปตามตรง "ท่านเคยเห็นศพโลหิตจริงๆ ไหม
เคยคนแก่ประสบการณ์ตอบ ได้ไม่คุ้มเสียสักนิด
แต่ท่านก็ยกพลขึ้นมาตามหาของที่ได้ไม่คุ้มเสีย?”
ของบางอย่างก็เทียบเป็นความคุ้มค่าไม่ได้ เจ้าบ้านสกุลห้าคล้ายกับจะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้านิ่ง เรื่องติดค้างที่ต้องทำ แม้จะได้ไม่คุ้มเสียก็ตาม...ดังนั้นหากจะลงกรวยนี้ เจ้าต้องยอมทำตามคำสั่งข้า
...เซี่ยจิ่วบอกอะไรอีกหรือไง ชายหนุ่มกัดฟันกรอด
ข้าเดา

นายทหารใหญ่ลุกขึ้นก่อนจะทิ้งรอยยิ้มที่หาความดีไม่ได้เอาไว้

ส่วนสาเหตุว่าทำไมจึงไม่ควรปักเสียมลั่วหยางลงไปมั่วซั่ว ก็เพราะมันจะทำให้ลูกคนที่สามกลายเป็นเจ้าบ้านเร็วขึ้น...โก่วอู่เย๋

พอแผ่นหลังกว้างห่างออกไปอู๋เหลาโก่วก็พ่นลมหายใจพรืดเอามือลูบหน้าที่เหมือนโดนตบ...จะว่าโกรธเคืองก็โกรธแต่อีกกึ่งหนึ่งก็รู้สึกพลาดมากที่สุด...ไม่เคยคิดว่าจะโดนเอาคืนเช่นนี้จริงๆ
ซันชุ่นติงในแขนเสื้อคลานออกมาแล้วใช้ดวงตาโตจ้องหน้าเจ้าของ

ไม่ต้องมองข้าแบบนั้นเลย...ปกติเห็นใจดีออกอย่างนั้น ใครจะไปรู้ว่าเป็นพวกสำนักข้าดีที่สุดในโลก บ่นแก้ตัวอุบอิบอีกหลายคำจนหมาน้อยเห่าสมน้ำหน้ากลับมา คนที่ลอบสังเกตการณ์มานานจึงถือวิสาสะเดินมานั่งแทนที่เจ้านาย
ก็คงจะมีแต่ท่านโก่วอู่เย๋ที่กล้าพูดจาแบบนี้กับพ่อพระใหญ่จาง
...ถ้าไม่ช่วยก็ไม่ต้องเหยียบข้าซ้ำ หลี่ซือเย๋ สวนกลับพร้อมเน้นหนักที่คำหลัง
ข้าแค่ว่าตามจริง ชายผอมแห้งหัวเราะชอบใจอย่างไม่ถือสา นอกจากท่านแล้วพ่อพระไม่เคยพูดจาแบบนี้กับใครหรอกนะ
พวกทหารในกองก็ดูสนิทสนมกับพ่อพระดีไม่ใช่หรือไง
ท่านยังไม่รู้จักสังคมทหาร ผู้ที่ไม่ได้เป็นทหารเช่นกันว่า ผู้บังคับบัญชาในสายตาของผู้น้อยคือเจ้าชีวิต ต่อให้พ่อพระสั่งไปกระโดดหน้าผาตอนนี้ พวกเขาก็จะทำตามอย่างไม่ขัดข้อง
...พูดเป็นเล่นไป
ในภาวะสงครามย่อมไม่มีใครถามหาเหตุผลของการกระทำ สิ่งที่พวกเขาศรัทธามีเพียงคำสั่งของนายเหนือหัว...ทหารทุกนายก้มหัวยอมเดินตามรอยเท้าของพ่อพระใหญ่แม้จะไม่เห็นเส้นทาง ก็เพราะเชื่อมั่นในตัวตนของท่านซือเย๋หนุ่มเอ่ยเสียงเรื่อย ก่อนจะสำทับประโยคสุดท้ายไว้ให้คนฟังคิดตาม พ่อพระใหญ่ไม่ใจดี เพราะท่าน ดี เกินกว่าจะเป็นแค่คำว่า ใจดี

คนที่ใช้ชีวิตอย่างไร้กฏเกณฑ์มาตลอดอย่างอู๋เหลาโก่วฟังแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะอย่างเข้าไม่ถึง เขาไม่เถียงอะไรอีกแต่ยังคงไม่เปลี่ยนความคิด เรื่องความยิ่งใหญ่ของจางฉี่ซานนั้นเขารู้ดี...ประชาชนในฉางซารวมถึงตัวเขาเองติดหนี้ให้คนคนนี้อย่างหาที่สิ้นสุดมิได้ ทว่านอกเหนือจากความรู้สึกนับถือเลื่อมใสนั้น ชายหนุ่มยังอยากสัมผัสได้ถึงด้านมุมอื่นอีก

เพราะแววตาที่เห็นในสายฝนวันนั้น...ก็คือผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งผู้ยืนหยัดอยู่อย่างเดียวดายในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ

++++++

หมายความว่ายังไง!?”
ก็หมายความตามนั้น วันพรุ่งนี้เราจะลงเขา

ใบหน้านิ่งบอกเขาราวกับประโยคนั้นไม่ได้มีความหมายอะไร ทั้งๆ ที่มันคือเรื่องยิ่งใหญ่อย่างที่ชายหนุ่มยอมรับไม่ได้

มีผีเป่าเทียน ไม่เหมาะที่จะขุดสุสาน ถ้ายังดื้อรั้นลงไปจะมีเหตุได้ ยามที่พูดแบบนี้ออกมา สีหน้าของนายทหารใหญ่ก็ยังไม่เปลี่ยนสักนิด
สำนักใต้ไม่มีธรรมเนียมนี้เราก็ยังขุดกันได้ อุตส่าห์ดั้นด้นขึ้นมาถึงบนนี้ ท่านจะหันหลังกลับลงไปง่ายๆ งั้นหรือ!?” อู๋เหลาโก่วกำลังร้อนใจ เขาไม่ได้เตรียมใจมารับเหตุการณ์นี้ ความรู้สึกของเขาก็เหมือนนักโทษประหารที่ถูกกำหนดวันตายแล้วแต่กลับถูกเลื่อนออกไป
ไม่ต้องห่วง ส่วนแบ่งของเจ้าที่ตกลงกันไว้ย่อมเป็นตามเดิมไม่มีบิดพริ้ว

ว่าจบก็ผละออกไปไม่ฟังคำทัดทานใดๆ ต่อ ทิ้งให้เจ้าบ้านสกุลออู๋กำหมัดแน่น
การคว่ำกรวยครั้งยิ่งใหญ่ถูกยกเลิกที่หน้าประตูด้วยเหตุผลง่ายๆ อย่างผีเป่าเทียน...ฟังอย่างไรก็ไม่ขึ้นสักนิด การที่จางฉี่ซานเลือกมาบอกกับเขาด้วยตัวเองนั้นแสดงเจตนาที่จะไม่ต่อรองชัดเจน และไม่คิดจะบอกเหตุผลที่แท้จริงกับเขา
การลงดินครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งสกุลอู๋ที่เนินเปียวจื๋อหลิ่ง ตอนนั้นปู่และพ่อเพียงได้เบาะแสมาแล้วเสี่ยงดวงขุดลงไปจึงเกิดเหตุไม่คาดฝัน แต่คณะของพ่อพระใหญ่จางมีข้อมูลที่พร้อมกว่า หรืออย่างน้อยที่สุดก็รู้ว่าตัวเองจะเจอกับอะไรข้างใต้ และมีการเตรียมการมาอย่างดี...สัมภาระเต็มบนหลังลาทั้งสองแสดงว่ามันมีไว้เพื่อขนของขึ้นมา ไม่ใช่ขนสมบัติกลับลงไป
อู๋เหลาโก่วกัดฟันแน่น ทั้งที่ทำถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ ...กลับคว่ำกระดานหน้าตาเฉย เช่นนี้แล้วจะให้ยอมรับได้อย่างไร?


ผิวดินแตกระแหงสะท้อนกับแสงยามอาทิตย์อัสดงจนได้สีแดงฉาน...สีแดงฉานที่ทำให้เขารู้สึกเยียบเย็นเหลือเกิน...



TBC...next week

No comments:

Post a Comment