「秋天开的花朵」
Blossom in Autumn
Blossom in Autumn
Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)
Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
Rate : G
Timeline : หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event 16/8/58 ซึ่งตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายที่เราจะลงบลอคแล้วนะคะ***
ตอนนี้ปิดpre-orderแล้ว แต่ยังสามารถไปซื้อได้ในงานที่บู๊ธU02ค่ะ ใครไปงานแวะไปทักทายกันได้นะคะ
ลิงค์ตอนที่ 0 1 2 3 4 5
06
แปลก...
ปลายนิ้วไล้ไปตามกำแพงอิฐที่มีภาพสลักนูนต่ำอย่างสนใจ
ห้องสุสานหลังคาโค้งสูงทอดตัวยาวประหนึ่งทางเดินเชื่อม
โดยรอบมีสมบัติฝังร่วมมากมายเรียงอย่างไม่เป็นระเบียบ
สภาพของมันบ่งบอกว่าเขาไม่ใช่มนุษย์คนแรกที่เหยียบย่างเข้ามา ร่องรอยการต่อสู้ปรากฎอยู่ทั่วไป
ทั้งปลอกกระสุนเก่า รอยเลือดและซากศพที่ถูกฉีกกระชากเน่าเปื่อยจนดูไม่ออก
ชายหนุ่มก้าวไปตามทางอย่างระวัง
ในหัวคิดคะเนถึงยุคสมัยของสุสานแห่งนี้อย่างละเอียดก่อนจะพบถึงความผิดปกติหลายอย่าง...ราวกับเขากำลังหลงอยู่ในดินแดนที่ไร้ยุคสมัยและกาลเวลา
แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันให้ความสว่างได้ดี
แต่เปลวไฟของมันทำให้เงารอบตัววูบไหวจนประสาทสัมผัสตึงเครียด มือชื้นเหงื่อเลื่อนกลับมาแตะที่ปืนพกข้างเอว
ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระมัดระวังจนเกร็งไปทั้งร่าง
เงาตะคุ่มเบื้องหน้าที่เข้ามาสู่เขตแสงทำให้เขาชักปืนขึ้นมาทันที ก่อนจะเห็นว่ามันคือร่างที่แน่นิ่ง
ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็วแล้วจึงนั่งยองลงสำรวจ
สุนัขสีดำตัวนี้คงไม่รอดแน่แล้ว
เขาจึงได้แต่ไว้อาลัยในใจพร้อมกับรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา
อะไรกันที่ทำให้หมาของราชาสุนัขพลาดท่า?
เขาเอื้อมมือเข้าไปจะสำรวจซากศพ แต่ทันใดนั้นร่างที่เคยคิดว่าหมดลมแล้วก็กลับขยับขึ้นมา
คมเขี้ยวอ้างับลงที่ท่อนแขนดึงให้ชายหนุ่มเสียหลักล้ม ตะเกียงน้ำมันล้มคว่ำ แล้วเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังลั่นไปทั่วห้องสุสานดำมืด
“เจ้าจะร้องหาอะไรซือเย๋!!!”
ไฟที่ดับไปแล้วถูกจุดขึ้นมาใหม่พร้อมกับใบหน้าของเจ้าบ้านห้าที่ยื่นเข้ามาใกล้
สีหน้าแสดงความหงุดหงิดชัดเจน
มือสากตะปบเข้าที่ปากของคนที่ร้องโวยวายอย่างไม่ออมแรง
พอเริ่มเรียบเรียงสติได้ก็เหลือแต่ตาตี่เล็กที่มองเขาตื่นๆ
กับเนื้อตัวสั่นเทาดูไม่ได้
อู๋เหลาโก่วถอนหายใจก่อนจะดึงให้อีกฝ่ายเข้ามาในซอกที่ตนซ่อนตัวอยู่ในตอนแรก
ภายในนั้นคือห้องขนาดไม่ใหญ่เหมือนเป็นห้องเก็บสมบัติแยกที่ตกแต่งอย่างดาษดื่นดูไม่มีอะไรสลักสำคัญ
เจ้าบ้านสกุลอู๋กำลังเผชิญกับความไม่พอใจอย่างมากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะนึกออกในขณะนี้
ย้อนกลับไปเมื่อตอนเย็นหลังจากที่พ่อพระใหญ่จางได้ออกปากแล้วว่าจะไม่มีการคว่ำกรวย
เขาก็เริ่มคิดแผนของตนขึ้นเองทันที
ชายหนุ่มได้มีโอกาสสำรวจพื้นที่โดยรอบมาก่อนตั้งแต่แรก เมื่อประกอบกับข้อมูลที่เขาได้จากการอ่านฮวงจุ้ยแล้ว
อู๋เหลาโก่วก็ตัดสินใจขุดอุโมงค์โจรโดยไม่ลงเสียมลั่วหยางที่จะทำให้เกิดเสียงดัง
พลั่วลมกรดถูกนำมาใช้อย่างเงียบเชียบ ผ่านไปเกือบครึ่งคืนเขาก็ได้อุโมงค์โจรที่ลึกลงถึงห้องสุสานซึ่งคาดว่าเป็นทางเชื่อมถึงตำหนักส่วนหลัง...แต่ด้วยความกดดันและตื่นกลัวทำให้ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่ามีใครอีกคนคอยลอบสังเกตพฤติกรรมของเขาอยู่
หลี่ซือเย๋ลอบตามลงมาในสุสานแห่งนี้
สำหรับนักขุดสุสานอย่างเขาเมื่อเห็นหน่วยก้านอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่ประนามอยู่ในใจว่ามันคือการฆ่าตัวตายชัดๆ
และนอกจากจะฆ่าตัวตายแล้วยังอาจจะลากเขาไปตายด้วยก็เป็นได้
สุสานโบราณทั่วไปหากมีการสร้างห้องสุสานอยู่บนเขาอย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับขุนนางชั้นผู้ใหญ่
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นสุสานที่มีกลไก
เพราะงานระดับนั้นต้องอาศัยนายช่างฝีมือที่มีความรู้
และในยุคโบราณคนเหล่านี้ก็มักจะรับใช้ฮ่องเต้พระองค์เดียว
แต่อู๋เหลาโก่วกลับค้นพบกลไกมากมายในสุสานแห่งนี้
รวมถึงห้องที่เขาลากอีกฝ่ายเข้ามาหลบก็เช่นกัน
ระบบป้องกันในสุสานโบราณมีอยู่ไม่กี่ขั้น ข้อแรกหาไม่เจอ
ข้อสองเปิดไม่ออก ข้อสามเอาไปไม่ได้
แต่สำหรับสุสานนี้เขายังไม่รู้ว่าจะจัดอยู่ในข้อไหน กลไกของที่นี่ไม่ได้มีไว้ทำร้ายผู้เข้ามา
จะว่ามีไว้หลอกล่อให้หลงก็ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น...ราวกับเจ้าของสุสานมีความมั่นใจอย่างมากว่าจะไม่มีใครเอาอะไรออกไปได้
“อยากตายหรือไง?!” เขาตะคอกด้วยเสียงที่หรี่ลง
แต่อีกฝ่ายยังคงปากคอสั่นเกินกว่าจะตอบอะไรได้
ชายหนุ่มสบถหยาบคายอีกหลายคำ
ก่อนที่หมาจิ๋วในแขนเสื้อจะโผล่หน้าออกมาเห่าเบาๆ อู๋เหลาโก่วจึงเงียบเสียงพร้อมกับดับตะเกียงลงทันที
ในความมืดมิดนั้นเจ้าสุนัขดำก้าวเข้าไปนอนหมอบตรงทางเชื่อมเหมือนเตรียมพร้อม...แล้วเสียงประหลาดก็ดังขึ้น
หลี่ซือเย๋ไม่รู้ว่าจะบรรยายสิ่งที่ตนได้ยินว่าอย่างไร
เสียงครืด ครืด ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ โดยจินตนาการที่มาไม่ออก
อู๋เหลาโก่วเอื้อมมือมาปิดปากปิดจมูกเขาอีกครั้งโดยส่งสัญญาณให้กลั้นลมหายใจเอาไว้
เวลานั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้าและกดดัน
ชายร่างผอมรู้สึกเหมือนตัวเองจะหมดลมซ้ำแล้วซ้ำอีกกว่าที่เสียงประหลาดนั้นจะค่อยๆ
ห่างออกไปเรื่อยๆ จนทุกอย่างเงียบสนิทในที่สุด
ผ่านไปจนแน่ใจ คนที่มีประสบการณ์มากกว่าก็คลายมือออกแล้วจุดไฟขึ้นอีกครั้ง
“...เมื่อกี้คือตัวอะไร” เขาถามทันทีที่หาเสียงตัวเองเจอ
“ถ้าให้เดาอย่างเลวร้ายที่สุดก็คือศพโลหิตที่เจ้าอยากเจอนักหนา”
ได้ยินดังนั้นหน้าตาที่เหมือนหมาจิ้งจอกของซือเย๋อ่อนหัดก็ยิ่งซีดเผือดลงไปอีก สร้างความเหนื่อยใจให้คนมองอย่างยิ่ง
เจ้าบ้านสกุลอู๋คำนวณสถานการณ์อย่างใจเย็น
จากการคาดเดาของเขา สิ่งนั้นน่าจะเป็นศพโลหิตจริง
จากร่องรอยการต่อสู้ที่ตกค้างอยู่นั้น บ่งบอกว่าเจ้าตัวนั้นเพียงตัวเดียวได้คร่าชีวิตคนไปจำนวนมากจนถึงกับต้องหนีตายและระเบิดทางสุสานปิดเอาไว้
ลำพังเขาเองให้เอาตัวรอดอย่างเดียวก็คงพอไหว...แต่เมื่อมีตัวถ่วงที่เอาแต่แข้งขาสั่นแบบนี้ติดสอยห้อยตามมาด้วย
อย่างไรก็ต้องรีบถอยให้เร็วที่สุด
“เดินไหวไหม”
หลี่ซือเย๋พยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับค่อยๆ
เกาะกำแพงอิฐดันตัวเองขึ้นอย่างยากลำบาก เห็นคนที่เคยมีมาดดีเป็นได้ถึงขนาดนี้ เขาเองก็ด่าอะไรเพิ่มไม่ออกได้แต่ถอนหายใจระงับอารมณ์ไปพลาง
“ยืนไหวแล้วก็อย่าไปแตะต้องอะไรมาก
สุสานนี้มีกลไก--”
ไม่ทันขาดคำก้อนอิฐตรงมือที่ชายร่างผอมเท้าอยู่ก็เลื่อนเข้าไป
เกิดเสียงกลไกลั่นจนฝาผนังห้องอีกด้านเปิดออก
อู๋เหลาโก่วอ้าปากจะตะโกนด่าไปอีกรอบแต่เสียงที่เขากำลังกลัวก็กลับดังขึ้นอีกครั้ง
และในชั่วพริบตาใบหน้าประหลาดขนาดใหญ่ก็ปรากฎขึ้นในเขตแสงไฟ เบ้าลึกโหลที่ไร้ลูกตาจ้องมองตรงมาอย่างอาฆาตแค้น
เสียงกรีดร้องลั่นของหลี่ซือเย๋ดังก้องไปทั่วพร้อมกับเสียงสาดกระสุนของคนที่มีสติกว่า
กระสุนปืนทำได้แค่ให้ร่างนั้นชะงักการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย
เขาจึงคว้าแขนอีกคนแล้วลากให้วิ่งออกมาตามทางที่กลไกใหม่เปิดออก
“ถังเซิง!!”
อู๋เหลาโก่วตะโกนเรียกแล้วเจ้าสุนัขดำก็กระโจนออกไปวิ่งนำทางอย่างรู้งาน ตะเกียงน้ำมันถูกทิ้งอยู่ในห้องนั้น
ตอนนี้ทั้งคู่จึงกำลังวิ่งอยู่ในความมืดโดยที่มีศพโลหิตวิ่งไล่ตามมาในระยะประชิด
ช่างเป็นสถานการณ์ที่ดีจนอยากจะบีบคอไอ้คนข้างๆ
ให้ตายเหลือเกิน!
“ม...ไม่ไหว...” วิ่งไปได้ไม่เท่าไร คนที่ไม่เคยใช้กำลังก็เริ่มประท้วง
“งั้นก็นอนตายให้มันควักลูกตากินไปซะ!!” พูดพลางหันปืนไปสาดกระสุนใส่
พอว่าจบคนที่บอกว่าหมดแรงก็ดูจะวิ่งเร็วขึ้นอีก
กระสุนค่อยๆ พร่องลงเรื่อยๆ
พร้อมกับระยะห่างที่ดูจะไม่ทิ้งช่วงไปเลย ในตอนที่อู๋เหลาโก่วเริ่มคิดถึงการใช้ระเบิด
เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้น
“เหลาอู่!!!”
ไวเท่าความคิด...ชายหนุ่มบิดเอวพลิกตัวผลักเอาคนอ่อนประสบการณ์ให้ล้มไปทางเสียงเรียกก่อนจะดันตัวเองเข้าไปตาม
แล้วเสียงกลไกทำงานก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงครืดๆ
น่ารังเกียจถูกกั้นให้ห่างออกไปจนเงียบลงเหลือแต่เสียงหอบหายใจเฮือกของคนที่วิ่งหนีจนหมดรูป
ตะบันไฟถูกจุดขึ้นในความมืด เผยให้เสี้ยวหน้าเคร่งขรึมที่เต็มไปด้วยความโกรธ
“อยากตายหรือไง!?” เสียงเข้มกดต่ำเป็นคำถามที่เขาเพิ่งพูดออกไป
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านายทหารใหญ่กำลังอยู่ในจุดที่อารมณ์พุ่งถึงขีดสุด
“...ข้าไม่อยาก
แต่ท่านควรถามคนของท่าน”
เขาเอียงคอใส่คนที่ดูไม่เข้ากับสถานที่มากที่สุด...หลี่ซือเย๋ในขณะนี้ดูไม่ได้สักนิด
ใบหน้าซีดเผือด ผมเผ้ายุ่งเหยิง อึฉี่ราดเต็มกางเกง
อู๋เหลาโก่วมองแล้วก็ได้แต่สมน้ำหน้ากึ่งเห็นใจ
ก็เคยได้ยินมาบ้างว่าพวกซือเย๋หรือหน้าด่านบางคนพอมีความรู้อะไรเข้าหน่อยก็จะเริ่มอยากหาประสบการณ์ลงดินด้วยตัวเองสักครั้ง
แต่สำหรับคนที่อยู่กับตำรามาทั้งชีวิตก็ย่อมเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเห็นๆ แถมหาเรื่องครั้งแรกก็ดันเป็นศพโลหิต
ไม่ใช่ขนขาวขนดำแบบที่ชาวบ้านเขาเจอกันอีก...ถึงรอดคราวนี้ไปได้เห็นทีซือเย๋คนเก่งก็คงจะจับไข้หัวโกร๋นไปอีกนาน
“ข้าบอกแล้วว่าจะไม่มีการคว่ำกรวย” พ่อพระใหญ่จางยังคงว่าต่อไป นั่นทำให้ชายหนุ่มนึกอยากเถียงขึ้นทันที
“จุดเทียนเป็นธรรมเนียมสำนักเหนือ
คนสำนักใต้อย่างข้าไม่ถือสาอะไร ข้าลงดินได้...ตัวท่านต่างหากที่ไม่ควรลงมา”
ว่าจบนายทหารใหญ่ก็สบถหยาบคายในระดับที่ชาวบ้านอย่างเขายังสะดุ้ง
“เจ้าคิดว่าข้าอยากลงมาหาเรื่องตายหรือไง
ถ้าไม่ใช่เพราะรับปากเซี่ยจิ่วไว้”
คราวนี้คนฟังถึงกับนิ่งไป
จางฉี่ซานจึงพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด...อู๋เหลาโก่วเป็นคนหนุ่มฝีมือดี
แม้จะยังอายุน้อยในวงการแต่ก็มีชื่อเสียงมาก ก็ไม่แปลกนักที่จะมีความมั่นใจในตัวเองสูง
ประกอบกับการทำงานของสกุลอู๋ก็มักจะลงดินตัวคนดียวอยู่แล้ว เจ้าตัวคงไม่เห็นว่าเป็นปัญหา
...แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะรับฟัง
“หมาดื้อ!”
คนถูกดุอ้าปากจะเถียง แต่ก็ไม่รู้จะพูดว่าอะไรอีก
“เจ้าควรฟังข้า
ศพโลหิตถูกปลุกขึ้นมาแล้วจะทำอะไรตอนนี้ก็ไม่คุ้มทั้งนั้น”
“... ‘เรื่องติดค้างที่ต้องทำ
แม้จะได้ไม่คุ้มเสียก็ตาม’ ”
อู๋เหลาโก่วเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายในความมืด “ข้าถอยไม่ได้
ท่านไม่เข้าใจ เหตุผลไร้สาระของท่านข้าย่อมยอมรับไม่ได้เพราะมันคือคำโกหก”
“เพราะรู้แบบนี้ข้าถึงไม่บอกเจ้าว่าที่นี่มีศพโลหิตเดินเพ่นพ่านอยู่จริง” จางฉี่ซานตอบกลับไปไม่หลบสายตา “แต่เจ้าเองก็โกหก
เจ้ารู้อยู่แล้วว่ากรวยนี้มีคนลงมาก่อนแต่ก็ไม่บอกข้า ทั้งๆ
ที่รู้ว่ามันผิดธรรมเนียมสำนักเหนือ”
คำพูดนั้นทำให้คนอายุน้อยเป็นฝ่ายต้องเงียบลงในที่สุด
เจ้าบ้านสกุลห้ารู้ดี...ในวงการอาชีพนี้ไม่เคยมีมิตรแท้
ไม่เคยมีศัตรูถาวร
ทุกอย่างอยู่บนการเอาตัวรอดและผลประโยชน์โดยการฉาบหน้าว่าเกื้อกูลกัน
ทุกสิ่งที่โยงใยกันไว้ย่อมมีเหตุผล...ในยุคที่แม้แต่วันพรุ่งนี้ยังมืดมนจะถามหาความดีงามบนโลกได้จากที่ไหนกัน
อู๋เหลาโก่วเลือกที่จะเชื่อใจสุนัขมากกว่าคน...แต่ทุกครั้งที่ได้รับคำโกหกก็อดที่จะสะเทือนใจไม่ได้
และสุดท้ายเมื่อเป็นตัวเขาเองที่ทำเช่นนั้น
ความรู้สึกหน่วงในอกจึงไม่เคยเบาบางลงเสียที
จางฉี่ซานไม่อาจอธิบายได้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร...ส่วนหนึ่งเขาไม่พอใจอีกฝ่ายมากจนอยากจะสั่งลงโทษให้สมกับความดื้อด้าน
แต่ติดที่อู๋เหลาโก่วไม่ใช่คนของเขา และอีกส่วนหนึ่งเขากำลังไม่พอใจในตัวเอง...การลงมาในกรวยที่มีศพโลหิตซึ่งตื่นอยู่เป็นเรื่องสิ้นคิดมากแค่ไหนตัวเขาเองก็รู้ดี
ทว่า...เมื่อจับได้ถึงความผิดปกติในขบวน สิ่งที่เขาทำคือการสั่งการลูกน้องเอาไว้แล้วรีบตามลงมาทันที
หนึ่ง คือหลี่ซือเย๋เป็นคนของสกุลหลี่...แม้จะเป็นเพียงสายเลือดรอง
แต่ก็ต้องเห็นแก่หน้าของป้านเจี๋ยหลี่
สอง คือเขาได้รับปากกับคุณชายบ้านเก้าไว้แล้วว่าจะเป็นธุระดูแลสหายให้
แม้ว่าจะไม่จำเป็นเลยก็ตาม
แต่เหตุผลทั้งหมดล้วนไม่เข้าท่า...จางฉี่ซานไม่มีความจำเป็นต้องช่วยเหลือใครก็ตามที่หาเรื่องใส่ตัว
พอคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไรก็ไม่เข้าใจตัวเอง
ความหงุดหงิดก็ยิ่งพุ่งสูง...ยิ่งเห็นว่ากลไกในสุสานเละเทะเสียระเบียบไปหมดก็ยิ่งอยากจะจับตัวมาลงโทษเสียให้เข็ด
“ขอโทษ...ข้าไม่คิดว่าจะต้องลำบากให้ท่านลงมา” คนอายุน้อยกว่ากล่าวออกมาในที่สุด
...เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดทั้งปวง...พอจางฉี่ซานได้ฟังคำกล่าวง่ายๆ
กับสีหน้าหงอยๆ ของอีกฝ่าย เขาก็กลับโกรธไม่ลงจนไม่พอใจตัวเองแทบบ้า
นายทหารใหญ่ถอนหายใจเฮือก
เขาจุดตะบันไฟอันถัดไป ก่อนจะเริ่มตรวจดูลูกกระสุนปืนที่เหลือ ทำให้คนที่มองอยู่เริ่มขยับเตรียมตัวบ้าง
“ท่านจะเอาอย่างไรต่อ”
“...ถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องเอามันให้ล้ม” ตอบพร้อมกับบรรจุกระสุนจนเต็ม “กลไกในนี้เละเทะไปหมดแล้ว
หากต้องวิ่งหนีไปหาทางออก คงไม่มีทางรอด”
“ท่านคิดจะจัดการศพโลหิตจริงหรือ” อู๋เหลาโก่วถามย้ำ ร่องรอยการต่อสู้และซากศพทั้งหลายเป็นหลักฐานชั้นดีว่าไม่ควรไปลองดีอย่างยิ่ง
แต่คนตอบกลับพยักหน้ารับ
“สุสานนี่ถูกเปิดมาสักพักแล้ว
พลังมืดรั่วไหลออกไปไม่น้อย ร่างของศพโลหิตก็คงเริ่มเน่าเปื่อยเช่นกัน” พ่อพระใหญ่จางอธิบาย “ยังไงก็เป็นตายเท่ากัน
แค่เลือกระหว่างรออยู่ที่นี่ให้มันมาเจอ กับออกไปหามันเอง”
ปืนพกM1911สัญชาติอเมริกาอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมบนมืออีกฝ่าย
ปืนชนิดนี้ถือเป็นอาวุธสงครามที่นิยมกันแพร่หลาย พลังทำลายสูง แต่มีข้อเสียตรงบรรจุกระสุนได้น้อย
คนที่พกปืนแบบนี้ลงมาคว่ำกรวยต้องมั่นใจในฝีมือตัวเองไม่น้อยว่าจะไม่ทำกระสุนที่มีค่าเสียไป
“ปืนของเจ้าจะไม่ขัดลำกล้องใช่ไหม” จางฉี่ซานเหลือบตามองปืนกลเก่าๆ ของอีกฝ่าย
“...ข้าดูแลมันอย่างดี
ไม่ต้องห่วง”
นายทหารมองคนที่จับปืนในมือแน่นก็พยักหน้ารับ
หันไปตรวจปืนให้กับหลี่ซือเย๋ที่ได้แต่นั่งตัวสั่นอยู่ตรงมุมห้อง
คนตัวผอมเกร็งพยักหน้ารับทุกคำสั่งที่บอกให้อยู่นิ่งๆ ถ้าไม่จวนตัวแล้วห้ามขึ้นนก ห้ามลั่นไก
พอว่าจบก็ดึงแขนให้ลุกขึ้นยืนเองแล้วค่อยหันมาหาอู๋เหลาโก่วที่รอจังหวะอยู่แล้ว
“พร้อม?”
“พร้อมตั้งแต่รู้ว่าจะมีท่านล่มหัวจมท้ายด้วยแล้ว” ชายหนุ่มว่าพร้อมกับวาดรอยยิ้มเฉพาะตัวขึ้นอีกครั้ง
พ่อพระใหญ่จางถึงกับหลุดขำพรืดออกมาครึ่งคำ...อู๋เหลาโก่วก็คืออู๋เหลาโก่ว
คนที่ยังคงมีอารมณ์พูดหยอกแม้แต่ในสถานการณ์ที่กำลังเดิมพันด้วยชีวิต
...ไม่ได้รู้เอาเสียเลยว่าทำให้คนอื่นโกรธเคืองไว้ขนาดไหน...แต่ก็เอาเถอะ
นายทหารใหญ่ส่งสัญญาณมือให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแตะประตูกลไกให้เปิดออก
“ไปจัดการศพโลหิตนั่นแล้วกลับบ้านกัน”
TBC...in DMBJ only event 16/8/58
No comments:
Post a Comment