Sunday 29 November 2015

Farundelle :: ภาค 1 :: 01 คนธรรมดา

Farundelle :: ภาค 1 ::  01 คนธรรมดา



ธงสีดำลายทองปลิวไสวไปตามแนวของกำแพงสูง กลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิโอบล้อมความสดใสมาสู่ปราสาทหลังงามกลางแนวธารแม่น้ำสายใหญ่ บรรยากาศครึกครื้นล่วงเลยมาจนเกือบถึงช่วงสุดท้าย ผู้คนมากหน้าหลายตาทยอยกันเข้าออกเมืองขนาดเล็กที่มีชื่อเรียกตามที่ตั้ง... ‘ริเวอร์ธาน’


“เอล พี่กลับนะ อยู่ได้จริงๆ ใช่ไหม”


คำถามนั้นดังขึ้นอย่างเป็นกังวล ชายหนุ่มก้มสบตากับเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างชั่งใจ แม้อีกฝ่ายจะยิ้มตอบอย่างมั่นคงแค่ไหนก็ตาม


“กลับไปเหอะอัล ป่านนี้อาร์ยากับไอร์ลาร้องไห้หากันใหญ่แล้ว” เด็กหนุ่มตอบคนเป็นพี่ ก่อนที่มือสากกร้านของอัศวินจะขยี้หัวเบาๆ

“ร้องไห้หานายด้วยนั่นแหละ...พี่ไปจริงๆ แล้ว ตั้งใจเรียนล่ะ อย่าลืมเขียนจดหมายมาตามที่คุยกันด้วย” อัลฟอร์ดกำชับก่อนจะหันหลังเดินออกไปตามถนน

“ฝากพ่อแม่ด้วยนะอัล!!” ตะโกนไล่หลังไปซึ่งอีกฝ่ายก็แค่ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่ารู้แล้ว


‘เอล ไอเม่ แอสเซียร์’ กำลังยืนเคว้งอยู่ท่ามกลางถนนที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน ช่วงเวลานี้ของปีริเวอร์ธาน จะเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ขายเสมอ เพราะมันคือช่วงเวลาของการทำมาหากิน...ช่วงรับสมัครและเปิดภาคเรียนของ ‘ฟารันเดล’

เด็กหนุ่มเดินไปตามทางที่ปูด้วยหินอย่างใจเย็น แม้ความรู้สึกตื่นตัวจะกำลังแล่นไปมาทั่วร่าง ปราสาทขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ที่ปลายทางของเขา แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เข้าไปเหยียบ แต่นับจากวินาทีนี้มันคือโรงเรียนและที่ซุกหัวนอนอีกหลยปี


“นี่ไอ้หนู ประตูหน้าของฟารันเดลไปทางไหนหรือ” คำถามดังจากชายร่างยักษ์พร้อมกับสัมภาระมหาศาลบนหลังบอกได้ไม่ยากเลยว่าเขาเป็นพ่อค้าที่ตั้งใจจะมากอบโกยเงินจากช่วงเวลาทอง

“ผมกำลังจะเข้าไป เดินไปด้วยกันก็ได้นะครับ” เอลตอบพร้อมกับออกเดินนำอีกฝ่ายไปตามฝูงชน

“เอ้า ไอ้หนู! นี่เป็นเด็กฟารันเดลหรือ เก่งนี่หว่า” คุณลุงพ่อค้าที่เดินตามมาชวนคุย

“ไม่หรอกครับ ผมคงโชคดี” เด็กหนุ่มส่ายหัวจนเส้นผมสีทองละเอียดปลิวไปตามแรง

“แหม เข้าได้ก็เก่งทั้งนั้นแหละ อนาคตสบายแล้ว โรงเรียนนี้มันมีแต่เจ้าชายเจ้าหญิงเขาเรียนกัน เข้าไปกินนอนเดี๋ยวรัศมีเจ้านายก็จับเอง” พ่อค้าอารมณ์ดีหัวเราะเอิ้กอ้ากพร้อมกับตบหลังจนเอลแทบหน้าคว่ำ “แล้วเราชื่ออะไรล่ะ ลุงชื่อเฮค...เฮค คอร์นฟอน”

“เอล...แค่ชื่อดีกว่า เดี๋ยวลุงก็ลืมผมแล้ว”

“โฮ้ย เห็นงี้ลุงจำคนเก่งนะไอ้หนูเอล คราวหน้าถ้าเจอกันอีกแล้วเรียกชื่อถูกต้องเลี้ยงเอลซักเหยือกนะเว้ย”


พ่อค้าร่างยักษ์โบกมือลาเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงประตูขนาดใหญ่ เอลกระชับสายหนังในมือ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดน...ปราสาทฟารันเดล

เด็กหนุ่มย้ายของเข้ามาแล้วรอบนึง ก่อนจะเดินออกไปส่งพี่ชายที่ข้างนอก ตอนนี้ทั้งตัวเขาจึงมีแต่ถุงหนังที่มีเงินเล็กน้อยกับดาบเล่มเก่าของพี่ชาย เอลนั่งรอในส่วนที่จัดไว้ให้นักเรียนมารายงานตัวพลางเท้าคางมองคนมากหน้าหลายตาที่ทยอยเข้ามาในห้องโถง นักเรียนแต่ละคนถ้าไม่ดูมีลักษณะของนักรบ พ่อมดแม่มด ก็จะเป็นพวกเจ้าชายเจ้าหญิง ฟารันเดลเป็นโรงเรียนหนึ่งเดียวที่ได้รับการรับรองจากกษัตริย์ทั้ง6แคว้น จึงไม่แปลกที่บรรดาเชื้อพระวงศ์จะนิยมส่งลูกหลานมาเรียนที่นี่


เอลเอ๋ย จงสำลักความธรรมดาตายไปซะ


เด็กหนุ่มผมทองบอกตัวเองขำๆ แล้วลูบที่อกข้างซ้ายด้วยความเคยชินเวลาที่ใช้ความคิด เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก่อนจะสบกับดวงตาสีแดงคู่หนึ่งที่ยิ้มให้แล้วสาวเท้าเข้ามา


“เฮ้ ฉันชื่อฟอน นายชื่ออะไร” คนร่างสูงโปร่งเอ่ยทักพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

“เอล” อีกฝ่ายพยักหน้ารับหงึกหงักก่อนจะหันมาชวนคุย

“นายมาจากไหน ทำไมถึงมาเรียนที่ฟารันเดล”

“มาจากอีสเทรีย นายล่ะ?”

“ฉันมาจากเซส” ฟอนตอบก่อนจะถอนหายใจเฮือกแล้วลดระดับเสียง “นายเป็นคนธรรมดาใช่ไหม”

“หา?”

“หมายถึงไม่ได้เป็นเจ้าชาย ทายาทนักรบ หรือผู้สืบทอดเวทมนตร์โบราณอะไรแบบนั้น!” เอลทำหน้าเหวอก่อนจะขำพรืดออกมาแต่คนพูดกลับแย้งจริงจัง “ไม่ตลกนะ!! นี่ฉันกำลังรวบรวมสมาชิกคนธรรมดาแห่งฟารันเดลอยู่”

“ธรรมดาของแท้แน่นอนเลยล่ะ” เด็กหนุ่มยิ้มให้

“ดีมากพันธมิตรอันดับหนึ่ง” ฟอนสะบัดผมสีน้ำตาลยาวที่รวบไว้ลวกๆ ไปมา “คนธรรมดาอย่างเรามันต้องหาเพื่อน เพราะบรรดาเจ้าชายทั้งหลายคงไม่ลดตัวลงมาคุยกับพวกเรา”

“ขนาดนั้นเชียว?” เอลถามพลางหันไปสำรวจคนอื่นอีกครั้ง

“หึ ดูอย่างคนนั้น” พยักเพยิดไปทางกลุ่มคนที่ดูโดดเด่นชัดเจน “คนที่สูงๆ ผมดำตาดำนั่นเจ้าชายดำแห่งเซส ส่วนผู้หญิงตาสีแดงข้างๆ คือเจ้าหญิงอิลิเอส จอมเวทย์แห่งราชสำนัก”

“ไม่ดีหรือ ได้โอกาสตีซี้กับเจ้าหญิงเจ้าชายแคว้นตัวเองเชียว”

“กล้าหรือ...เข้าใกล้ก็เข่าอ่อนแล้ว” ประชาชนของเจ้าหญิงเจ้าชายที่ว่าส่ายหน้าวืด


เสียงประกาศจากอาจารย์สาวร่างอวบทำให้ทั้งคนที่ยืนคุยเล่นรีบเข้าไปนั่งประจำที่กันอย่างเรียบร้อย ก่อนที่การปฐมนิเทศเริ่มขึ้น


“ในฐานะตัวแทนคณาจารย์แห่งฟารันเดล ขอกล่าวต้อนรับพวกเธอทุกคน...”


ทันทีที่เริ่ม ไอ้คนตาแดงก็เริ่มปรือตาลงจนเอลได้แต่เหล่มองอย่างหมั่นไส้


“...ไม่ว่าใครจะมาจากไหน เป็นใคร เป็นเจ้าชาย เป็นจ้าวมนตราหรือนักรบ แต่ที่นี่...พวกเธอทุกคนคือนักเรียนของฟารันเดล จงสละทุกสิ่งที่ติดตัวมาแล้วเริ่มนับหนึ่งพร้อมกัน”


ฟอนที่เกือบสัปหงกเงยหน้าขึ้นมาผิวปากหวือ


“นายว่าเจ้าหญิงมีเดียน่าแห่งเวสเทรลจะลดองศาปลายคางลงมาเป็นคนปกติได้ไหม” พยักเพยิดไปทางหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่นั่งเชิดหน้าอยู่

“ลองไปถามดูไหมล่ะ ฉันอยากเห็นคนถูกสาปเป็นกบ” คนไม่ชอบมีเรื่องโต้กลับเรียบๆ


“...สุดท้ายนี่ก็ยินดีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ขอต้อนรับสู่ ฟารันเดล” อาจารย์กล่าวจบแล้วทั้งห้องก็เกรียวกราวไปด้วยเสียงตบมือ จนเริ่มซาประกาศต่อไปจึงมา “ต่อไปเป็นการประกาศหอพักนะจ๊ะ”


“นายเลือกอะไร” ฟอนกระซิบถาม

“หอมนตรา”

“อ่าว งั้นคงต้องแยกกัน เพราะฉันเลือกอยู่ป้อมศาสตรา” เพื่อนใหม่ร้องอย่างเสียดาย “ฉันอยากเป็นอัศวิน”

“ถ้างั้นทำไมไม่เรียนโรงเรียนอัศวินของเซส” เอลขมวดคิ้ว

“ที่นั่นปีนึงคนเรียนจบเป็นร้อย แต่ฟารันเดลคนที่เรียนจบเป็นอัศวินมีไม่มาก”

“ฟอน มาคัส แวนโดแวนน์...ป้อมศาสตรา” เสียงประกาศดังลั่นพร้อมกับเสียงปรบมือจากฝั่งป้ายสีแดงเข้มขลิบทอง

“เสียดายแฮะ ไว้เจอกันในห้องเรียนแล้วกัน”

เอลยิ้มให้เพื่อนใหม่เมื่อฟอนทำท่าเศร้าขึ้นมาจริงจังแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรไป เด็กหนุ่มร่างสูงลุกเดินออกไปรวมกลุ่มกับคณะของป้อนศาสตรา และรอบๆ ก็ทยอยหายกันไปทีละคนจนเหลือเขาคนสุดท้ายที่นั่งอยู่


“เอ้อ...” คนประกาศทำหน้าเลิกลั่กเพราะรายชื่อที่อยู่ในมือมันหมดแล้ว และในห้องโถงก็เริ่มมีเสียงซุบซิบดังขึ้นเรื่อยๆ


เอาจนได้สิน่า...


เอลถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้น แล้วเปล่งเสียงออกมากลางห้องโถง


“เอล ไอเม่ แอสเซียร์ ผู้สอบเข้าลำดับที่37 ผมขอเอกสารรับรองมาด้วยตอนสอบผ่าน”


เขาหยิบแผ่นกระดาษที่มีตราประทับของฟารันเดลขึ้นมาโชว์ เสียงพูดคุยจึงยิ่งดังขึ้น จนชายสูงวัยผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ของฟารันเดลและผู้ปกครองแห่งริเวอร์ธานก้าวออกมา


“เอล ไอเม่ แอสเซียร์ ขออภัยสำหรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น” ผู้วิเศษเคเรอัสยิ้มอย่างใจดี “ป้อมศาสตรา”


เอลเบิกตากว้างอย่างตกใจเขาอ้าปากจะเถียง แต่ชายชรากลับผายมือให้เขาไปทางเดียวกับที่ฟอนเพิ่งเดินไปโดยไม่ให้สิทธิ์ในการตอบโต้ เขาจึงต้องเดินไปทางกลุ่มคนที่ส่งเสียงเฮรับอย่างจำใจ เด็กหนุ่มตาแดงยิ้มกว้างพร้อมกับกวักมือเรียกให้เข้าไปนั่งข้างๆ


“ไหนบอกว่าหอมนตราไง” ฟอนกระเซ้า

“ไม่รู้” เอลบ่นเบาๆ ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะก๊าก

“เอาน่า ตอนจบปีแรกค่อยทำเรื่องย้ายก็ได้ ไม่เลวร้ายนักหรอก”

“หวังว่านะ” ถอนหายใจเฮือก


ฟารันเดลเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนอยู่สองหลักสูตร ปกติเด็กที่เข้าเรียนใหม่ทุกคนจะได้เลือกสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อตอนที่สมัครสอบ ครั้งที่สองเมื่อผ่านไปได้หนึ่งปี เมื่อเลือกครั้งที่สองแล้วจะไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนใจอีกนอกเสียว่าจะลาออก

อย่างไรเนื้อหาที่เรียนในปีแรกก็เหมือนกันทั้งสองหอ...อยู่ที่ไหนก็ไม่ต่างกันนักหรอก


“ว่าแต่นายดูไม่แปลกใจสักนิดที่ชื่อตัวเองหาย” ฟอนเผยรอยยิ้มกว้างจนตาสีแดงเป็นประกาย “แถมมีขอเอกสารรับรองไว้ด้วย คนส่วนใหญ่เขามักจะขอไว้ส่งกลับบ้านกันไม่ใช่หรือ”

“ก็แค่ยังไม่ได้ส่งล่ะน่า” เด็กหนุ่มผมทองเอ่ยปัด


ทั้งคู่เดินตามที่พวกรุ่นพี่พามาจนถึงป้อมศาสตรา สถานที่กินนอนนับจากนี้ไปอีกหลายปี ลักษณะป้อมสูงใหญ่และงดงามแม้จะดูเก่าไปบ้างแต่ก็ยังคงความยิ่งใหญ่ไว้ได้ดี


“เอาล่ะน้องๆ ไอ้ป้อมนี่ถึงมันจะเก่าไปบ้างแต่ก็พอซุกหัวนอนกันได้ล่ะนะ” คนเป็นรุ่นพี่กระแอมเบาๆ “เราจะพักกันที่นี่ มีสวัสดิการทุกอย่างเท่าที่จะอำนวย ส่วนห้องเรียนก็ค่อยไปศึกษาเอาเองแล้วกัน”


หลายคนร้องอ่าว เพราะได้ยินว่าทางหอมนตราจะพาเด็กใหม่ไปสำรวจโรงเรียน


“หอเรามันคนน้อยงานยุ่ง ช่วยเหลือตัวเองไปเหอะ” รุ่นพี่อีกคนหัวเราะ “ต่อไปจะเป็นห้องนอน พักสองละสองคน ทั้งหมดเป็นการสุ่ม...ยกเว้นห้องแรก”


เสียงฮือฮาดังขึ้นจนรุ่นพี่ผู้หญิงอีกคนต้องเอาปลอกดาบเคาะกับพื้นอิฐเสียงดัง


“...ห้องแรกของชั้นปีจะเป็นห้องของคนที่คะแนนสอบเข้าสูงสุด มีห้องน้ำในตัว ห้องใหญ่สุด สบายสุด แต่เปลี่ยนทุกปีตามอันดับคะแนนสอบเลื่อนชั้น” บรรดารุ่นพี่ยิ้มพราย

“นายว่าใคร” ฟอนสะกิดไหล่เพื่อนใหม่ยิกๆ

“คนแรกคือเจ้าชายของนายแน่ๆ” เอลตอบกลับอย่างนึกสนุก ร่างสูงของเจ้าชายลำดับที่สามแห่งเซสยืนนิ่งห่างออกไปไม่มาก

“อีกคนคือนาย” คนจากเซสเดา

“จะบ้าเรอะ” ฝ่ายถูกทำนายขมวดคิ้ว

“อย่ามาทำตัวธรรมดาเลยเอล นายมันไม่ธรรมดาแน่ๆ” ฟอนยิ้มกว้าง “อีกอย่าง ฉันอยากรู้ว่าอยู่กับเจ้าชายมันเป็นไง ถ้าเป็นนายก็สัมภาษณ์ง่ายหน่อย”

“ขอให้โดนเองเหอะ” เอลกัดฟันขู่แต่อีกคนกลับลอยหน้าลอยตาจนน่าเตะ


“ผู้โชคดีของปีนี้...” รุ่นพี่หยุดไปเล็กน้อยก่อนจะประกาศลั่น


“เรนาร์ด ฟรานเชส เลอองธัวร์ กับ ฟอน มาคัส แวนโดแวนน์”


เอลแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่เมื่อไอ้คนข้างๆ เข้าใกล้คำว่าช็อคตาตั้ง ฟอนมีสภาพเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างทันทีที่คำชี้ชะตาผ่าลงมากลางหัว


“ไว้จะไปสัมภาษณ์นะ ว่าอยู่กับเจ้าชายแห่งเซสเป็นยังไง”


เอลตบบ่าเพื่อนใหม่อย่างสะใจ ก่อนจะเหลือบไปมองอีกคนที่ถูกประกาศชื่อที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่นิดเดียว ชื่อของแต่ละคนหลุดออกจากปากรุ่นพี่ไปทีละสองชื่อจนหมด ก่อนจะที่คนประกาศจะหันมามองเด็กหนุ่มหัวทองอย่างลำบากใจ


“สำหรับนาย เอล ไอเม่ แอสเซียร์ ใช่ไหม” เขาพยักหน้ารับ “รอก่อนนะ เพราะชื่อนายมันหายไปเลยยังไม่มีห้องให้อยู่”

“เกิดอะไรขึ้นหรือนีชา” เสียงทุ้มนุ่นนวลดังขึ้น พร้อมกับชายหนุ่มที่มีเรือนผมสีทองงดงาม ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันที


“เจ้าชายเธโอฟีลแห่งอีสเทรีย” ฟอนกระซิบ “หัวหน้าป้อมศาสตราคนปัจจุบัน”


เอลพยักหน้า เขาเคยเห็นเจ้าชายรัชทายาทแห่งอีสเทรียอยู่บ้างสมัยที่ยังไม่ได้มาเข้าเรียนที่ฟารันเดล รอยยิ้มอ่อนโยนกับดวงหน้างดงามคือความฝันสูงสุดของหญิงสาวชาวอีสเทรียทุกคน


“มีน้องรายชื่อหายน่ะเธโอ แถมเป็นเศษอีก เลยไม่รู้จะเอาไง” นีชาหันไปบอก

“อ้อ” เจ้าชายคนงามเลิกคิ้ว “งั้นเอาแบบปีเราก็ได้”

“เอางั้นหรือ?...นายว่าไงก็ว่างั้นแล้วกัน” คนประกาศทำหน้าลำบากใจก่อนจะหันกลับมาหาเอล

“ป้อมเรามันคับแคบ ห้องหับอะไรมันก็ไม่ค่อยพอ นายไปอยู่แปะกับห้องอื่นแล้วกัน” นีชาชี้แจง “แต่ห้องปกติมันก็คับแคบเกินไป...”

“พี่หมายความว่า...” เอลเริ่มรู้สึกถึงลางร้าย

“พี่เชื่อว่าเพื่อนๆ ของน้องคงจะมีน้ำใจ” เธโอฟีลชิงตอบ “โดยเฉพาะห้องที่ใหญ่ที่สุด”


เอลรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมากลางกบาลพร้อมกับเสียงหัวเราะลั่นจากฟอน มาคัส แวนโดแวนน์


++++++


เอลลากกระเป๋าของตนเข้ามาในห้องพัก ขนาดของมันไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่ก็นับว่าสะดวกสบายทีเดียวสำหรับคนธรรมดาอย่างเขา หน้าต่างกว้างที่ต่อออกไปกับระเบียงทำให้ห้องดูสว่างและน่าอยู่ จะติดก็แค่ที่ทั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะหนังสือและเตียงมีแค่สองชิ้นทั้งหมด

เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่เตียงเสริมขนาดเล็กจะถูกเอามาแทรกไว้ตรงกลางระหว่างสองเตียงจนเหมือนเตียงทั้งหมดติดกัน เอลขยับมือเล็กน้อยกระเป๋าใบโตก็ลอยขึ้นมาวางบนเตียงก่อนจะสะดุ้งเมื่อเตียงข้างๆ ถูกลากออกไปจนชิดระเบียง


“เฮ้ๆ เรนาร์ด ทำแบบนั้นก็เปิดประตูระเบียงไม่ได้น่ะสิ” ฟอนท้วง

“ก็ดีกว่าพวกนายต้องเลื่อนเตียงไปชิดตู้แล้วเปิดตู้ไม่ได้” ประโยคแรกจากเจ้าชายแห่งเซสทำเอาอีกสองชีวิตต้องหุบปาก


“รังเกียจกันขนาดนั้นเลยหรือวะ” คนถูกย้อนบ่นงึมงำ

“ไหนว่าเข้าใกล้ก็เข่าอ่อนแล้วไง” เอลกระเซ้า

“ต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน มันต้องทำใจดีสู้เสือกันหน่อย”

“เสือคงไม่พอ...อย่างต่ำต้องมังกรมั้ง”


ฟอนทำหน้าเซ็งโลก ก่อนจะชวนเพื่อนใหม่ที่จัดของเสร็จแล้วออกไปสำรวจที่ห้องเรียน ส่วนเรนาร์ดนั้นหายตัวไปก่อนหน้าแล้ว

ทั้งสองเปลี่ยนชุดเป็นเครื่องแบบสีดำสนิทแล้วประดับตราของป้อมศาสตราที่เป็นสีแดงเข้มขลิบทองบนปกเสื้อ เอลมองตัวเองในกระจกอย่างพอใจ เขาซื้อชุดที่ใหญ่กว่าตัวเล็กน้อยเผื่อมีร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ส่วนฟอนเองก็ดูดีไม่น้อยเมื่ออยู่ในเครื่องแบบ

เอลกับฟอนเดินคุยเล่นไปตามทางเดินของปราสาทกลาง แล้วก็สำรวจเส้นทางสำหรับห้องเรียนไปด้วย


“ทำไมนายถึงมาเข้าฟารันเดล” คำถามที่โดนบ่ายเบี่ยงมาตลอดถูกถามขึ้นอีกครั้ง

“เพราะเข้าได้น่ะสิ” เอลตอบสั้นๆ

“อะไรกัน อุตส่าห์ดั้งด้นจากอีสเทรียมาเรียนถึงนี่มันต้องมีแรงจูงใจกันบ้างดิ” ฟอนโวยวาย “นายอยากเข้าหอมนตรา อยากเป็นจอมเวทย์อะไรแบบนั้นหรือไง”

“เปล่า...ก็แค่พอใช้เวทได้บ้าง เลยอยากเรียนดู”

“ถ้าแค่นั้นเรียนที่อีสเทรียก็ได้” คำถามที่เคยถามถูกเอามาย้อนใส่

“ก็บอกแล้วว่าเพราะเข้าได้เลยมาเรียน”


ฟอนสะบัดหน้าหนีแล้วก็บ่นหงุงหงิงเรื่องชีวิตต้องสาปให้มาอยู่กับคนเย็นชาพร้อมกับถึงสองคน แต่เอลก็ไม่ได้หันไปสนใจมากนัก

เมื่อทั้งคู่เดินไปที่โรงอาหารเอลก็ค่อนข้างตื่นตาตื่นใจกับอาหารต่างๆ ที่ไม่เคยเห็น


“ไม่เคยออกจากอีสเทรียเลยสิ” ฟอนถามพร้อมกับแนะนำให้รู้จักกับของกินพื้นเมืองของแต่ละที่

“ไม่เลย นายเดินทางบ่อยหรือ”

“ก็พอควร บ้านฉันมันชีพจรลงเท้า อยู่กับที่นานๆ ไม่เป็นหรอก” คนตัวสูงยักไหล่ก่อนจะหันไปเจอสายตาสองคู่ที่มองตรงมาอยู่ก่อน

“เฮ้ นายสองคนอยู่ห้องแรกสินะ” เด็กหนุ่มร่างยักษ์ที่มีรอยแผลเป็นบนหน้าร้องทัก พร้อมกับคนผมเงินที่เดินตามมาพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร

“ใช่...ขอร้องล่ะ แลกห้องกับฉันที” ฟอนตอบด้วยเสียงเหนื่อยหน่าย

“อะไรกัน นั่นมันมีแต่คนอยากอยู่นะว้อย” คนมาใหม่หัวเราะแล้วตบไหล่อันห่อเหี่ยวของฟอน “จาไฮน์ นอธ”

“ฟอน แวนโดแวนน์” ฟอนตอบแล้วก็ชี้มาทางเพื่อน “เอล แอสเซียร์”

“รู้แล้วล่ะ พวกนายมันคนดัง” จาไฮน์หัวเราะร่า

“ริอัล โดโนเรส” เด็กหนุ่มที่มีเส้นผมสีเงินแนะนำตัว

“โดโนเรส? นายมาจากไอซ์เบิร์ก?” เอลหันไปสบดวงตาสีฟ้าใส

“ใช่ แต่ฉันไม่รู้จักตระกูลแอสเซียร์นะ” ทายาทตระกูลจอมเวทย์แห่งทิศเหนือตอบกลับยิ้มๆ


ไปๆ มาๆ ทั้งหมดเลยพามานั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน ฟอนที่ตั้งตัวเป็นประธานสมาคมคนธรรมดาแห่งฟารันเดลเลยลากเอาจาไฮน์กับริอัลที่เอลไม่เห็นว่าจะธรรมดาตรงไหนมาร่วมด้วย

เอลฟังเรื่องราวของคนที่เดินทางไปทั่วอย่างฟอนกับจาไฮน์อย่างสนุกสนาน เขาเกิดและโตที่ทางเหนือของอีสเทรีย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกจากบ้านมาไกลขนาดนี้ เรื่องราวที่สองคนเล่าบ้างโม้บ้างจึงฟังดูน่าตื่นตาตื่นใจไปหมด

เสียงจ้อกแจ้กในห้องเงียบลงในชั่วอึดใจที่บานประตูกว้างเปิดออก กลุ่มคนที่ก้าวเข้ามาดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ชะงัด


“นั่นเพื่อนร่วมห้องพวกนาย” จาไฮน์ลอบชี้ไปทางร่างสูงสง่าของเจ้าชายแห่งเซส ดวงหน้าคมคายเรียบเฉยไม่แสดงอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว

“เหมือนมังกรดำสมกับเป็นเจ้าชายแห่งเซส” ริอัลวิจารณ์ด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย

“มังกรดำ...”



เอลพึมพำ มองคนที่มีเส้นผมและนัยน์ตาสีดำสนิท กับตราประจำราชวงศ์เลอองธัวร์อันเป็นมังกรเกล็ดสีนิลกาลและตาแดงดังทับทิม





TBC



talk สักนิด...แต่คิดว่าไม่น่าจะมีคนเปิดมาอ่าน นี่เป็นนิยายเก่าเก็บของเราเองค่ะ เขียนมาสามชาติไม่จบสักที วันนี้นึกครึ้มเอามาเขียนแก้เลยว่าจะหาที่ลงไว้หน่อย ใครเผลออ่านไปแล้วสามารถทวงได้นะคะ แต่ไม่รับปากเรื่องตอนต่อ 55555555 //โดนตบ

No comments:

Post a Comment