Saturday 8 August 2015

[fic]「秋天开的花朵」Blossom in Autumn 06 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

「秋天开的花朵」
Blossom in Autumn

Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)
Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
Rate : G
Timeline : หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event 16/8/58 ซึ่งตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายที่เราจะลงบลอคแล้วนะคะ***

ตอนนี้ปิดpre-orderแล้ว แต่ยังสามารถไปซื้อได้ในงานที่บู๊ธU02ค่ะ ใครไปงานแวะไปทักทายกันได้นะคะ


ลิงค์ตอนที่ 0 1 2 3 4 5



06


              แปลก...
ปลายนิ้วไล้ไปตามกำแพงอิฐที่มีภาพสลักนูนต่ำอย่างสนใจ ห้องสุสานหลังคาโค้งสูงทอดตัวยาวประหนึ่งทางเดินเชื่อม โดยรอบมีสมบัติฝังร่วมมากมายเรียงอย่างไม่เป็นระเบียบ สภาพของมันบ่งบอกว่าเขาไม่ใช่มนุษย์คนแรกที่เหยียบย่างเข้ามา ร่องรอยการต่อสู้ปรากฎอยู่ทั่วไป ทั้งปลอกกระสุนเก่า รอยเลือดและซากศพที่ถูกฉีกกระชากเน่าเปื่อยจนดูไม่ออก
ชายหนุ่มก้าวไปตามทางอย่างระวัง ในหัวคิดคะเนถึงยุคสมัยของสุสานแห่งนี้อย่างละเอียดก่อนจะพบถึงความผิดปกติหลายอย่าง...ราวกับเขากำลังหลงอยู่ในดินแดนที่ไร้ยุคสมัยและกาลเวลา
แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันให้ความสว่างได้ดี แต่เปลวไฟของมันทำให้เงารอบตัววูบไหวจนประสาทสัมผัสตึงเครียด มือชื้นเหงื่อเลื่อนกลับมาแตะที่ปืนพกข้างเอว ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระมัดระวังจนเกร็งไปทั้งร่าง เงาตะคุ่มเบื้องหน้าที่เข้ามาสู่เขตแสงทำให้เขาชักปืนขึ้นมาทันที ก่อนจะเห็นว่ามันคือร่างที่แน่นิ่ง
ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็วแล้วจึงนั่งยองลงสำรวจ สุนัขสีดำตัวนี้คงไม่รอดแน่แล้ว เขาจึงได้แต่ไว้อาลัยในใจพร้อมกับรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา
อะไรกันที่ทำให้หมาของราชาสุนัขพลาดท่า?
เขาเอื้อมมือเข้าไปจะสำรวจซากศพ แต่ทันใดนั้นร่างที่เคยคิดว่าหมดลมแล้วก็กลับขยับขึ้นมา คมเขี้ยวอ้างับลงที่ท่อนแขนดึงให้ชายหนุ่มเสียหลักล้ม ตะเกียงน้ำมันล้มคว่ำ แล้วเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังลั่นไปทั่วห้องสุสานดำมืด

เจ้าจะร้องหาอะไรซือเย๋!!!”

ไฟที่ดับไปแล้วถูกจุดขึ้นมาใหม่พร้อมกับใบหน้าของเจ้าบ้านห้าที่ยื่นเข้ามาใกล้ สีหน้าแสดงความหงุดหงิดชัดเจน มือสากตะปบเข้าที่ปากของคนที่ร้องโวยวายอย่างไม่ออมแรง พอเริ่มเรียบเรียงสติได้ก็เหลือแต่ตาตี่เล็กที่มองเขาตื่นๆ กับเนื้อตัวสั่นเทาดูไม่ได้
อู๋เหลาโก่วถอนหายใจก่อนจะดึงให้อีกฝ่ายเข้ามาในซอกที่ตนซ่อนตัวอยู่ในตอนแรก ภายในนั้นคือห้องขนาดไม่ใหญ่เหมือนเป็นห้องเก็บสมบัติแยกที่ตกแต่งอย่างดาษดื่นดูไม่มีอะไรสลักสำคัญ
เจ้าบ้านสกุลอู๋กำลังเผชิญกับความไม่พอใจอย่างมากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะนึกออกในขณะนี้

ย้อนกลับไปเมื่อตอนเย็นหลังจากที่พ่อพระใหญ่จางได้ออกปากแล้วว่าจะไม่มีการคว่ำกรวย เขาก็เริ่มคิดแผนของตนขึ้นเองทันที ชายหนุ่มได้มีโอกาสสำรวจพื้นที่โดยรอบมาก่อนตั้งแต่แรก เมื่อประกอบกับข้อมูลที่เขาได้จากการอ่านฮวงจุ้ยแล้ว อู๋เหลาโก่วก็ตัดสินใจขุดอุโมงค์โจรโดยไม่ลงเสียมลั่วหยางที่จะทำให้เกิดเสียงดัง
พลั่วลมกรดถูกนำมาใช้อย่างเงียบเชียบ ผ่านไปเกือบครึ่งคืนเขาก็ได้อุโมงค์โจรที่ลึกลงถึงห้องสุสานซึ่งคาดว่าเป็นทางเชื่อมถึงตำหนักส่วนหลัง...แต่ด้วยความกดดันและตื่นกลัวทำให้ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่ามีใครอีกคนคอยลอบสังเกตพฤติกรรมของเขาอยู่
หลี่ซือเย๋ลอบตามลงมาในสุสานแห่งนี้
สำหรับนักขุดสุสานอย่างเขาเมื่อเห็นหน่วยก้านอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่ประนามอยู่ในใจว่ามันคือการฆ่าตัวตายชัดๆ และนอกจากจะฆ่าตัวตายแล้วยังอาจจะลากเขาไปตายด้วยก็เป็นได้
สุสานโบราณทั่วไปหากมีการสร้างห้องสุสานอยู่บนเขาอย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นสุสานที่มีกลไก เพราะงานระดับนั้นต้องอาศัยนายช่างฝีมือที่มีความรู้ และในยุคโบราณคนเหล่านี้ก็มักจะรับใช้ฮ่องเต้พระองค์เดียว
แต่อู๋เหลาโก่วกลับค้นพบกลไกมากมายในสุสานแห่งนี้ รวมถึงห้องที่เขาลากอีกฝ่ายเข้ามาหลบก็เช่นกัน
ระบบป้องกันในสุสานโบราณมีอยู่ไม่กี่ขั้น ข้อแรกหาไม่เจอ ข้อสองเปิดไม่ออก ข้อสามเอาไปไม่ได้ แต่สำหรับสุสานนี้เขายังไม่รู้ว่าจะจัดอยู่ในข้อไหน กลไกของที่นี่ไม่ได้มีไว้ทำร้ายผู้เข้ามา จะว่ามีไว้หลอกล่อให้หลงก็ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น...ราวกับเจ้าของสุสานมีความมั่นใจอย่างมากว่าจะไม่มีใครเอาอะไรออกไปได้

อยากตายหรือไง?!” เขาตะคอกด้วยเสียงที่หรี่ลง แต่อีกฝ่ายยังคงปากคอสั่นเกินกว่าจะตอบอะไรได้

ชายหนุ่มสบถหยาบคายอีกหลายคำ ก่อนที่หมาจิ๋วในแขนเสื้อจะโผล่หน้าออกมาเห่าเบาๆ อู๋เหลาโก่วจึงเงียบเสียงพร้อมกับดับตะเกียงลงทันที ในความมืดมิดนั้นเจ้าสุนัขดำก้าวเข้าไปนอนหมอบตรงทางเชื่อมเหมือนเตรียมพร้อม...แล้วเสียงประหลาดก็ดังขึ้น
หลี่ซือเย๋ไม่รู้ว่าจะบรรยายสิ่งที่ตนได้ยินว่าอย่างไร เสียงครืด ครืด ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ โดยจินตนาการที่มาไม่ออก อู๋เหลาโก่วเอื้อมมือมาปิดปากปิดจมูกเขาอีกครั้งโดยส่งสัญญาณให้กลั้นลมหายใจเอาไว้
เวลานั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้าและกดดัน ชายร่างผอมรู้สึกเหมือนตัวเองจะหมดลมซ้ำแล้วซ้ำอีกกว่าที่เสียงประหลาดนั้นจะค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ จนทุกอย่างเงียบสนิทในที่สุด
ผ่านไปจนแน่ใจ คนที่มีประสบการณ์มากกว่าก็คลายมือออกแล้วจุดไฟขึ้นอีกครั้ง

...เมื่อกี้คือตัวอะไร เขาถามทันทีที่หาเสียงตัวเองเจอ
ถ้าให้เดาอย่างเลวร้ายที่สุดก็คือศพโลหิตที่เจ้าอยากเจอนักหนา ได้ยินดังนั้นหน้าตาที่เหมือนหมาจิ้งจอกของซือเย๋อ่อนหัดก็ยิ่งซีดเผือดลงไปอีก สร้างความเหนื่อยใจให้คนมองอย่างยิ่ง

เจ้าบ้านสกุลอู๋คำนวณสถานการณ์อย่างใจเย็น จากการคาดเดาของเขา สิ่งนั้นน่าจะเป็นศพโลหิตจริง จากร่องรอยการต่อสู้ที่ตกค้างอยู่นั้น บ่งบอกว่าเจ้าตัวนั้นเพียงตัวเดียวได้คร่าชีวิตคนไปจำนวนมากจนถึงกับต้องหนีตายและระเบิดทางสุสานปิดเอาไว้
ลำพังเขาเองให้เอาตัวรอดอย่างเดียวก็คงพอไหว...แต่เมื่อมีตัวถ่วงที่เอาแต่แข้งขาสั่นแบบนี้ติดสอยห้อยตามมาด้วย อย่างไรก็ต้องรีบถอยให้เร็วที่สุด

เดินไหวไหม

หลี่ซือเย๋พยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับค่อยๆ เกาะกำแพงอิฐดันตัวเองขึ้นอย่างยากลำบาก เห็นคนที่เคยมีมาดดีเป็นได้ถึงขนาดนี้ เขาเองก็ด่าอะไรเพิ่มไม่ออกได้แต่ถอนหายใจระงับอารมณ์ไปพลาง

ยืนไหวแล้วก็อย่าไปแตะต้องอะไรมาก สุสานนี้มีกลไก--”

ไม่ทันขาดคำก้อนอิฐตรงมือที่ชายร่างผอมเท้าอยู่ก็เลื่อนเข้าไป เกิดเสียงกลไกลั่นจนฝาผนังห้องอีกด้านเปิดออก
อู๋เหลาโก่วอ้าปากจะตะโกนด่าไปอีกรอบแต่เสียงที่เขากำลังกลัวก็กลับดังขึ้นอีกครั้ง และในชั่วพริบตาใบหน้าประหลาดขนาดใหญ่ก็ปรากฎขึ้นในเขตแสงไฟ เบ้าลึกโหลที่ไร้ลูกตาจ้องมองตรงมาอย่างอาฆาตแค้น
เสียงกรีดร้องลั่นของหลี่ซือเย๋ดังก้องไปทั่วพร้อมกับเสียงสาดกระสุนของคนที่มีสติกว่า กระสุนปืนทำได้แค่ให้ร่างนั้นชะงักการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย เขาจึงคว้าแขนอีกคนแล้วลากให้วิ่งออกมาตามทางที่กลไกใหม่เปิดออก

ถังเซิง!!” อู๋เหลาโก่วตะโกนเรียกแล้วเจ้าสุนัขดำก็กระโจนออกไปวิ่งนำทางอย่างรู้งาน ตะเกียงน้ำมันถูกทิ้งอยู่ในห้องนั้น ตอนนี้ทั้งคู่จึงกำลังวิ่งอยู่ในความมืดโดยที่มีศพโลหิตวิ่งไล่ตามมาในระยะประชิด

ช่างเป็นสถานการณ์ที่ดีจนอยากจะบีบคอไอ้คนข้างๆ ให้ตายเหลือเกิน!

ม...ไม่ไหว... วิ่งไปได้ไม่เท่าไร คนที่ไม่เคยใช้กำลังก็เริ่มประท้วง
งั้นก็นอนตายให้มันควักลูกตากินไปซะ!!” พูดพลางหันปืนไปสาดกระสุนใส่ พอว่าจบคนที่บอกว่าหมดแรงก็ดูจะวิ่งเร็วขึ้นอีก

กระสุนค่อยๆ พร่องลงเรื่อยๆ พร้อมกับระยะห่างที่ดูจะไม่ทิ้งช่วงไปเลย ในตอนที่อู๋เหลาโก่วเริ่มคิดถึงการใช้ระเบิด เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้น

เหลาอู่!!!”

ไวเท่าความคิด...ชายหนุ่มบิดเอวพลิกตัวผลักเอาคนอ่อนประสบการณ์ให้ล้มไปทางเสียงเรียกก่อนจะดันตัวเองเข้าไปตาม แล้วเสียงกลไกทำงานก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงครืดๆ น่ารังเกียจถูกกั้นให้ห่างออกไปจนเงียบลงเหลือแต่เสียงหอบหายใจเฮือกของคนที่วิ่งหนีจนหมดรูป
ตะบันไฟถูกจุดขึ้นในความมืด เผยให้เสี้ยวหน้าเคร่งขรึมที่เต็มไปด้วยความโกรธ

อยากตายหรือไง!?”  เสียงเข้มกดต่ำเป็นคำถามที่เขาเพิ่งพูดออกไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านายทหารใหญ่กำลังอยู่ในจุดที่อารมณ์พุ่งถึงขีดสุด
...ข้าไม่อยาก แต่ท่านควรถามคนของท่าน

เขาเอียงคอใส่คนที่ดูไม่เข้ากับสถานที่มากที่สุด...หลี่ซือเย๋ในขณะนี้ดูไม่ได้สักนิด ใบหน้าซีดเผือด ผมเผ้ายุ่งเหยิง อึฉี่ราดเต็มกางเกง อู๋เหลาโก่วมองแล้วก็ได้แต่สมน้ำหน้ากึ่งเห็นใจ
ก็เคยได้ยินมาบ้างว่าพวกซือเย๋หรือหน้าด่านบางคนพอมีความรู้อะไรเข้าหน่อยก็จะเริ่มอยากหาประสบการณ์ลงดินด้วยตัวเองสักครั้ง แต่สำหรับคนที่อยู่กับตำรามาทั้งชีวิตก็ย่อมเป็นการหาเรื่องใส่ตัวเห็นๆ แถมหาเรื่องครั้งแรกก็ดันเป็นศพโลหิต ไม่ใช่ขนขาวขนดำแบบที่ชาวบ้านเขาเจอกันอีก...ถึงรอดคราวนี้ไปได้เห็นทีซือเย๋คนเก่งก็คงจะจับไข้หัวโกร๋นไปอีกนาน

ข้าบอกแล้วว่าจะไม่มีการคว่ำกรวย พ่อพระใหญ่จางยังคงว่าต่อไป นั่นทำให้ชายหนุ่มนึกอยากเถียงขึ้นทันที
จุดเทียนเป็นธรรมเนียมสำนักเหนือ คนสำนักใต้อย่างข้าไม่ถือสาอะไร ข้าลงดินได้...ตัวท่านต่างหากที่ไม่ควรลงมา

ว่าจบนายทหารใหญ่ก็สบถหยาบคายในระดับที่ชาวบ้านอย่างเขายังสะดุ้ง

เจ้าคิดว่าข้าอยากลงมาหาเรื่องตายหรือไง ถ้าไม่ใช่เพราะรับปากเซี่ยจิ่วไว้

คราวนี้คนฟังถึงกับนิ่งไป จางฉี่ซานจึงพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด...อู๋เหลาโก่วเป็นคนหนุ่มฝีมือดี แม้จะยังอายุน้อยในวงการแต่ก็มีชื่อเสียงมาก ก็ไม่แปลกนักที่จะมีความมั่นใจในตัวเองสูง ประกอบกับการทำงานของสกุลอู๋ก็มักจะลงดินตัวคนดียวอยู่แล้ว เจ้าตัวคงไม่เห็นว่าเป็นปัญหา
...แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะรับฟัง

หมาดื้อ!”

คนถูกดุอ้าปากจะเถียง แต่ก็ไม่รู้จะพูดว่าอะไรอีก

เจ้าควรฟังข้า ศพโลหิตถูกปลุกขึ้นมาแล้วจะทำอะไรตอนนี้ก็ไม่คุ้มทั้งนั้น
...เรื่องติดค้างที่ต้องทำ แม้จะได้ไม่คุ้มเสียก็ตาม อู๋เหลาโก่วเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายในความมืด ข้าถอยไม่ได้ ท่านไม่เข้าใจ เหตุผลไร้สาระของท่านข้าย่อมยอมรับไม่ได้เพราะมันคือคำโกหก
เพราะรู้แบบนี้ข้าถึงไม่บอกเจ้าว่าที่นี่มีศพโลหิตเดินเพ่นพ่านอยู่จริง จางฉี่ซานตอบกลับไปไม่หลบสายตา แต่เจ้าเองก็โกหก เจ้ารู้อยู่แล้วว่ากรวยนี้มีคนลงมาก่อนแต่ก็ไม่บอกข้า ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันผิดธรรมเนียมสำนักเหนือ

คำพูดนั้นทำให้คนอายุน้อยเป็นฝ่ายต้องเงียบลงในที่สุด
เจ้าบ้านสกุลห้ารู้ดี...ในวงการอาชีพนี้ไม่เคยมีมิตรแท้ ไม่เคยมีศัตรูถาวร ทุกอย่างอยู่บนการเอาตัวรอดและผลประโยชน์โดยการฉาบหน้าว่าเกื้อกูลกัน ทุกสิ่งที่โยงใยกันไว้ย่อมมีเหตุผล...ในยุคที่แม้แต่วันพรุ่งนี้ยังมืดมนจะถามหาความดีงามบนโลกได้จากที่ไหนกัน
อู๋เหลาโก่วเลือกที่จะเชื่อใจสุนัขมากกว่าคน...แต่ทุกครั้งที่ได้รับคำโกหกก็อดที่จะสะเทือนใจไม่ได้
และสุดท้ายเมื่อเป็นตัวเขาเองที่ทำเช่นนั้น ความรู้สึกหน่วงในอกจึงไม่เคยเบาบางลงเสียที



จางฉี่ซานไม่อาจอธิบายได้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร...ส่วนหนึ่งเขาไม่พอใจอีกฝ่ายมากจนอยากจะสั่งลงโทษให้สมกับความดื้อด้าน แต่ติดที่อู๋เหลาโก่วไม่ใช่คนของเขา และอีกส่วนหนึ่งเขากำลังไม่พอใจในตัวเอง...การลงมาในกรวยที่มีศพโลหิตซึ่งตื่นอยู่เป็นเรื่องสิ้นคิดมากแค่ไหนตัวเขาเองก็รู้ดี
ทว่า...เมื่อจับได้ถึงความผิดปกติในขบวน สิ่งที่เขาทำคือการสั่งการลูกน้องเอาไว้แล้วรีบตามลงมาทันที

หนึ่ง คือหลี่ซือเย๋เป็นคนของสกุลหลี่...แม้จะเป็นเพียงสายเลือดรอง แต่ก็ต้องเห็นแก่หน้าของป้านเจี๋ยหลี่
สอง คือเขาได้รับปากกับคุณชายบ้านเก้าไว้แล้วว่าจะเป็นธุระดูแลสหายให้ แม้ว่าจะไม่จำเป็นเลยก็ตาม

แต่เหตุผลทั้งหมดล้วนไม่เข้าท่า...จางฉี่ซานไม่มีความจำเป็นต้องช่วยเหลือใครก็ตามที่หาเรื่องใส่ตัว
พอคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไรก็ไม่เข้าใจตัวเอง ความหงุดหงิดก็ยิ่งพุ่งสูง...ยิ่งเห็นว่ากลไกในสุสานเละเทะเสียระเบียบไปหมดก็ยิ่งอยากจะจับตัวมาลงโทษเสียให้เข็ด

ขอโทษ...ข้าไม่คิดว่าจะต้องลำบากให้ท่านลงมา คนอายุน้อยกว่ากล่าวออกมาในที่สุด

...เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดทั้งปวง...พอจางฉี่ซานได้ฟังคำกล่าวง่ายๆ กับสีหน้าหงอยๆ ของอีกฝ่าย เขาก็กลับโกรธไม่ลงจนไม่พอใจตัวเองแทบบ้า

นายทหารใหญ่ถอนหายใจเฮือก เขาจุดตะบันไฟอันถัดไป ก่อนจะเริ่มตรวจดูลูกกระสุนปืนที่เหลือ ทำให้คนที่มองอยู่เริ่มขยับเตรียมตัวบ้าง

ท่านจะเอาอย่างไรต่อ
...ถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องเอามันให้ล้ม ตอบพร้อมกับบรรจุกระสุนจนเต็ม กลไกในนี้เละเทะไปหมดแล้ว หากต้องวิ่งหนีไปหาทางออก คงไม่มีทางรอด
ท่านคิดจะจัดการศพโลหิตจริงหรือ อู๋เหลาโก่วถามย้ำ ร่องรอยการต่อสู้และซากศพทั้งหลายเป็นหลักฐานชั้นดีว่าไม่ควรไปลองดีอย่างยิ่ง แต่คนตอบกลับพยักหน้ารับ
สุสานนี่ถูกเปิดมาสักพักแล้ว พลังมืดรั่วไหลออกไปไม่น้อย ร่างของศพโลหิตก็คงเริ่มเน่าเปื่อยเช่นกัน พ่อพระใหญ่จางอธิบาย ยังไงก็เป็นตายเท่ากัน แค่เลือกระหว่างรออยู่ที่นี่ให้มันมาเจอ กับออกไปหามันเอง

ปืนพกM1911สัญชาติอเมริกาอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมบนมืออีกฝ่าย ปืนชนิดนี้ถือเป็นอาวุธสงครามที่นิยมกันแพร่หลาย พลังทำลายสูง แต่มีข้อเสียตรงบรรจุกระสุนได้น้อย คนที่พกปืนแบบนี้ลงมาคว่ำกรวยต้องมั่นใจในฝีมือตัวเองไม่น้อยว่าจะไม่ทำกระสุนที่มีค่าเสียไป

ปืนของเจ้าจะไม่ขัดลำกล้องใช่ไหม จางฉี่ซานเหลือบตามองปืนกลเก่าๆ ของอีกฝ่าย
...ข้าดูแลมันอย่างดี ไม่ต้องห่วง

นายทหารมองคนที่จับปืนในมือแน่นก็พยักหน้ารับ หันไปตรวจปืนให้กับหลี่ซือเย๋ที่ได้แต่นั่งตัวสั่นอยู่ตรงมุมห้อง คนตัวผอมเกร็งพยักหน้ารับทุกคำสั่งที่บอกให้อยู่นิ่งๆ ถ้าไม่จวนตัวแล้วห้ามขึ้นนก ห้ามลั่นไก พอว่าจบก็ดึงแขนให้ลุกขึ้นยืนเองแล้วค่อยหันมาหาอู๋เหลาโก่วที่รอจังหวะอยู่แล้ว

พร้อม?”
พร้อมตั้งแต่รู้ว่าจะมีท่านล่มหัวจมท้ายด้วยแล้ว ชายหนุ่มว่าพร้อมกับวาดรอยยิ้มเฉพาะตัวขึ้นอีกครั้ง

พ่อพระใหญ่จางถึงกับหลุดขำพรืดออกมาครึ่งคำ...อู๋เหลาโก่วก็คืออู๋เหลาโก่ว คนที่ยังคงมีอารมณ์พูดหยอกแม้แต่ในสถานการณ์ที่กำลังเดิมพันด้วยชีวิต
...ไม่ได้รู้เอาเสียเลยว่าทำให้คนอื่นโกรธเคืองไว้ขนาดไหน...แต่ก็เอาเถอะ

นายทหารใหญ่ส่งสัญญาณมือให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะแตะประตูกลไกให้เปิดออก


ไปจัดการศพโลหิตนั่นแล้วกลับบ้านกัน


TBC...in DMBJ only event 16/8/58

Sunday 2 August 2015

[fic]「秋天开的花朵」Blossom in Autumn 05 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

「秋天开的花朵」
Blossom in Autumn

Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)
Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
Rate : G
Timeline : หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event 16/8/58 จะลงสัปดาห์ละตอนไปเรื่อยๆ จนถึงวันงานนะคะ***

ตอนนี้ปิดpre-orderแล้วนะคะ แต่ยังสามารถไปซื้อได้ที่หนา้งานค่ะ


ลิงค์ตอนที่ 0 1 2 3 4




05


ครั้งนี้อู๋เหลาโก่วเดินทางติดตามไปในฐานะลามะ เขาไม่อยากถามอะไรให้มากความแต่ก็ลอบสังเกตสิ่งต่างๆ อยู่เงียบๆ คณะของพ่อพระใหญ่เดินทางย้อนรอยทางทัพเดิมของคนโบราณ ทางเดินภูเขาพวกนี้ไม่มีคนใช้มานานหลายสิบปี มันผุพังไปมากซ้ำยังซับซ้อนไม่รู้จุดหมาย
หลังจากเดินเท้าติดต่อกันมาร่วมสัปดาห์ คณะเดินทางก็มาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง เนินดินด้านล่างเป็นสีแดงโดดเด่นอยู่ท่ามกลางป่าเขียวชอุ่ม
พวกเขาไต่ลงไปตามเนินแล้วตั้งค่ายอยู่ตรงแนวพุ่มไม้ด้านข้าง เมื่อถึงที่หมายทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเร่งรีบ เขาที่อยู่ในฐานะแขกพิเศษก็ไม่เชิง คนทำงานก็ไม่เชิงจึงไม่รู้จะลงมือทำอะไรดี
อู๋เหลาโก่วถือเป็นคนหนุ่มอายุน้อยเมื่อเทียบกับนักขุดทั่วไป ในคณะคว่ำกรวยนี้นอกจากหลี่ซือเย๋และทหารเด็กๆ ไม่กี่คนนอกนั้นก็ล้วนแต่อายุมากกว่าเขาทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่สะดวกใจนักกับการที่คนอายุมากกว่าจะมาพูดนอบน้อมด้วย ทำให้ไม่ค่อยได้ผูกมิตรกับใครเท่าไร
เสียงเห่าเบาๆ เรียกให้อู๋เหลาโก่วดึงหมาจิ๋วออกมาจากแขนเสื้อ จมูกเล็กๆ ของมันขยับไปมาก่อนจะกระโดดลงจากมือเจ้าของแล้ววิ่งซุกซนเข้าไปในพงหญ้า ชายหนุ่มจึงเดินทอดน่องไปพร้อมกับเจ้าหมาดำแทน
ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งยองๆ เขากำดินแห้งๆ ขึ้นมาจรดที่จมูก ...ยังคงไม่ได้กลิ่นอะไรทั้งนั้น

“ถังเซิง เจ้าว่าที่นี่เป็นอย่างไร”

หูทั้งสองกระดิกราวกับเข้าใจก่อนจะใช้อุ้งเท้าเขี่ยดินแดงไปมาแล้วถอยออกห่าง กิริยาของมันทำให้เขาหัวเราะเบาๆ  โยนดินแดงในมือใส่จนเพื่อนตัวดำขู่แฟ่กลับมา
เมื่อแรกเห็นสถานที่แห่งนี้ความทรงจำของชายหนุ่มก็ทับซ้อนขึ้นมาเป็นภาพของเนินเปียวจื๋อหลิ่งในอดีต ก่อนจะสลัดภาพความฟุ้งซ่านนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว บนภูเขาแถบฉางซามีภูมิประเทศแบบนี้อยู่หลายแห่งจนกลายเป็นต้นกำเนิดของตำนานศพโลหิตเฝ้าทอง
กระนั้นแล้ว...ความรู้สึกของเขาที่มีต่อดินสีแดงก็เห็นจะมีแต่ความปั่นป่วนชวนคลื่นเหียนทั้งสิ้น

“ดินแดงตรงนี้จะมีศพโลหิตอยู่จริงไหม”

ชายหนุ่มเงยหน้ามองปลายรองเท้าที่มาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ หลี่ซือเย๋ชะโงกหน้ามาถามเขาที่นั่งอยู่กับพื้นอย่างสนใจ

“...ถ้าข้ามาคนเดียวคงต้องตอกเสียมลั่วหยางลงไปดู” ศิษย์สำนักใต้ยืดตัวลุกขึ้นทันทีแล้วย้อนกลับไป แต่พวกท่านคงมีคำตอบในใจอยู่แล้ว...ว่าไง ใต้นี้จะมีศพโลหิตอยู่จริงไหม?

ใบหน้าแหลมเปิดรอยยิ้มไม่บอกความหมาย ส่วนเจ้าของคำถามก็รู้คำตอบดีจนคร้านจะว่าอะไร
แม้ศพโลหิตตรงนี้จะไม่ใช่ของจริง แต่สุสานโบราณที่พ่อพระใหญ่จางทุ่มทุนนำกำลังคนขึ้นมาถึงบนนี้ย่อมมีอะไรบางอย่าง ทั้งจำนวนคน อาวุธ ตัวบุคคลอย่างพ่อพระเอง หลี่ซือเย๋และตัวเขา ทุกอย่างชี้นำไปถึงเบื้องลึกเบื้องหลังที่ผู้คีบลามะไม่ได้ตั้งใจปิดบัง
ราวกับรู้ว่าแม้เขาจะได้กลิ่นของความไม่ชอบมาพากลเพียงไรก็จะไม่ถอนตัว
ซึ่งถูกต้องแล้ว...เขาจะไม่ถอนตัวอย่างเด็ดขาด

พ่อพระใหญ่จางเรียกซือเย๋ของคณะไปหารืออะไรบางอย่าง อู๋เหลาโก่วจึงถือจังหวะนี้เดินสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างไม่อยากไปยุ่งยากกับธรรมเนียมมากมายของสำนักเหนือ
ไม่นานนักหมาตัวจิ๋วที่หายไปนานก็มุดพงหญ้ากลับมาในที่สุด ชายหนุ่มเกือบจะออกปากดุมันก่อนจะสังเกตเห็นวัตถุบางอย่างที่สะท้อนแสงอยู่ในปาก จึงรีบรับซันชุ่นติงกลับเข้ามาในแขนเสื้อ แล้วถือโอกาสที่ทุกคนกำลังสาละวนอยู่กับหน้าที่ของตัวเองหยิบของนั้นมาดูให้มั่นใจ
สัมผัสเย็นเยียบของปลอกกระสุนที่มีรอยเลือดเกรอะกรังทำให้หัวคิ้วของชายหนุ่มขยับเข้าหากันทันที


แม้จะเป็นยามกลางวัน แต่อากาศในหุบเขายังเย็นเยียบกว่าตัวเมืองในที่ราบอยู่มาก อู๋เหลาโก่วที่เอาแต่เดินไปเดินมาเพื่อคลายหนาวจึงดีใจอย่างมากที่ถูกเรียกตัวมาใช้งานในที่สุด
วิธีขุดสุสานของสำนักเหนือใต้มีความแตกต่างในหลักใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และแต่ละตระกูลก็ยังมีวิชาก้นหีบเป็นของตัวเองอีก สกุลอู๋มีชื่อเสียงมาจากการดมกลิ่นดูหน้าดิน แม้จะเป็นดินแดงๆ เหมือนกัน แต่องค์ประกอบของมันให้ข้อมูลได้มากกว่าที่คิด ในปัจจุบันคนที่รู้วิชานี้ก็เห็นจะเหลือแต่ตัวเขาคนเดียว ซ้ำเขาเองยังมีวิชาแบบกระท่อนกระแท่นเพราะอาศัยครูพักลักจำเอาจากที่พ่อและปู่สอนพี่รอง
จางฉี่ซานคลี่ม้วนแผนที่ซึ่งวาดจากพู่กันออกตรงหน้า ก่อนจะชี้จุดฮวงจุ้ยอธิบายสิ่งที่ตนคิดออกมาจากการอ่านวิเคราะห์ตามหลักการ ปลายนิ้วลากผ่านจุดต่างๆ ย้อนรอยบรรดานายช่างในอดีตจำลองผังห้องสุสานขึ้น
นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นการขุดสุสานแบบ ผู้ดี ที่ญาติผู้ใหญ่เคยว่าถึง

...แล้วเจ้าเห็นว่าอย่างไร
ถ้าท่านถามข้าแบบนี้ ข้าก็ตอบได้ดังที่ว่าไป หลังจากที่ถกเถียงกันอยู่นานชายหนุ่มก็ผิวปากเรียกสุนัขสีดำกลับมา สำนักใต้อย่างไรก็ต้องลงเสียมลั่วหยาง หากท่านยืนกรานจะใช้วิธี เจิมถ้ำล่ามังกร ของท่าน ข้าก็คงช่วยออกความเห็นได้เพียงเท่านี้

นายทหารใหญ่พยักหน้ารับก่อนจะหันไปปรึกษาบางอย่างกับซือเย๋อายุน้อยที่มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน
สุสานแห่งนี้มีปัญหา...บางทีทางจางฉี่ซานอาจจะรู้ข้อนี้อยู่แล้วจึงต้องดึงตัวเขามาร่วมงานนี้ด้วย วิชาฮวงจุ้ยของพ่อพระใหญ่ลึกล้ำ แต่กระนั้นก็ยังมีจุดที่ตีความไม่ออก เมื่อได้ข้อมูลเพิ่มเติมไปจึงกลับไปสุมหัวกันอย่างคนมีความรู้ต่อ
อู๋เหลาโก่วเห็นดังนั้นก็โคลงศีรษะแล้วถอยฉากออกมา...คงจะเป็นข้อดีอีกครั้งของเซี่ยจิ่วผู้ทำให้เขารู้สึกฉลาดน้อยจนชินชา ทำให้ปล่อยวางกับระดับมันสมองได้แบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรนัก

เมื่อเวลาล่วงเลยไปมาก เหล่าทหารผู้ติดตามจึงจัดอาหารกลางวันเตรียมไว้ แต่ก็เกือบเย็นย่ำแล้วกว่าที่ผู้นำคณะจะได้ข้อสรุปแล้วยอมวางงานในมือ บรรยากาศขณะนั้นดูตื่นตัวกว่าปกติ จนแม้แต่คนนอกอย่างอู๋เหลาโก่วยังสัมผัสได้ว่าจากนี้คงจะเป็นการเริ่มลงมือของจริง
แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของเขาได้มากกว่าการคว่ำกรวยคือจางฉี่ซานผู้แยกออกมานั่งห่างจากผู้อื่นชัดเจนผิดวิสัย ดูจากกระแสอากาศรอบตัวนั้น ชายหนุ่มก็คาดเดาเอาเองว่าอีกฝ่ายกำลังใช้ความคิดจึงไม่มีลูกน้องคนไหนกล้าเข้าไปกวนใจ
...แต่อู๋เหลาโก่วใช่ลูกน้องของจางฉี่ซานเสียเมื่อไร

ยังคิดเรื่องเจิ่มถ้ำล่ามังกรไม่จบอีกหรือ เขาวาดรอยยิ้มแล้วนั่งลงด้านข้างก่อนจะเอ่ยคำกระเซ้าไป หากคิดไม่ตกเสียที ท่านก็น่าจะลองเปลี่ยนมาใช้วิธีสำนักใต้ ลงเสียมลั่วหยางดูบ้าง
...จริงสินะ เซี่ยจิ่วบอกว่าเจ้าเคยขุดสุสานศพโลหิต คำตอบกลับของอีกฝ่ายกับสีหน้าที่อ่านไม่ออกทำให้คนอารมณ์ดีถึงกับนิ่งไป
จะว่าตัวข้าก็ไม่ถูกนัก...ในตอนนั้นคนที่ขุดลงไปคือ ปู่ พ่อ และพี่รอง อู๋เหลาโก่วตอบไปตามตรง ก่อนจะหลับตานึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น ข้ายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่พวกเขาเจอคือศพโลหิตจริงหรือไม่
หากสกุลอู๋พลาดท่าก็คงไม่ใช่ผีดิบธรรมดา

อู๋ตากุ้ยผู้เป็นบิดานั้นจางฉี่ซานเคยได้รู้จักอยู่บ้าง สกุลอู๋เป็นนักขุดฝีมือดีแต่มักทำงานกันเองมากกว่าจะคีบลามะ ช่วงหลังที่ข่าวคราวของสกุลห้าเงียบหายไปเขาเองก็ได้ยิน แต่ด้วยเหตุการณ์ทางการทหารที่ผันผวนทำให้ไม่ได้ใส่ใจนัก เมื่อรู้อีกทีก็กลับกลายเป็นบุตรชายคนที่สามขึ้นมาเป็นเจ้าบ้านแทนเสียแล้ว

สิ่งที่มีปัญหาอาจไม่ใช่ศพโลหิต เพราะต่อให้สู้มันไม่ได้ก็ควรจะหาทางหนีทีไล่ได้...สุสานนั่นต่างหาก เขาว่าไปแล้วก็ชะงักก่อนจะถามกลับไปตามตรง "ท่านเคยเห็นศพโลหิตจริงๆ ไหม
เคยคนแก่ประสบการณ์ตอบ ได้ไม่คุ้มเสียสักนิด
แต่ท่านก็ยกพลขึ้นมาตามหาของที่ได้ไม่คุ้มเสีย?”
ของบางอย่างก็เทียบเป็นความคุ้มค่าไม่ได้ เจ้าบ้านสกุลห้าคล้ายกับจะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้านิ่ง เรื่องติดค้างที่ต้องทำ แม้จะได้ไม่คุ้มเสียก็ตาม...ดังนั้นหากจะลงกรวยนี้ เจ้าต้องยอมทำตามคำสั่งข้า
...เซี่ยจิ่วบอกอะไรอีกหรือไง ชายหนุ่มกัดฟันกรอด
ข้าเดา

นายทหารใหญ่ลุกขึ้นก่อนจะทิ้งรอยยิ้มที่หาความดีไม่ได้เอาไว้

ส่วนสาเหตุว่าทำไมจึงไม่ควรปักเสียมลั่วหยางลงไปมั่วซั่ว ก็เพราะมันจะทำให้ลูกคนที่สามกลายเป็นเจ้าบ้านเร็วขึ้น...โก่วอู่เย๋

พอแผ่นหลังกว้างห่างออกไปอู๋เหลาโก่วก็พ่นลมหายใจพรืดเอามือลูบหน้าที่เหมือนโดนตบ...จะว่าโกรธเคืองก็โกรธแต่อีกกึ่งหนึ่งก็รู้สึกพลาดมากที่สุด...ไม่เคยคิดว่าจะโดนเอาคืนเช่นนี้จริงๆ
ซันชุ่นติงในแขนเสื้อคลานออกมาแล้วใช้ดวงตาโตจ้องหน้าเจ้าของ

ไม่ต้องมองข้าแบบนั้นเลย...ปกติเห็นใจดีออกอย่างนั้น ใครจะไปรู้ว่าเป็นพวกสำนักข้าดีที่สุดในโลก บ่นแก้ตัวอุบอิบอีกหลายคำจนหมาน้อยเห่าสมน้ำหน้ากลับมา คนที่ลอบสังเกตการณ์มานานจึงถือวิสาสะเดินมานั่งแทนที่เจ้านาย
ก็คงจะมีแต่ท่านโก่วอู่เย๋ที่กล้าพูดจาแบบนี้กับพ่อพระใหญ่จาง
...ถ้าไม่ช่วยก็ไม่ต้องเหยียบข้าซ้ำ หลี่ซือเย๋ สวนกลับพร้อมเน้นหนักที่คำหลัง
ข้าแค่ว่าตามจริง ชายผอมแห้งหัวเราะชอบใจอย่างไม่ถือสา นอกจากท่านแล้วพ่อพระไม่เคยพูดจาแบบนี้กับใครหรอกนะ
พวกทหารในกองก็ดูสนิทสนมกับพ่อพระดีไม่ใช่หรือไง
ท่านยังไม่รู้จักสังคมทหาร ผู้ที่ไม่ได้เป็นทหารเช่นกันว่า ผู้บังคับบัญชาในสายตาของผู้น้อยคือเจ้าชีวิต ต่อให้พ่อพระสั่งไปกระโดดหน้าผาตอนนี้ พวกเขาก็จะทำตามอย่างไม่ขัดข้อง
...พูดเป็นเล่นไป
ในภาวะสงครามย่อมไม่มีใครถามหาเหตุผลของการกระทำ สิ่งที่พวกเขาศรัทธามีเพียงคำสั่งของนายเหนือหัว...ทหารทุกนายก้มหัวยอมเดินตามรอยเท้าของพ่อพระใหญ่แม้จะไม่เห็นเส้นทาง ก็เพราะเชื่อมั่นในตัวตนของท่านซือเย๋หนุ่มเอ่ยเสียงเรื่อย ก่อนจะสำทับประโยคสุดท้ายไว้ให้คนฟังคิดตาม พ่อพระใหญ่ไม่ใจดี เพราะท่าน ดี เกินกว่าจะเป็นแค่คำว่า ใจดี

คนที่ใช้ชีวิตอย่างไร้กฏเกณฑ์มาตลอดอย่างอู๋เหลาโก่วฟังแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะอย่างเข้าไม่ถึง เขาไม่เถียงอะไรอีกแต่ยังคงไม่เปลี่ยนความคิด เรื่องความยิ่งใหญ่ของจางฉี่ซานนั้นเขารู้ดี...ประชาชนในฉางซารวมถึงตัวเขาเองติดหนี้ให้คนคนนี้อย่างหาที่สิ้นสุดมิได้ ทว่านอกเหนือจากความรู้สึกนับถือเลื่อมใสนั้น ชายหนุ่มยังอยากสัมผัสได้ถึงด้านมุมอื่นอีก

เพราะแววตาที่เห็นในสายฝนวันนั้น...ก็คือผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งผู้ยืนหยัดอยู่อย่างเดียวดายในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ

++++++

หมายความว่ายังไง!?”
ก็หมายความตามนั้น วันพรุ่งนี้เราจะลงเขา

ใบหน้านิ่งบอกเขาราวกับประโยคนั้นไม่ได้มีความหมายอะไร ทั้งๆ ที่มันคือเรื่องยิ่งใหญ่อย่างที่ชายหนุ่มยอมรับไม่ได้

มีผีเป่าเทียน ไม่เหมาะที่จะขุดสุสาน ถ้ายังดื้อรั้นลงไปจะมีเหตุได้ ยามที่พูดแบบนี้ออกมา สีหน้าของนายทหารใหญ่ก็ยังไม่เปลี่ยนสักนิด
สำนักใต้ไม่มีธรรมเนียมนี้เราก็ยังขุดกันได้ อุตส่าห์ดั้นด้นขึ้นมาถึงบนนี้ ท่านจะหันหลังกลับลงไปง่ายๆ งั้นหรือ!?” อู๋เหลาโก่วกำลังร้อนใจ เขาไม่ได้เตรียมใจมารับเหตุการณ์นี้ ความรู้สึกของเขาก็เหมือนนักโทษประหารที่ถูกกำหนดวันตายแล้วแต่กลับถูกเลื่อนออกไป
ไม่ต้องห่วง ส่วนแบ่งของเจ้าที่ตกลงกันไว้ย่อมเป็นตามเดิมไม่มีบิดพริ้ว

ว่าจบก็ผละออกไปไม่ฟังคำทัดทานใดๆ ต่อ ทิ้งให้เจ้าบ้านสกุลออู๋กำหมัดแน่น
การคว่ำกรวยครั้งยิ่งใหญ่ถูกยกเลิกที่หน้าประตูด้วยเหตุผลง่ายๆ อย่างผีเป่าเทียน...ฟังอย่างไรก็ไม่ขึ้นสักนิด การที่จางฉี่ซานเลือกมาบอกกับเขาด้วยตัวเองนั้นแสดงเจตนาที่จะไม่ต่อรองชัดเจน และไม่คิดจะบอกเหตุผลที่แท้จริงกับเขา
การลงดินครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งสกุลอู๋ที่เนินเปียวจื๋อหลิ่ง ตอนนั้นปู่และพ่อเพียงได้เบาะแสมาแล้วเสี่ยงดวงขุดลงไปจึงเกิดเหตุไม่คาดฝัน แต่คณะของพ่อพระใหญ่จางมีข้อมูลที่พร้อมกว่า หรืออย่างน้อยที่สุดก็รู้ว่าตัวเองจะเจอกับอะไรข้างใต้ และมีการเตรียมการมาอย่างดี...สัมภาระเต็มบนหลังลาทั้งสองแสดงว่ามันมีไว้เพื่อขนของขึ้นมา ไม่ใช่ขนสมบัติกลับลงไป
อู๋เหลาโก่วกัดฟันแน่น ทั้งที่ทำถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ ...กลับคว่ำกระดานหน้าตาเฉย เช่นนี้แล้วจะให้ยอมรับได้อย่างไร?


ผิวดินแตกระแหงสะท้อนกับแสงยามอาทิตย์อัสดงจนได้สีแดงฉาน...สีแดงฉานที่ทำให้เขารู้สึกเยียบเย็นเหลือเกิน...



TBC...next week