Saturday 31 December 2016

[QZGS-OS] Happy new year 2017 (เชอหลาน :: เชอเฉียนจื่อ x หลานเหอ)

[QZGS-OS] Happy new year 2017 (เชอหลาน :: เชอเฉียนจื่อ x หลานเหอ)

**สคส.ให้ปอยิ้ม(@malangporyim)**


วันเทศกาลใดๆ สำหรับเกมเมอร์มันก็มีความสำคัญแค่อีเวนต์พิเศษที่มันจะเพิ่มแลกแจกแถมค่าประสบการณ์ไอเทมหายากหรือลิมิเต็ดอีดิชั่น...ไอ้เรื่องจะไปฉลองเฮฮานอกบ้านน่ะ ลืมๆ ไปเถอะ

เชอเฉียนจื่อเองก็เป็นหนึ่งในนั้น...และเขาเองก็ไม่แปลกใจที่หลานเหอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ชื่อของอีกฝ่ายขึ้นว่าออนไลน์มาตั้งแต่หัวค่ำจนจะเคาน์ดาวน์ก็ไม่มีท่าทีจะไปไหน แถมเดินทำเควสต์วนๆ ไปก็เจอกันแต่หน้าเดิมๆ อยู่ครบกันทั้งทีมไม่ว่าจะเป็นจงเฉ่าถัง หลานซีเก๋อ ป้าชี่สยงถู และอื่นๆ

วิถีชีวิตของพวกเขาผูกพันกับกลอรี่มากไป บางครั้งเชอเฉียนจื่อก็ตั้งคำถามกับตัวเองในใจ...นี่ก็เป็นอีกปีแล้วที่เขาเทชีวิตให้กับกลอรี่

เสียงประกาศเคาน์ดาวน์จากระบบเป็นสัญญาณให้หลายคนที่หยุดมือได้ก็หยุดยืนฟังแล้วนับเลขไปพร้อมๆ กัน แล้วข้อความก็เด้งขึ้นมาพร้อมเอฟเฟกต์แสดงการเริ่มต้นปีใหม่

เชอเฉียนจื่อกวาดตามองคำอวยพรนั้นผ่านๆ ก่อนจะขยับมองหาคนที่คิดว่าน่าจะอยู่แถวนี้

"เฮ้ เหล่าหลาน Happy new year" เขาเดินเข้าไปทักทันทีที่หาเจอ
"Happy new year" หัวหน้ากิลด์หลานซีเก๋อเซิร์ฟเวอร์สิบตอบกลับมาด้วยประโยคเดียวกัน
"เคาน์ดาวน์แบบนี้อีกปีแล้วเนอะ"
"อือ...พูดแบบนี้ทุกปีไม่เบื่อบ้างเหรอ"
"นายเบื่อ?"
"ฉลองปีใหม่ในกลอรี่กันมากี่ปีแล้วล่ะ" หลานเหอยักไหล่
"ไม่ต้องห่วง ปีหน้านายจะไม่ได้ฟังแล้ว"

ตัวละครจอมยุทธ์ดาบนิ่งไปชั่วครู่ หันกลับไปมองหน้าคนพูด อีกฝ่ายก็ไม่มีคำอธิบายอะไรเพิ่มเติม เชอเฉียนจื่อนิ่งเงียบผิดวิสัยจนเขานึกอะไรขึ้นมาได้

"นาย...จะย้ายเกม?"
"...อือ คิดถึงฉันอ่ะดิ"
"ไม่อ่ะ ก็ดี ลดกำลังคนฝั่งจงเฉ่าถังไปได้อีกหนึ่ง" เชอเฉียนจื่อรู้สึกเหมือนโดนแทงกระซวกไปหนึ่งดอก ก่อนที่ประโยคถัดไปจะตามมา "แล้ว...นี่จะย้ายเกมจริงดิ"
"เหอๆ คิดว่าไงล่ะ"
"ไม่ยังไง บอกแล้วว่าก็ดี" หลานเหอยังคงพูดจาโหดร้ายหน้าตาย
"เหล่าหลาน...นายมันปากไม่ตรงกับใจชัดๆ"

เขาคร่ำครวญกลับไปพร้อมกับรัวอีโมติค่อนร้องไห้จำนวนมากใส่ซึ่งอีกฝ่ายกลับหัวเราะตอบกล้บมา

"...ก็รู้นี่...เล่นด้วยกันมาเป็นปีๆ"

พวกเขาสองคนแม้จะไม่ได้ถือว่าป็นอริกันชัดเจน แต่การแข่งขันระหว่างทีมก็ทำให้อยู่ในฐานะของคู่แข่ง ทั้งคู่ตีกันไปตีกันมาจนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าทำไมถึงมาคุยกันได้

"ตอนมาเซิร์ฟสิบนี่ฉันบันทึกนายเป็นเพื่อนคนแรกเลยนะ เซิร์ฟหน้าคงไม่มีแล้วสิ" หัวหน้ากิลด์หลานซีเก๋อว่าพร้อมส่งอีโมติค่อนหัวเราะมา
"เหล่าหลาน..."
"จงเฉ่าถังจะตั้งใครขึ้นมาแทนนายล่ะแบบนี้ จะไปเกมไหน ส่งข่าวบ้างนะ เผื่อจะได้เล่นด้วยกันอีก นายนี่ใจเด็ดชะมัด อยู่ๆ จะเปลี่ยนเกมก็เปลี่ยนได้เลย"
"เหล่าหลาน..."

พวกเขารู้จักกันเพราะกลอรี่ ได้ติดต่อกันทุกวันนี้ก็เพราะกลอรี่ การจะหาเกมที่จูนติดกันทั้งคู่แบบนี้อีกก็คงยาก ไอ้เรื่องจู่ๆ จะย้ายเกมตามไปเล่นก็คงเป็นไปได้ยาก หลานเหออดจะรู้สึกใจหายไม่ได้เลยจริงๆ

"จะไปฟูลไทม์ทางนั้นหรือเปล่า กลับมาออนไลน์กลอรี่บ้างแล้วกัน หายไปแบบนี้ฉันก็...รู้สึกโหวงๆ อยู่เหมือนกัน"
"...เหล่าหลาน"

เชอเฉียนจื่อนิ่งอึ้งไปกับคำพูดนั้น อ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบว่าอะไร

"คือ..."
"อะไรอีก เซอร์ไพรส์ชะมัดมาบอกกันตอนปีใหม่" อีกฝ่ายยังคงบ่นด้วยเสียงกึ่งตัดพ้อ
"เหล่าหลาน คือ...ฉันไม่ได้จะย้ายเกม...เมื่อกี้พูดเล่น"

คนที่กำลังดราม่าชะงักกึกในทันที

"ง่า ฉันยังเล่นอีกนานไม่ต้องเศร้าไปนะ"
"...ใครเศร้ากันวะ!!"
"นายไง"

เชอเฉียนจื่อตอบไปแล้วก็สัมผัสได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด หลานเหอท่าเหมือนจะชักดาบออกมาฟันแสกหน้าให้สักทีแต่สุดท้ายก็แค่หันหลังเดินหนีไป

"ล...เหล่าหลาน จะไปไหน"
"จะไปไหนก็เรื่องของฉัน! ไปกันซี่โจว!!"

พอเหลือบไปสบกับตาคนที่ยืนเงียบๆ เป็นสักขีพยานสถานการณ์ดราม่าเมื่อครู่ตั้งแต่ต้นก็ได้รับสายตาอเนจอนาถปนเห็นใจกลับมา

เชอเฉียนจื่อน้ำตาจะไหลในหลายความหมาย จริงๆ แล้วหลานเหอผูกพันกับเขาขนาดนี้เลยนะ หลานเหอที่เขาเฝ้าส่งข้อความไปหาเป็นปีๆ ...แต่หลานเหอคนนั้นก็กำลังเดินหายไปนู่นแล้ว

ทันใดนั้นข้อความจากระบบก็เด้งขึ้นมา

หลานเหอ ลบความเป็นเพื่อนกับคุณ

และแล้วเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นทั่วบริเวณ บรรดาลูกกิลด์จงเฉ่าถังมองหัวกิลด์ตัวเองนอนร้องไห้รับปีใหม่อยู่กับพื้นแล้วก็ได้แต่สบตาชวนกันไปฟาร์มไอเทมส่งจ่ายท่านเทพต่อ

เชอเฉียนจื่อปลอบใจตัวเองขณะที่น้ำตายังคงไหลทะลักและมือยังคงกดขอแอดเพื่อนไปใหม่รัวๆ

ถ้า ถ้า ถ้าหลานเหองอนเขาตั้งแต่ต้นปีแบบนี้...เป็นนิมิตหมายอันดีว่าปีนี้หลานเหอจะต้องมีเรื่องงอนเขาได้ทั้งปีแน่ๆ เล้ย!!


::talk::

สวัสดีค่าาาาาา

ฟิคเรื่องนี้เราเขียนให้ปอยิ้มเป็นเทรดสคส.นะคะ ได้รับการอนุญาตให้เอามาลงพับลิกได้เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่เรือ-- แค่กๆ

เขียนไปก็สงสารเชอเฉียนจื่อไป แง แต่ยังคิดรูทที่หวานแหววกุ๊กกิ๊กไม่ออกเลยโดนแกล้งไปก่อนแล้วกันนะ (...) << โดนปอยิ้มตร่อย

แต่ชอบความเชอหลานก็ตรงนี้ คนนึงตามจีบตามวอแวแล้วก็ตีกันไปตีกันมา แง น่าระ //////////////

หวังว่าจะถูกใจเชอหลานปีใหม่นะคะ ขอบคุณค่า

ออลหลานบันไซ!!!

[QZGS-OS] Happy new year 2017 (เยี่ยหลาน :: เยี่ยซิว x หลานเหอ)

[QZGS-OS] Happy new year 2017 (เยี่ยหลาน :: เยี่ยซิว x หลานเหอ)

**สคส.ให้คุณแป้ง(@kanga00w)**


วันเทศกาลใดๆ สำหรับเกมเมอร์มันก็มีความสำคัญแค่อีเวนต์พิเศษที่มันจะเพิ่มแลกแจกแถมค่าประสบการณ์ไอเทมหายากหรือลิมิเต็ดอีดิชั่น...ไอ้เรื่องจะไปฉลองเฮฮานอกบ้านน่ะ ลืมๆ ไปเถอะ

สวี่ป๋อหย่วนนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อย่างที่ทำเป็นกิจวัตร เด็กหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาหลายครั้งในขณะที่ปลายนิ้วยังคงขยับปาดคีย์บอร์ดไปมา...ดีที่เควสต์พิเศษในช่วงคริสต์มาสไม่ได้ต้องอาศัยฝีมือมากนัก อาการใจลอยนี้จึงไม่ส่งผลอะไร

"พักก่อน"

ตัวละครหลานเหอประกาศเมื่อเคลียร์ภารกิจไปได้อีกหนึ่งอย่าง บรรยากาศหลังเคาน์ดาวน์ในเซิร์ฟเวอร์สิบยังคงคึกคักอยู่ พวกเขาเลือกหาที่นั่งหลบมุมในตัวเมืองดื่มน้ำยาฟื้นพลัง

แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยเล่นกันนั้นสวี่ป๋อหย่วนกลับทำหน้าเคร่งกดเช็กกล่องข้อความ คำอวยพรปีใหม่จากคนมากมายถูกส่งเข้ามา แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มมองหาคือชื่อหนึ่งที่ออนไลน์อยู่...จวินมอเซี่ยว

หลานเหอ - Happy new yearครับท่านเทพ

และนี่คือข้อความที่เขาได้บรรจงกดส่งไปในเวลา 0:00 01/01/20xx ...แต่ไม่มีการตอบกลับ

อันที่จริง...ถึงแม้ตัวตนของท่านเทพเยี่ยชิวจะยังไม่เปิดเผย แต่จวินม่อเซี่ยวก็ยังเป็นคนดังของเซิร์ฟเวอร์ ป่านนี้กล่องข้อความคงระเบิดไปแล้ว การจะมาเห็นข้อความเล็กๆ ของเขานี่ดูจะเป็นไปไม่ได้เลย

คิดแล้วก็ได้แต่นั่งห่อเหี่ยวอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่ทันใดนั้นระบบก็แจ้งเตือนข้อความใหม่ขึ้นมา

จวินม่อเซี่ยว - Happy new year

ความรู้สึกหัวใจพองฟูมันเป็นแบบนี้ เด็กหนุ่มอมยิ้มแก้มระเบิด...อ๊า ท่านเทพตอบข้อความของเขาแล้ว

หลานเหอ - ลงดันอยู่หรอ?
จวินม่อเซี่ยว - ไม่
จวินม่อเซี่ยว - รอคนอยู่
หลานเหอ - คุณจะรวมคนไปทำสถิติที่ไหน

ด้วยความหวาดระแวงทำให้เขารีบพิมพ์ถามไปทันที...นี่แม้แต่วันปีใหม่ในหัวท่านเทพก็ยังมีแต่เรื่องกลอรี่ ช่างน่านับถือจริงๆ

จวินม่อเซี่ยว - ไม่ได้ไปทำสถิติ
จวินม่อเซี่ยว - ไปเดต

เด็กหนุ่มอ่านประโยคนั้นสามรอบด้วยเครื่องหมายคำถามเต็มหัว ก่อนจะสรุปได้ว่าอีกฝ่ายคงเข้ามาเล่นเกมฆ่าเวลารอคนอยู่สินะ

เขาคิดด้วยความรู้สึกเหี่ยวแฟ่บลงไปอีกรอบ ก่อนจะปิดหน้าต่างบทสนทนาแล้วขยับตัวละครหลานเหอตามเพื่อนในปาร์ตี้ไป ก่อนที่จะมีเสียงหนึ่งดังผ่านเฮดโฟนเข้ามาชัดเจนราวกับกระซิบอยู่ข้างหู

"ไฮ"

"เฮ้ย!"

ด้วยอารามตกใจทำให้มือลื่นปาดลงคีย์บอร์ดจนตัวละครหลานเหอชักกระตุก ก่อนที่เขาจะตั้งสติบังคับให้หมุนกลับไปมองด้านหลัง

"คุณกดออกจากปาร์ตี้เดิมก่อนสิ"
"หา?"
"ไม่งั้นฉันจะกดชวนคุณได้ยังไง"

สมองของเด็กหนุ่มยังประมวลผลจับใจความไม่ได้แต่มือก็เผลอเลื่อนไปป้อนคำสั่งตามที่อีกฝ่ายว่า พอเรียบร้อยดีแล้วตัวละครจวินม่อเซี่ยวก็หมุนตัวออกเดินไปทันที

"เดี๋ยว คุณจะไปไหน"
"ไปเดตไง บอกคุณแล้วนี่"

...
...
...

ไปเดต...

บรึ้ม!

ผู้เล่นสวี่ป๋อหย่วน สถานะเลือดหมดหลอดตายอนาถกลับจุดเซฟ...แถมอัตราดรอปของยังมีโอกาสเป็นหัวใจ99.99%

ซี่โจวประเมินสถานะของเพื่อนที่ยืนช็อกตายไปแล้วด้วยความรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

นี่เขาควรจะไปแจ้งกิลด์ใหญ่หรือเปล่า ว่าท่านเทพมาขโมยหัวกิลด์หลานซีเก๋อเซิร์ฟเวอร์สิบไปอีกแล้ว...


::talk::

สวัสปีใหม่ค่าาาา

ฟิคเรื่องนี้เราเขียนให้คุณแป้งเป็นเทรดสคส.นะคะ ได้รับการอนุญาตให้เอามาลงพับลิกได้เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่เรือ-- แค่กๆ

เพิ่งเคยเขียนเยี่ยหลานครั้งแรก...รู้สึกต้องใช้ความพยายามในการห้ามมือตัวเองไม่ให้พุ่งเข้าไปต่อยหน้าเยี่ยชิว ฮือออออออออ อย่ารังแกน้องงงง //กอดหลานเหอแน่นมาก

หวังว่าจะถูกใจกับเยี่ยหลานปีใหม่นะคะ ขอบคุณค่า

ออลหลานบันไซ!

[QZGS-OS] Happy new year 2017 (ชุนหลาน :: ชุนอี้เหล่า x หลานเหอ)

[QZGS-OS] Happy new year 2017 (ชุนหลาน :: ชุนอี้เหล่า x หลานเหอ)


วันเทศกาลใดๆ สำหรับเกมเมอร์มันก็มีความสำคัญแค่อีเวนต์พิเศษที่มันจะเพิ่มแลกแจกแถมค่าประสบการณ์ไอเทมหายากหรือลิมิเต็ดอีดิชั่น...ไอ้เรื่องจะไปฉลองเฮฮานอกบ้านน่ะ ลืมๆ ไปเถอะ

สวี่ป๋อหย่วนเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้ เขาพอใจที่จะเทเวลาหยุดยาวให้กับอีเวนต์พิเศษของช่วงคริสต์มาสและปีใหม่มากกว่าการฝ่าลมหนาวออกไปเฉลิมฉลองนอกบ้าน

ปลายนิ้วเคาะคีย์บอร์ดเป็นจังหวะพร้อมกับการลากเมาส์ไปมาอย่างชำนาญ แม้ช่วงนี้เขาจะยุ่งวุ่นวายอยู่กับเซิร์ฟเวอร์สิบเป็นหลักแต่เมื่อกลับมาจับไอดีหลักอย่างหลานเฉียวชุนเสวี่ยก็ไม่ได้มือตกไปแต่อย่างใด

"เยี่ยม!" รู่เยี่ยหานร้องออกมาหนึ่งคำพร้อมกับข้อความจากระบบที่เด้งขึ้นมาว่าภารกิจพิเศษได้เสร็จสิ้นเรียบร้อย
"ไม่ได้ทำเควสต์กับนายตั้งนาน...หลานเฉียว คิดถึงชะมัด" ปี่เหยียนเฟยว่าทำเอาทุกคนหันมามองคนที่หายหัวไปมุดอยู่เซิร์ฟเวอร์สิบมาสักพัก

พวกเขาห้าคนทีมเวิร์กที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหลานซีเก๋อจะขาดใครไปเป็นไม่ได้ สวี่ป๋อหย่วนยิ้มรับคำพูดเหล่านั้นด้วยความรู้สึกเบิกบาน...ไอดีหลักนี่มันดีจริงๆ น้า

พวกเขาพูดคุยเล่นกันอีกสักพัก เด็กหนุ่มก็เหลือบมองนาฬิกาแล้วรีบบอกลาเพื่อนเพื่อกลับไปประจำหน้าที่ที่เซิร์ฟเวอร์สิบ

"เหนื่อยหน่อยนะหลานเฉียว"

ชุนอี้เหล่าบอกเป็นคนสุดท้ายก่อนที่เขาจะกดออกจากเกมแล้วสลับเข้าไอดีหลานเหอ

ก่อนและหลังเวลาเที่ยงคืนซึ่งเปลี่ยนเลขคริสตศักราชนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในเซิร์ฟเวอร์ใหม่ เด็กหนุ่มรีบกดรับคำเชิญปาร์ตี้จากซี่โจวที่รออยู่ก่อนแล้วและเริ่มต้นภารกิจเก็บเควสต์และอีเวนต์ต่างๆ ให้ครบอีกครั้ง

ผ่านไปหลายชั่วโมงระบบเกมก็แจ้งเตือนข้อความเชิญชวนให้ผู้เล่นร่วมกันนับถอยหลังก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ความเร็วมือผ่อนลงในทันที ทุกคนในเกมดูจะหยุดกิจกรรมที่หยุดได้ลงเพื่อร่วมฉลอง

"10 ... 9 ... 8"

เสียงประกาศในเกมขยับออกไปไกลพร้อมเฮดโฟนซึ่งถูกดึงให้เลื่อนหลุด เด็กหนุ่มเอนศีรษะพิงไปด้านหลังอย่างไม่รู้สึกแปลกใจ

"7 ... 6 ... 5"

เสียงทุ้มที่ข้างหูนับถอยหลังต่อ น้ำหนักจากท่อนแขนที่โอบกอดจากด้านหลังทิ้งลงบนไหล่ แล้วทั้งคู่ก็นับถอยหลังต่อไปพร้อมกัน

"4 ... 3 ... 2 ... 1 ..."

หน้าจอเกมแสดงข้อความอวยพรจากทางระบบพร้อมกับเสียงพลุจากนอกหน้าต่างดังเปรี้ยงปร้างเต็มท้องฟ้า

"ปีนี้ก็ฝากตัวด้วยนะครับ...ชุนเกอ" สวี่ป๋อหย่วนกระซิบบอกคนข้างหลัง
"ฉันก็ฝากตัวด้วยเหมือนกัน" ปลายจมูกขยับมากดลงบนขมับอีกฝ่าย "พรุ่งนี้ออกไปกินข้าวข้างนอกมั้ย"
"เอาสิ ปลุกผมด้วยนะ เกอนอนก่อนเลย"
"โอเค เหนื่อยหน่อยนะอาหย่วน"

เหลียงอี้ชุนขยับไปหอมแก้มอีกฝ่ายก่อนจะสวมเฮดโฟนกลับให้เด็กหนุ่ม แล้วค่อยผละออกมาพร้อมกับที่ตัวละครหลานเหอเริ่มขยับอีกครั้ง

"วันนี้ฉันต้องรีบออกหน่อยนะ" เขาหันไปบอกเพื่อนที่ยืนรออยู่ข้างๆ
"เออ ได้ยินแล้ว ออกไปไป"

ซี่โจวกล่าวด้วยเสียงไร้อารมณ์เป็นพิเศษทำเอาได้แต่หลุดขำพรืดตอบกลับไป...เออ เมื่อกี้เขาลืมปิดไมโครโฟน

สวี่ป๋อหย่วนไม่ได้กดออกจากเกมทันทีอย่างที่โดนเพื่อนไล่ เด็กหนุ่มมีความเห็นตรงกับชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้าห้องนอนไปเมื่อครู่ พวกเขาไม่เห็นความจำเป็นของการต้องเฉลิมฉลองให้กับทุกเทศกาลเป็นพิเศษ

เพราะวันๆ ที่อยู่ด้วยแบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องพิเศษแล้ว...


::talk::

สวัสดีปีใหม่ค่าาาาาา

ปีนี้เรามาแจกชุนหลานแด่ทุกคน //โปรยหัวใจ

ตอนนี้กำลังติดฉวนจื๋อหนักมากจริงๆค่ะ แง อย่างที่รู้กันคือเราเมนหลานเหอ ชิปหลักคือชุนหลาน ตกหลุมตกบ่วงพี่ชุนหนักมาก วอแว พี่ช่างหล่อคูลอะไรอย่างนี้ ดูน่าจะดูแลหลานเหอได้ดี น้องขอมอบให้เลยค่ะ แวร้ๆๆๆๆ

ฟิคปีใหม่นี้เป็นเรื่องในมโนของเราเองค่ะ เซ็ตติ้งเป็นแฟนกันแล้ว อยู่กิน-- แค่กๆ ประมาณนี้ //////////// ชื่อเรียกชื่อเล่นล้วนเป็นการมโนแจ่มของเรา (รวมกันที่คุยกาวกับสมาคมแม่บ้านหลานเหอมา) ใช้เองกร๊าวเอง แต่เอาไปอ้างอิงไม่ได้นะคะ แงแง

อ่อ แล้วก็เรื่องชื่อจริงของหลานเหอ (สวี่ป๋อหย่วน) เป็นเนต้าที่คุณผีเสื้อ(คนเขียน)เคยบอกไว้ในทอล์ค(ที่ไหนสักแห่ง)และมีลงไว้ในเล่ม all know ที่รวมข้อมูลของเรื่องนะคะ

ก็...สวัสดีปีใหม่ทุกคนอีกครั้งค่า อยู่กับเราไปนานๆ นะคะทุกคน ถ้าใครอ่านฉวนจื๋อก็มาคุยกันได้น้า

หวังว่าจะถูกใจชุนหลานปีใหม่นะคะ ขอบคุณค่า //โค้ง

Friday 23 December 2016

[QZGS-OS] 987 (ชุนหลาน :: ชุนอี้เหล่า x หลานเหอ)

[QZGS-OS] 987 (ชุนหลาน :: ชุนอี้เหล่า x หลานเหอ)

**spoiled alert - เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องเล่ม3**


หลานเหอไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกของตัวเองขณะนี้ออกมาอย่างไร เขาได้แต่กดออกจากเกมด้วยปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติก่อนจะสลับเข้าไอดีในเซิร์ฟเวอร์สิบ

'หลานเฉียว คุณไปเตรียมไอดีจอมยุทธ์ดาบเถอะ กลางวันพวกเราจะท้าชิงสถิติกันอีกรอบ'

เขา...ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร

เมื่อเข้าเกมข้อความจากซี่โจวก็เด้งขึ้นมาทันที อีกฝ่ายคงรอคำตอบจากฝั่งกิลด์ใหญ่อยู่แล้ว...พอมาถึงขั้นนี้หลานเหอก็ไม่รู้สึกอะไรอีกกับการพิมพ์คำตอบของชุนอี้เหล่าลงไป

ซี่โจวเงียบไปครู่หนึ่งก็ถามกลับมาว่าอยู่ไหน ใช้เวลาไม่นานก็โผล่มาตรงหน้า

"นาย...โอเครึเปล่า?"

ซี่โจวใช้เสียงถาม แต่เขาพิมพ์ตอบกลับไป

"ตามนั้นนั่นแหละ เตรียมไอดีเลเวลสามสิบไว้ให้พร้อม ส่งข่าวบอกทุกคนให้รอคำสั่งตอนหลังเที่ยงคืน ถ้าชิงสถิติกลับมาได้ก็ต้องอาศัยจังหวะปั่นกระแส"
"โอเค ฉันจัดการให้เอง นายไปพักเถอะ"

ถึงเพื่อนจะบอกแบบนั้นแต่หลานเหอยังคงอยู่ประสานงานจนแน่ใจว่าธุระที่ได้รับมอบหมายนั้นเรียบร้อยดีแล้วจึงได้กดออกจากเกมตามคำแนะนำ

เด็กหนุ่มเหลือบดูเวลา...นี่ก็เกือบเช้าแล้ว แต่ถ้าว่ากันตามตรงเวลานี้สำหรับชีวิตโต้รุ่งก็เหมือนเลิกงานเร็วไปหน่อยจนรู้สึกเคว้งคว้าง

หลานเหอหัวเราะขื่น หน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าช่างแสบตาจนน่าเปลี่ยนทิ้ง

เรื่องบาดหมางของเขากับเร่าอ้านฉุยหยางเป็นเรื่องที่รู้โดยทั่วกันในกิลด์หลานซีเก๋อ แม้จะยังไม่มีเหตุการแตกหักอะไรชัดเจนแต่การแสดงออกที่ต้องการแย่งชิงตำแหน่งของอีกฝ่ายก็ชัดเสียยิ่งกว่าชัด

เหตุการณ์วันนี้มันก็แค่ระเบิดเวลา...ที่ดันถอยหลังครบพอดี

หลานเหอยกมือลูบหน้าแรงๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่ได้เตรียมรับมือ

แต่การบอกให้ 'เปลี่ยนตัว' ของชุนอี้เหล่าต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกสั่นสะเทือน



เสียงสั่นครืดๆ เรียกให้หลานเหอสะดุ้งจากกรอบความคิด โดยปกติเวลาเล่นเกมเขาจะปิดเสียงแล้วเอามือถือวางไว้ให้ไกลมือ แต่พอถอดหูฟังในห้องเงียบกริบจึงได้ยินการสั่นบนโต๊ะชัดเจน

เวลาแบบนี้มันเช้าเกินกว่าที่เพื่อนทั่วไปจะโทรหา ตั้งแต่ยังไม่ได้พลิกจอขึ้นมาดูหลานเหอก็เดาได้

...คนที่ไม่ชอบการพิมพ์ยิ่งกว่าใครๆ

"ครับ"
"คุณเป็นยังไงบ้าง"
"เตรียมไอดีไว้เรียบร้อยแล้ว เรื่องประสานงานในเซิร์ฟเวอร์สิบไม่มีปัญหาอะไร"
"คุณน่ะ เป็นยังไงบ้าง"
"...ไม่เป็นไรครับ" มือที่จับโทรศัพท์มือถือเผลอออกแรงบีบจนปลายนิ้วชา "จังหวะนั้นในฐานะหัวหน้าไม่มีทางยอมให้คำพูดไม่มีหลักฐานมาสร้างความสั่นสะเทือนต่อกิลด์หลักหรอก"

หลานเหอรู้จักกับชุนอี้เหล่ามานานเกินกว่าจะไม่เข้าใจอีกฝ่าย การกระทำของชุนอี้เหล่าไม่ได้เหนือความคาดหมายหากกลับมาพิจารณาซ้ำ...คนที่จะเป็นหัวหน้ากิลด์หลานซีเก๋อได้ย่อมไม่มีความคิดตื้นเขิน

"จริงๆ ผมต้องขอบคุณ...ที่คุณช่วยอีกแล้ว"

การบอกให้เปลี่ยนตัวนั้นในแง่หนึ่งก็เหมือนติดปีกให้เร่าอ้านฉุยหยางได้อวดเบ่งจองหองว่าจะเข้ามาแทนที่หลานเฉียวชุนเสวี่ย

แต่ในอีกแง่หนึ่ง...ชุนอี้เหล่าก็แค่กันหลานเหอออกมาจากเร่าอ้านฉุยหยาง ทำเหมือนทุกๆ ครั้งที่เคยช่วยกันเขาออกมา

และเพราะมั่นใจว่าการตัดสินใจของชุนอี้เหล่าไม่เคยคิดทำร้ายกัน นั่นก็ยิ่งหมายความว่าแม้อีกฝ่ายจะคลางแคลงใจต่อฝีมือของจวินม่อเซี่ยวจากปากคำของเขาแค่ไหน...แต่ที่เลือกทางนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะเชื่อใจว่าหลานเหอตัดสินใจถูก

...และถ้าหลานเหอตัดสินใจพลาด เขาก็ย่อมต้องรับผลของการกระทำนั้นเองอย่างเลี่ยงไม่ได้

"ฉันแค่เชื่อคุณ"
"อือ ผมรู้อยู่แล้ว" หลานเหอหัวเราะออกมาเบาๆ แม้จะรู้สึกอยากร้องไห้นิดๆ "คุณไม่ต้องขอโทษนะ"
"...งั้นก็รีบพักผ่อน อย่าลืมมาประจำตอนเที่ยงคืน"

หัวหน้ากิลด์หลานซีเก๋อประจำเซิร์ฟเวอร์สิบบอกราตรีสวัสดิ์อีกฝ่ายก่อนจะกดวางสายแล้วขดตัวเข้าหากันบนเก้าอี้

หลานเหอปล่อยให้น้ำตาไหลอาบหน้าแบบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองร้องไห้เรื่องอะไร...ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาก็ยังรู้จัดการกับความรู้สึกตัวเองได้แท้ๆ

โทรศัพท์มือถือสั่นอีกอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นเพียงข้อความ หลานเหอจึงพลิกขึ้นมาดูด้วยความประหลาดใจ

'เหลียงอี้ชุน - 987'

เสียงหัวเราะหลุดออกมาก่อนเด็กหนุ่มจะต้องเอาหลังมือปาดน้ำตาบนหน้าที่ยิ่งไหลทะลักไม่หยุดออก

บ้าเอ้ย...ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องขอโทษ


TALK

ฮว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ฟิคกรีดร้องเฉพาะกิจ ใจข้าไม่ไหวแล้วววววววววว //โดยอฟชเตะตัดขาหล่นลงสู่เรืออย่างสงบ

ใครไม่แจวน้องแจวเอง พี่อี้ชุนช่างโมเอะหัวใจเหลือเกิน ฮรึก อ่านฉากนี้แล้วมันคันหัวใจยิบๆ ขอสักหน่อยเถอะนะ ฟหกด

//เขียนดายอิ้งเมสเสจไว้เป็นฟิคแล้วคลานหายไป

Sunday 21 August 2016

[fic] 「緣分」 fate 03 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

「緣分」

fate




Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)

Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

Rate : G

Timeline : ช่วงปี1960-1963

***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event2 28/8/59***

แบบสอบถามความสนใจ+รายละเอียดค่ะ >> https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfZokZ6TKMev2-oNPyhfYMPvrmB4TDHrwEnpPdWVCocyIIx1g/viewform


วันนี้มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่เมืองหังโจว แม้จะเป็นคนทั่วไปก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ขบวนรถทหารพากันทยอยเข้ามาในตัวเมืองตั้งแต่หลายวันก่อน และดูจะหนาตาขึ้นเป็นพิเศษในวันนี้...แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครอยากสนใจกิจธุระของทหาร...ความเป็นอยู่อัตคัดขัดสนทำให้คนเราเห็นแก่ตัวสนใจแต่ปากท้องของตนเป็นใหญ่


เซี่ยจิ่วนั่งอยู่บนภัตตาคารชั้นสอง มองลอดช่องหน้าต่างลงไปยังถนนเบื้องล่าง หญิงสาวสวยสะคราญก้าวลงจากรถพร้อมกับคนรับใช้หญิงในชุดเสื้อผ้างดงาม วันเวลาสิบปีไม่ได้ทำให้ความเป็นเทพธิดาของฮั่วเซียนกูลดลงแม้แต่น้อย เขามองสหายเก่าเดินเข้าไปในอาคารฝั่งตรงข้ามด้วยมาดนางพญาอย่างใจเย็นแล้วหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดู

หลังหญิงงามจากบ้านฮั่ว รถยุโรปสีอ่อนคันงามก็แล่นมาอวดโฉมอยู่ตรงริมถนนโดดเด่นท่ามกลางรถทหารสีเข้ม และเมื่อประตูด้านหลังถูกเปิดออกให้เจ้าของก้าวลงมาก็ยิ่งดึงดูดสายตาคนได้มากขึ้นไปอีก ชายผู้นี้มีท่วงท่ากิริยาที่ดูนุ่มนวลแต่ก็แฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม ใบหน้าหมดจดไร้ร่องรอยอายุทำให้เขาดูอ่อนวัยกว่าความเป็นจริง


บรรยากาศมืดครึ้มทำให้คนที่เพิ่งก้าวลงจากรถรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างประหลาด เขาหันมองภาพไม่คุ้นเคยโดยรอบอย่างไม่สบายใจ เอ้อร์เย่ว์หงอาศัยอยู่แต่ในฉางซามานานเกินไป...หลายปีแล้วที่เขาแทบไม่ได้ไปไหนนอกกำแพงสี่ด้านรอบบ้าน ยังดีที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงคุ้นหน้าคุ้นตาแม้จะผ่านไปถึงสิบปี


“เอ้อร์เหยีย ไม่พบกันนาน ท่านคงสบายดี” เสียงทักทายนั้นดังมาจากฝั่งตรงข้าม เจ้าบ้านเซี่ยคนปัจจุบันก้าวยาวๆ ข้ามถนนมา

“ตามสภาพนั่นแหละ” เขายิ้มตอบพลางลอบสำรวจอีกฝ่าย “ทางหังโจว เองก็คงไม่แย่จนเกินไป”


เซี่ยจิ่วไม่ตอบว่าอะไร เพียงแต่ผายมือเชิญผู้ที่เดินทางมาไกลให้เข้าไปด้านในก่อน ภัตตาคารใหญ่ถูกเหมาเอาไว้ทั้งหลัง พนักงานถูกไล่ต้อนออกไปจนหมดเปลี่ยนเป็นนายทหารมากมายมาประจำการแทนที่

ในห้องส่วนตัวบนชั้นสามมีบรรยากาศหนักอึ้งที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันคุ้นเคยชวนให้รู้สึกขนลุก 

หนึ่ง...สอง...สาม.............แปด...เก้า...ทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว เอ้อร์เย่ว์หงเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ว่างถัดจากสหายเก่าแก่อย่างจางฉี่ซานด้วยความเคยชินที่ถูกปลุกขึ้นมา ป้านเจี๋ยหลี่บนรถเข็นอีกฝั่งเห็นดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ แล้วประตูห้องก็ถูกปิดลง


“ขาดเพียงฮั่วผอจื่อกับเฮยเป้ยเหล่าลิ่วก็เหมือนเวลาย้อนไปสิบปีทีเดียว” ผู้มาถึงคนสุดท้ายเปรยขณะกวาดสายตามองไปโดยรอบ “ฮั่วเซียนกู ข้าเสียใจด้วย ขออภัยที่ไม่ได้ไปร่วมงานที่ปักกิ่ง”

“ขอบคุณค่ะเอ้อร์เหยีย ท่านแม่คงดีใจที่เป็นที่นึกถึง” หญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องโค้งศีรษะเล็กน้อย

“เราไม่ได้มาเพื่อรำลึกความหลังกันล่ะมั้งเหล่าเอ้อร์*” เสียงแหบต่ำของชายพิการแทรกขึ้น

“ใจเย็นน่าเหล่าซาน** เราไม่ได้พบกันมาสิบปีเชียวนะ” บุคลิกของเถ้าแก่บ้านสองยังเหมือนเดิมทุกประการ พัดถูกคลี่สะบัดไปมาอย่างอารมณ์ดีท่ามกลางบรรยากาศหนักอึ้ง “เห็นทุกบ้านยังอยู่เกือบพร้อมหน้าข้าก็ดีใจ...เหตุการณ์ครั้งนั้นจะว่าสูญเสียมากก็มาก แต่แท้จริงก็ยังแทบทำอะไรพวกเราไม่ได้เลยนี่”


น้ำเสียงเรียบเรื่อยเสียดสีคนด้านข้างอย่างโหดร้ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มหวาน จนเสียงกระแอมจากนายทหารใหญ่ดังขึ้นในที่สุด


“ในเมื่อพร้อมกันแล้ว...เงื่อนไขทั้งหมดเป็นดังเนื้อความในจดหมาย หากไม่มีข้อซักถาม เราจะมาพูดถึงแผนการ”

“หึ ข้อซักถามงั้นหรือ อย่ามาพูดให้ตลกไปหน่อยเลย” เสียงแค่นหัวเราะดังมาจากคนที่ยืนพิงเสาอยู่ “เงื่อนไขของท่านเชื่อได้แค่ไหนกันยังไม่ทราบ พวกข้า


ควรเชื่อน้ำลายคนที่จับพี่น้องตัวเองยิงเป้ากลางเมืองจริงๆ หรือ”


เฉินผีอาซื่อเอียงศีรษะมองผู้ยิ่งใหญ่แห่งฉางซาพร้อมกับส่งสายตามุ่งร้ายไร้ความเกรงกลัว


“พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อมาดูว่าท่านมีสิ่งใดเป็นหลักประกัน ท่านคงไม่คิดจะให้พวกเรายึดถือลมปากหลักลอยนั่นหรอกใช่ไหม?”


สิ้นสุดคำกล่าวนั้นอุณหภูมิในห้องก็ดิ่งลงติดลบในทันที เซี่ยจิ่วประสานมือบนหน้าตักลอบมองสมาชิกทั้งหมดอย่างระมัดระวัง นอกจากตัวแทนบ้านหกคนใหม่ที่เป็นชายร่างยักษ์แล้วทุกคนล้วนอยู่ในเหตุการณ์นองเลือดที่ฉางซาเมื่อสิบปีก่อน ภาพของคนสกุลจางผู้ยังคงมีความหวังว่าตนจะไม่ถูกทอดทิ้งแม้ในวินาทีที่ปากกระบอกปืนจ่ออยู่ตรงหน้าสร้างความสะเทือนใจถึงขีดสุด

เฉินผีอาซื่อพูดถูก...พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าข้อแลกเปลี่ยนนั้นจะเป็นจริงหรือไม่


“นั่นสินะ ว่าอย่างไรล่ะพ่อพระ ท่านมีอะไรมาเป็นหลักประกัน” ป้านเจี๋ย หลี่เห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็หัวเราะชอบใจในลำคอพลางหันไปถามคนด้านข้าง

“...พวกเจ้าคงเข้าใจผิดกระมัง” สายตาแปดคู่เลื่อนมาจับจ้องยังนายทหารใหญ่ที่มีสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะมีรอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้น “ผู้คีบลามะไม่ใช่ข้า แต่คือท่านผู้นั้น ทุกคนมีสิทธิ์ปฏิเสธ...แต่ก็เพราะไม่สามารถปฏิเสธได้มิใช่หรือ จึงมารวมกัน ณ ที่นี้”

“คิดว่าข้าหวาดกลัวทางการนักหรือ” เจ้าบ้านสกุลเฉินหรี่ตามอง

“กลัวหรือไม่ก็ทำให้เจ้าสงบปากสงบคำไปได้หลายปี เหล่าซื่อ*” นายทหารจ้องตอบ “คดีความของเจ้ายาวเหยียดเป็นหางว่าว หากไม่สนใจชีวิตตัวเองก็คิดถึงภรรยากับลูกในครรภ์ด้วย”


คำสบถหยาบคายหลุดตามมาในทันทีพร้อมกับรังสีสังหารรุนแรง แต่คำกล่าวนั้นก็ทำให้เถ้าแก่บ้านสี่เงียบลงไปได้ บรรยากาศอึดอัดทำให้ทุกคนหยั่งท่าทีในการจะกล่าวอะไรออกมา เซี่ยจิ่วเหลือบมองผู้แทนบ้านหกคนใหม่ที่ดูไม่มีทีท่าหวั่นเกรงอะไรด้วยสายตาประเมิน แต่แล้วเสียงกระแอมแผ่วเบาก็ดึงเอาความสนใจของคนทั้งห้องไปได้


“ข้ามีคำถาม” พัดที่ถืออยู่ถูกรวบเก็บใส่อุ้งมือ เอ้อร์เย่ว์หงเหล่มองคนด้านข้างก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงเรื่อยราวกับทั้งห้องไม่ได้ตกอยู่ในบรรยากาศฆ่าฟัน

“เชิญ”

“ทำไมต้องเป็น ‘เก้าสกุลใหญ่’ ...ไม่แปลกไปหน่อยหรือไง เหล่าซื่อกับเหลาอู่ยังพอเข้าใจได้ แต่ข้ากับเหล่าซาน ไหนจะสกุลล่าง ฮั่วเซียนกู เหล่าปา เหล่าจิ่วอีก พวกเราไม่มีผู้คนให้ใช้สอยลงกรวยมากมายเหมือนก่อนแล้ว”

“นี่เป็นเงื่อนไขของผู้แทนของท่านผู้นั้น” จางฉี่ซานอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “การขุดสุสานครั้งนี้ไม่ได้ต้องใช้พวกเราทั้งเก้าสกุล แต่คนที่ท่านผู้นั้นเลือกในครั้งนี้ต้องการความช่วยเหลืออย่างอื่นจากพวกเรา”

“ต้องอธิบายให้ยากลำบากเช่นนั้นหรือ พ่อพระใหญ่จาง” เสียงแหบต่ำที่

ไม่คุ้นหูของเจ้าบ้านหกคนใหม่กล่าวขึ้น “นี่คือเงื่อนไขที่พวกข้าไม่ได้รับรู้ก่อนตกลงหรือเปล่า หลอกลวงกันแต่ต้นเช่นนี้ไม่แย่ไปหน่อยหรือ”

“ไม่...เพราะพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องตกลงในเงื่อนไขประการหลัง”

“แล้วเงื่อนไขนั้นคืออะไรท่านบอกมาตรงนี้เลยไม่ได้หรือไง”

“เมื่อถึงเวลา ‘เขา’ จะเป็นคนบอกเอง”

“... ‘เขา’ ก็อยู่ที่นี่แล้วมิใช่หรือ”


อู๋เหลาโก่วที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยแทรกขึ้น เงยหน้าจากซันชุ่นติงบนตักเพ่งมองเลยไปด้านหลังในมุมมืด จนทุกสายตาหันตามไป


“นั่นใช่เขาหรือเปล่า หากใช่ก็เชิญออกมาพูดคุยกันเลยเถอะ”

“...จางฉี่หลิง”


นายทหารใหญ่กัดฟันแน่น ก่อนจะหันกลับไปมองคนที่ก้าวออกมาอย่างเงียบเชียบด้วยความรู้สึกไม่พอใจ อันที่จริงจางฉี่ซานก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะฟังเขาเท่าไร

...เพียงแค่หวังว่าจะมีหัวคิดกว่านี้อีกสักนิด


ใบหน้าเรียบเฉยของผู้หลบซ่อนในเงามืดเผยออกมาให้ทุกคนเห็น ชายรูปร่างสมส่วนผู้นี้อยู่ในเสื้อผ้ารัดกุมพร้อมกับดาบเล่มโตสะพายติดหลัง แววตาของเขาว่างเปล่าราวกับห้วงน้ำลึกไร้ก้นบึ้ง


“คนสกุลจางงั้นหรือ?”

“ข้าคือจางฉี่หลิงแห่งสกุลจาง” ชายผู้นั้นกล่าว “ข้าเป็นผู้ยื่นเงื่อนไขให้ท่านผู้นั้นเรียกพวกท่านทั้งเก้ามารวมกัน ณ ที่นี้”

“...แล้วเจ้าต้องการอะไรจากพวกข้า” เอ้อร์เย่ว์หงเหลือบมองประเมินบุรุษตรงหน้าด้วยสายตาเปิดเผย “มีอะไรที่เก้าสกุลผู้ล่มสลายอย่างเราทำให้เจ้าได้หรือ”

“ข้าจะขอเท้าความถึงสาเหตุของการคว่ำกรวยครั้งนี้ก่อน...พวกท่านเองอยู่ในแวดวงนี้อย่างไรก็ต้องคุ้นชินกับความโลภของเหล่าจักรพรรดิโบราณ มนุษย์เราเมื่อยิ่งใหญ่คับฟ้าถึงจุดหนึ่ง สิ่งที่พวกเขาต้องการก็ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติอีกต่อไป”

“...ความอมตะ” ฉีเถียจุ่ยรำพึงออกมาเพียงหนึ่งคำแล้วก็ปิดปากเงียบ

“ใช่...ในที่สุดสิ่งเดียวที่จะพรากพวกเขาจากอำนาจและทรัพย์สมบัติก็คือความตาย ดังนั้นจุดสูงสุดของจักรพรรดิทุกราชวงศ์ก็คือเฟ้นหากลวิธีอยู่ค้ำฟ้าตลอดกาล” ดวงตาว่างเปล่าฉายแววเจ็บปวดเพียงชั่วพริบตาก็จางหายไป “การคว่ำกรวยครั้งนี้ก็เช่นกัน ท่านผู้นั้น...กำลังแสวงหาความลับของสวรรค์”

“เง็กเซียนฮ่องเต้ยังไม่อาจฝืนลิขิตฟ้า ไยนายทหารท่านหนึ่งจึงคิดว่าตนจะทำได้” อดีตนางเอกงิ้วคนงามยกยิ้มเยาะ

“เพราะท่านบังเอิญได้รับรู้ความลับยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งซึ่งจุดประกายความหวังอันเลือนลางให้มีเค้าความเป็นจริง” คำตอบนี้กลับเป็นจางฉี่ซานที่เอ่ยขึ้นมาแทน “สกุลจางของเราในยุคราชวงศ์ชิงมีถิ่นฐานอยู่ที่เขตกวนตง นอกด่านซันไห่กวน สมัยบิดาของข้าได้แยกตัวออกจากสายตระกูลหลักด้วยเหตุผลบางประการ หลังจากนั้นเมื่อด่านซันไห่กวนแตกพ่ายในสงครามจีน-ญี่ปุ่น ข้าจึงหนีตายลงมาถึงฉางซา”


เรื่องราวปูมหลังเช่นนี้ไม่ว่าใครในฉางซาก็ย่อมต้องเคยได้ยินมาก่อน แต่จู่ๆ เจ้าตัวกลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเอง ทุกคนจึงเริ่มเห็นเค้าลางบางอย่าง


“หลายปีก่อนข้าเคยกลับไปตามหาต้นตระกูล ในตอนนั้นข้าไม่พบอะไร

เลย...บ้านใหญ่สกุลจางที่บิดาของข้าเคยบอกเล่าไว้หายลับไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง” เสียงทุ้มยังคงเล่าเรื่องต่อไปอย่างใจเย็น “แต่ในการค้นหาครั้งนั้นข้าได้พบกับ...ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าสองปี ซึ่งในตอนนั้นเขาได้รับตำแหน่งผู้นำสกุลที่เรียกว่า ‘จางฉี่หลิง’ แล้ว”

“เป็นไปไม่ได้” ใครสักคนโพล่งขึ้นมา “เสี่ยวเกอท่านนี้น่ะหรือ?”


อู๋เหลาโก่วเพ่งสายตามอง คนคนนี้อายุมากกว่าเขาเป็นสิบปี แต่กลับดูเหมือนเด็กหนุ่มราวยี่สิบต้นๆ ใบหน้าเกลี้ยงเกลากับร่างกายที่สมส่วนเหมือนคนหนุ่มที่ยังมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์


“จางฉี่หลิงมีรูปลักษณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้มาหลายสิบปี ตัวตนของเขาคือเครื่องยืนยันสมมติฐานที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงในหน้าประวัติศาสตร์” จางฉี่ซานโต้กลับก่อนจะเหลือบมองคนที่ยืนหลบมุมมืดอยู่หลังห้อง “หากไม่เชื่อ...จะถามเหล่าปาดูก็ได้”


เพียงเท่านั้นทุกสายตาก็เบนไปที่ฉีเถียจุ่ยทันที เจ้าบ้านแปดถอนหายใจเฮือกก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ แววตาหลังกรอบแว่นไม่มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด บรรยากาศของห้องสี่เหลี่ยมถูกปกคลุมด้วยความลึกลับในทันที กลิ่นอายของสิ่งที่อธิบายไม่ได้ดึงให้ทุกคนจมจ่อมลงไปกับความคิดของตัวเอง


แต่แล้วก็มีเสียงวัตถุแหวกอากาศดังขึ้นทำลายภวังค์ความคิดของทุกคนจนหมดสิ้น


“เฉินผีอาซื่อ!!”


จางฉี่หลิงเบี่ยงตัวหมอบหลบลูกเหล็กที่ถูกดีดมาไม่ทันตั้งตัวทั้งชุดได้อย่างน่าหวาดเสียว เฉินผีอาซื่อหัวเราะหึแล้วเขวี้ยงตะขอเก้าเล็บไปเกี่ยวขอบโต๊ะให้พลิกคว่ำ เสียงกาน้ำชาแตกกระจายดังลั่นไปทั่วห้องแต่ก็ยังไม่มีผู้ใดขยับตัว

ฝ่ายผู้ถูกจู่โจมเห็นฉากกำบังถูกทำลายไปแล้วจึงตัดสินใจเหวี่ยงตัวพุ่งสวนเข้าไปใช้ท่อนขาเกี่ยวเชือกเหล็กเอาไว้แล้วกระชากอีกฝ่ายให้เสียหลักแทน

เมื่อถูกกระชากสวนแล้วสู้แรงไม่ได้เถ้าแก่บ้านสี่จึงปลดสายตะขอออกทันทีแล้วเตรียมซัดคืนด้วยลูกเหล็กในระยะประชิด


“เหล่าซื่อ!!”


เสียงตวาดลั่นห้องทำให้เขาชะงักในทันที เฉินผีอาซื่อสบถแผ่วเบาก่อนจะหันหน้าหนีจากผู้เป็นอาจารย์ จางฉี่หลิงเห็นสถานการณ์เย็นลงแล้วก็ลุกขึ้นช้าๆ ปลดสายตะขอซึ่งเกี่ยวขาอยู่ออกด้วยสีหน้าและลมหายใจที่ไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด


“หึหึ...จะมาเป็นคนคีบลามะของพวกเราก็ต้องมีฝีมือหน่อย ขอบคุณเฉินผีอาซื่อที่ออกแรงให้”


คำพูดนี้ดังมาจากคนบนรถเข็น ป้านเจี๋ยหลี่เอ่ยกระเซ้าพลางเหลือบมองสีหน้าทะมึนของเอ้อร์เย่ว์หง เซี่ยจิ่วกวาดสายตามองไปโดยรอบก็พบว่าทุกคนแม้จะยังนิ่งอยู่กับที่แต่มือล้วนแตะเตรียมพร้อมอยู่กับอาวุธประจำตัว

จางฉี่ซานเห็นภาพความวุ่นวายตรงหน้าก็ถอนหายใจเฮือกอย่างหงุดหงิด

“จางฉี่หลิง เป็นตำแหน่ง...ไม่ใช่ชื่อ สกุลจางสายตระกูลหลักมีวิชาขุดสุสานสำนักเหนือที่ถ่ายทอดกันมาอย่างยาวนาน การมีอยู่ของสกุลจางทำเพื่อรักษาความลับอันยิ่งใหญ่ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในประวัติศาสตร์หลายพันปีของประเทศจีน” นายทหารใหญ่เหลือบมองแผ่นหลังของญาติผู้น้อง “การคว่ำกรวยครั้งนี้คือการค้นหาความลับที่สกุลจางปกป้องเอาไว้”

“เขาก็อยู่ที่นี่แล้วนี่ ถามเอาตรงนี้ไม่ได้หรือไง”

“คนเป็นจางฉี่หลิงรู้แต่หน้าที่ที่ตนจะต้องปกป้อง คำตอบของสิ่งที่พวกท่านต้องการนั้นข้าไม่อาจอธิบายออกมาได้ ...ยุคสมัยของสกุลจางขณะนี้มาถึงจุดที่เสื่อมโทรมไปพร้อมสังคมศักดินา คนยุคใหม่ลืมเลือนหน้าที่ปกป้องของตนไปจนหมดสิ้นแล้ว บัดนี้จางฉี่หลิงที่ยังอยู่ ‘ข้างนอก’ เหลือเพียงข้าคนเดียว” ผู้นำแห่งสกุลจางอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือ...ข้าไม่อาจปกป้องความลับนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียวได้ แต่หากพวกเราทุกคนผลัดเปลี่ยนกันเพียงสิบปีในหนึ่งร้อยปี...ประวัติศาสตร์จีนก็จะสามารถก้าวต่อไปได้”


เซี่ยจิ่วเข้าใจเงื่อนไขทั้งหมดได้ในทันที...ความลับที่ท่านผู้นั้นต้องการ คือสิ่งที่สกุลจางเก็บซ่อนเอาไว้...แต่เพื่อจะเปิดเผยสิ่งนั้นต่อพวกเขาจางฉี่หลิงจึงยื่นเงื่อนไขมาให้ทุกคนร่วมแบกรับบางอย่าง หน้าที่ที่ต้องใช้เวลาถึงสิบปี


“พวกท่านยังไม่ต้องรับปากข้าในตอนนี้ เงื่อนไขของท่านผู้นั้นคือการค้นหาความลับของ ‘หอบ้านสกุลจาง’ กุญแจแรกที่เราต้องค้นหาอยู่ในเขตภูเขาสูงของมณฑลเสฉวน คิดทบทวนเงื่อนไขทั้งหมดให้ดี...ข้าเพียงต้องการความช่วยเหลือแลกเปลี่ยนกับความลับยิ่งใหญ่ แต่เมื่อตัดสินใจไปแล้ว...พวกท่านอาจไม่มีวันหวนคืนสู่เส้นทางปกติ”


สิ้นสุดคำกล่าวนั้นของจางฉี่หลิง เฉินผีอาซื่อก็ลุกขึ้นก้าวออกจากห้องไปโดยไม่ได้กล่าวอะไร ตามติดด้วยเถ้าแก่บ้านหกคนใหม่ที่ไม่แม้แต่จะหันมาบอกลาใครตามมารยาท การประชุมในครั้งนี้จึงสิ้นสุดลงเอาดื้อๆ


“เช่นนี้ข้าก็ขอตัวก่อนล่ะ” เอ้อร์เย่ว์หงลุกขึ้น พลางคลี่พัดโบกไปมา สายตาเชือดเฉือนถูกส่งให้คนข้างตัวก่อนที่จะหันหลังไป “อย่าคิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ท่านต้องการเสมอนะ...พ่อพระใหญ่จาง”

“...ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่เคยคิดว่าจะสามารถบังคับใครในเก้าสกุลได้อยู่แล้ว”


เถ้าแก่บ้านสองส่งเสียงขึ้นจมูกก่อนจะก้าวออกไปจากห้องโดยไม่ลืมบอกลาสหายเยาว์วัยแต่ละคน ตามติดด้วยป้านเจี๋ยหลี่ที่วันนี้เขามองเห็นแต่เรื่องสนุกสนานมากกว่าใครๆ ก็เลื่อนรถเข็นออกไปโดยทิ้งท้ายไว้แค่คำบอกลา


จางฉี่ซานรู้สึกอ่อนล้าอย่างที่ไม่ได้เป็นมานาน เขาเผลอยกมือขึ้นนวดขมับก่อนจะรู้สึกถึงสายตาที่มองมา แววตาใสสะอาดซึ่งเขาฝันถึงลอยอยู่ตรงหน้า...แม้จะแฝงด้วยความหมายหลากหลายแต่นายทหารหนุ่มก็รู้สึกโหยหาเกินกว่าจะละสายตา

หญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องคอยลอบสังเกตทุกอย่างอยู่เงียบๆ เมื่อเห็นเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ก็ตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้อง ฉีเถียจุ่ย จึงเริ่มขยับตัวบ้าง แล้วในที่สุดอู๋เหลาโก่วที่นั่งนิ่งมานานก็ต้องหลับตาลงก่อนจะเรียกสติลุกออกจากห้องไปพร้อมกับเพื่อนทั้งสอง

เซี่ยจิ่วก้าวตามเพื่อนออกจากห้อง...แต่ในก้าวสุดท้ายนั้นเจ้าบ้านสกุลเซี่ยก็ตัดสินใจหันกลับมาเหลือบมองผู้นำแห่งฉางซา


วงล้อสิบปีค่อยๆ หมุนวนกลับมาอย่างช้าๆ วันเวลาของเก้าสกุลใหญ่ที่ถูกหยุดเอาไว้กำลังจะกลับมาเดินใหม่อีกครั้ง


‘ต้องขอโทษด้วย’


นี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่พ่อพระใหญ่จางแห่งฉางซากล่าวคำพูดนี้กับเขาและสีหน้าลำบากใจ...ก็เป็นครั้งที่สองเช่นกัน ทั้งสองครั้งนั้นเกิดขึ้นในวันซึ่งฟ้ามืดสลัวก่อนเวลาฝนตกเพียงเล็กน้อย ครั้งแรกที่ฉางซา...ครั้งสองที่หังโจว

เซี่ยจิ่วไม่เคยชอบจางฉี่ซาน เพราะพวกเขาแตกต่างกันมากเกินไป...แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับนับถือชายผู้นี้


สิบปีก่อน...คนที่รู้เรื่องพรรคคอมมิวนิสต์จะกวาดล้างโจรขุดสุสานรวมถึงนโยบายปฏิรูปที่ดินจากคนรวยมาให้คนจนนั้นมีเพียงพ่อพระใหญ่จางกับตัวเขาซึ่งถูกอีกฝ่ายเรียกไปพบ วันนั้นเป็นวันที่ฉางซาฝนตกหนักที่สุดในรอบหลายปี

จางฉี่ซานเป็นทหารผู้เถรตรงและรู้หน้าที่ของตัวเองอย่างยิ่ง ตั้งแต่อ่านจดหมายพวกนั้นเขาเองก็คงตระหนักได้ถึงบทบาทโหดร้ายที่ต้องสวม เมื่อลูกของเพชรฆาตทำผิด...เพชรฆาตย่อมเป็นผู้ลงมือเอง เซี่ยจิ่วรู้ดีว่าการที่เขาถูกเรียกไปถามความเห็นมันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง...แท้จริงพ่อพระใหญ่จางต้องการให้เขาวางแผนซ้อนตัวเองเพื่อหาทางออกให้กับเก้าสกุลที่เหลือ


ผู้สูญเสียหนึ่งเดียวในเหตุการณ์ครั้งนั้นจึงมีแต่เฮยเป้ยเหล่าลิ่ว...


หรืออาจจะนับรวมพ่อพระใหญ่...ซึ่งต้องก้าวเดินต่อไปด้วยภาระทั้งหมดที่แบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียว


‘ท่านผู้นั้นต้องการความลับของสกุลจาง แต่ ‘เขา’ ต้องการความช่วยเหลือ และทั้งคู่เลือกเอาพวกเราเก้าสกุลไปเป็นข้อแลกเปลี่ยน’ ผู้มาเยือนเอ่ยขึ้นเมื่อเขาอ่านจดหมายทั้งหมดเรียบร้อย

‘...สกุลจางเป็นคนเห็นแก่ตัวที่มีความรับผิดชอบเหมือนกันหมดหรือเปล่า’ จางฉี่ซานยิ้มรับคำเสียดสีนั้นอย่างจำยอม

‘ข้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ แต่ก็ได้ยื่นเงื่อนไขที่คิดว่าคุ้มค่า...ก่อนจะส่งข่าวออกไปจึงอยากถามความเห็นเจ้า’

‘ท่านหลอกข้าเป็นครั้งที่สองไม่ได้ พ่อพระ’ เซี่ยจิ่วเหยียเหยียดยิ้ม ‘คราวก่อนข้ายินยอมเป็นหมากยืมบนกระดานของท่าน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน’

‘...เชื่อเถอะเซี่ยจิ่ว ข้าไม่เคยมองเจ้าเป็นหมากของข้าสักครั้งเดียว’


ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฉางซาหัวเราะขมขื่นก่อนจะจากไปทันทีเมื่อเขาบอกอีกฝ่ายว่าตนให้คนไปตามอู๋เหลาโก่วมา


...จางฉี่ซานผู้แข็งแกร่งราวกับภูเขาคือชายที่น่าสงสาร เพราะสิ่งเดียวที่เขาไม่อาจปกป้องเอาไว้ได้คือหัวใจของตัวเอง


ถึงเวลาแล้ว...

ชายหนุ่มหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูเวลาก่อนจะก้าวออกไปในสายฝนขมุกขมัวของเมืองหังโจว




TBC ... next week

Saturday 6 August 2016

[fic] 「緣分」 fate 02 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

「緣分」

fate




Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)

Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

Rate : G

Timeline : ช่วงปี1960-1963

***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event2 28/8/59***

แบบสอบถามความสนใจ+รายละเอียดค่ะ >> https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfZokZ6TKMev2-oNPyhfYMPvrmB4TDHrwEnpPdWVCocyIIx1g/viewform




02



ลมเย็นริมทะเลสาบหอบเอาความชื้นพัดผ่านจนอุณหภูมิลดต่ำ ผืนน้ำสะท้อนแสงแดดจ้าหลังฝนเป็นประกายระยิบระยับงดงามราวกับอัญมณีเลอค่า แม้จะอยู่ในยุคที่แผ่นดินลุกเป็นไฟแต่ทะเลสาบซีหูก็ยังคงเสน่ห์ของมันเอาไว้ได้ดี

ชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นหลิวเหม่อมองช่อดอกบัวบานสีสันสดใสด้วยแววตาว่างเปล่า จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังจึงวาดรอยยิ้มกว้างหันกลับไปทักทาย


“เหล่าปา...เป็นอย่างไรบ้าง”


อู๋เหลาโก่วออกปากทักเพื่อนที่ไม่พบหน้ากันมาหลายปี แววตาหลังกรอบแว่นของเจ้าบ้านแปดยังคงไม่เปลี่ยนแปลง รวมถึงบรรยากาศรอบตัวที่ยังคงรักษาความลึกลับเอาไว้ได้อย่างดี


“นับว่าสุขสบายเมื่อเทียบกับยามนี้” ฉีเถียจุ่ยตอบก่อนจะเดินมาหยุดยืนข้างคนที่มาก่อน “เซี่ยจิ่วกับเจ้าเองก็คงสบายดีสินะ”

“ฝึกหมาให้ทางการก็ไม่แย่นัก หลังจากหักค่าปิดปากก็ได้ค่าตอบแทนตามสมควร”


ภายหลังยุคที่เก้าสกุลแห่งฉางซาล่มสลาย ต่างคนต่างหาทางออกให้กับตนเอง ฉีเถียจุ่ยที่คาดเดาสถานการณ์ได้ก่อนหลบหนีออกไปไม่มีใครเห็นแม้แต่เงา เซี่ยจิ่วอาศัยฉากหน้าของนักธุรกิจที่มีความสัมพันธ์เรื่องเส้นสายในการจัดหาอาวุธให้กับทางการยืนหยัดต้านอำนาจส่วนกลางอยู่ระยะหนึ่งก่อนจะย้ายไปปักกิ่ง ส่วนอู๋เหลาโก่วที่หนีเอาตัวรอดมาได้ถึงหังโจวแม้จะได้พึ่งใบบุญสกุลเซี่ยแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมืออำนาจ ข้อเสนอในการเพาะพันธุ์และฝึกสุนัขทหารถูกยื่นมาให้แทนบทลงโทษแบบไร้ทางปฏิเสธ


“เจ้าคงรู้ว่าฮั่วผอจื่อเสียแล้ว” เจ้าบ้านแปดพูดพลางมองผืนน้ำเบื้องหน้า “ฮั่วเซียนกูจะลงใต้มาในฐานะเจ้าบ้าน”

“ทางเอ้อร์เหยียยังคงเงียบอยู่ แต่เฉินผีอาซื่อมีข่าวเรื่องรวบรวมลูกศิษย์ มีแต่คนให้ความสนใจเรื่องนี้” อู๋เหลาโก่วถอนหายใจ “เซี่ยจิ่วว่าซานเหยียก็ตอบตกลง...ขาดเพียงลิ่วเหยียเก้าสกุลก็จะกลับมารวมกันอีกครั้ง”

“ลิ่วเหยียไร้ทายาท แต่บ้านหกจะมีตัวแทนใหม่”

“รู้ขนาดนี้แล้วเจ้ารู้ด้วยไหมว่าพวกเรากำลังจะไปทำอะไรกัน” เสียงแค่นหัวเราะดังขึ้น “รัฐบาลจะจ้างโจรไปทำอะไร เก็บกู้สมบัติชาติ?”

“...ข้าเห็นเพียงแต่ทางเดินสีดำมืดที่อาบไปด้วยเลือด”

“เห็นอย่างนั้นเจ้าก็ยังกลับมา?” เขาหันไปถามทันที

“จางฉี่ซานในขณะนี้ก็เหมือนเกาทัณฑ์ง้างอยู่บนคันศร ไม่ปล่อยก็ไม่ได้ จะผ่อนสายก็ไม่ทันแล้ว” ฉีเถียจุ่ยหันกลับมาสบตาเพื่อน “ข้อเสนอของทางการจะนับว่าคุ้มค่าก็คุ้มค่า หากล้างมลทินของตระกูลได้พวกเราก็มีโอกาสที่จะเริ่มใหม่”


หนึ่งในข้อเสนอของการคีบลามะครั้งนี้คือแลกเปลี่ยนกับโทษทัณฑ์ในอดีต ทั้งเก้าสกุลจะเป็นอิสระจากการตามกวาดล้างของทางการ แม้จะเจ็บปวดกับชีวิตเพื่อนพ้องที่สูญเสียไปแต่สำหรับสกุลอู๋ที่ขึ้นลงกรวยมาตั้งแต่จำความได้ การล้างประวัติที่แปดเปื้อนนั้นจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเริ่มต้นใหม่...โดยยังไม่นับถึงเหตุผลอื่นที่ทำให้อู๋เหลาโก่วตกลงอย่างไม่ต้องคิด


“นั่นมันคุ้มค่าสำหรับสกุลระนาบอย่างข้า พวกเจ้าสามสกุลล่างไม่จำเป็นต้องใช้เงื่อนไขนี้ก็ยังใช้ฉากหน้าค้าขายต่อไปได้”

“สกุลฮั่วมีชนักติดหลังมากเกินไป ทั้งเรื่องพี่ชายของฮั่วเซียนกู ทั้งเรื่องคว่ำกรวย ต่อให้แต่งงานเข้าอิงกับหน่วยเหนือก็ยังลำบาก” ฉีเถียจุ่ยอธิบายช้าๆ “สำหรับพวกข้าเรื่องนี้ก็ยังมีประโยชน์ และอีกประการคือข้ากับเซี่ยจิ่วรู้ดีว่าเจ้าจะตกลง”


อู๋เหลาโก่วเม้มปากแน่น เขารู้ดีว่านี่คือความจริงใจของเพื่อนที่มอบให้กันมายาวนาน


“เหลาอู่ ข้าเคยตั้งใจเอาว่าจะไม่ตรวจดวงชะตาให้กับชนชั้นปกครองเพราะชะตากรรมของเขาเหล่านั้นผูกโยงกับคนมากมายเกินไป...พ่อพระใหญ่จางเองก็เช่นกัน”

“พอเถอะ ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าไม่อยากรู้สิ่งที่ยังมาไม่ถึง” เขาตัดบทเพื่อนพร้อมหันไปยิ้มให้ “ขอโทษนะเหล่าปา อย่างไรข้าคงไม่เปลี่ยนใจ หากเมื่อใดที่พวกเจ้ารู้ว่าได้ไม่คุ้มเสีย จงไปเถอะ อย่าห่วงข้า”


เถ้าแก่บ้านแปดฟังดังนั้นก็เลิกคิ้วก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากในลำคอ แววตาหลังกรอบแว่นมีประกายบางอย่างฉายออกมา


“เจ้ายังคงเหมือนเดิมเสมอ เหลาอู่” เขาพูดออกพร้อมกับสีหน้าผ่อนคลาย “คนที่ยังมองโลกในแง่ดีอยู่ได้แม้ในสถานการณ์เช่นนี้คงมีแต่เจ้า อย่าลืมว่าพวกข้าก็เป็นหนึ่งในเก้าสกุลใหญ่ เรื่องชั่วช้าก็ทำมาไม่น้อยเลย”

“คราวนี้เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าไม่กลัวพวกเจ้าหรอก อย่ามาพูดขู่ให้ใจเสียหน่อยเลย” อู๋เหลาโก่วเม้มปากพลางตอบอย่างหงุดหงิด


คนฟังได้ยินดังนั้นก็หัวเราะลั่นซึ่งอาจจะเป็นเสียงหัวเราะที่ดังที่สุดในรอบสิบปีนี้ก็เป็นได้ หลังจากถกเถียงกันจนพอใจทั้งสองยืนคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่ริมน้ำอีกสักพักก่อนที่ครูฝึกหมาจะต้องขอตัวไปทำหน้าที่ของตน


ใบไม้เรียวเล็กของต้นหลิวเสียดสีกันเองตามแรงลมเกิดเป็นดนตรีชวนเหงา หมอกจางทิ้งตัวลงมาเรื่อยๆ จนประกายบนผิวน้ำเริ่มอ่อนแสง เถ้าแก่บ้านแปดส่งยิ้มไล่หลังเพื่อนไปก่อนที่ดวงตาสีดำล้ำลึกจะฉายแววหม่นหมองออกมาอย่างปิดไม่มิด

โก่วอู่แห่งฉางซาไม่ชื่นชอบการพยากรณ์นักแม้จะหลงใหลการพนันไม่แพ้ฮูหยินของเฮยเป้ยเหล่าลิ่ว หลายครั้งที่เขาอยากเตือนออกไปแต่คำพูดก็ติดค้างอยู่ตรงริมฝีปาก...รวมถึงครั้งนี้ก็เช่นกัน


ชั่วชีวิตของอู๋เหลาโก่วนั้นดีและยืนยาว...แต่จะมีอยู่สองเรื่องที่ไม่อาจเป็นได้ดังใจ


เรื่องหนึ่งคือเรื่องของพี่ชาย...ส่วนอีกเรื่องนั้นกำลังจะมาถึง


++++++


สายฝนที่ตกลงมาไม่หยุดหย่อนทำให้อากาศเย็นชื้นอยู่ตลอดเวลาจนคนที่เคยชินกับอากาศไม่รู้สึกอึดอัดเท่าไร แต่หมอกที่หนาหนักรอบอาคารทำให้ไม่สามารถเห็นบรรยากาศโดยรอบได้จนมองคล้ายกับถูกขังอยู่ในคุก

ชายในชุดเครื่องแบบยืนมองออกไปด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย มือทั้งสองไพล่หลังอย่างเคยชินในท่วงท่าที่สง่างาม สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอะไรปิดซ่อนความรู้สึกเอาไว้ได้เป็นอย่างดี


เวลาสิบปีที่ผ่านมาจางฉี่ซานเคยมาเยือนหังโจวหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งเขาจะรีบเร่งทำธุระให้เสร็จแล้วจากไป แม้แต่ทะเลสาบซีหูก็ยังไม่เคยได้มองเต็มตาจริงๆ

เขากลัวว่าหากอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้อาจจะพบเจอกับคนที่หลีกหนีมาตลอด...และจะไม่สามารถหันหลังให้ได้เหมือนครั้งนั้นอีก


‘ไปหังโจวซะ ลืมเรื่องนี้ไปให้หมด’


จางฉี่ซานเป็นคนพูดประโยคนี้ออกมาเองที่ริมแม่น้ำซ่งฮวาเจียง แต่ตัวเขาเองกลับไม่เคยลืมได้แม้แต่เสี้ยววินาที


บาปกรรมที่ตัวเขาเองสร้างขึ้น ก็มีแค่สองบ่านี้ที่ต้องแบกรับ...เขาไม่อาจดึงใครมาทุกข์ทรมานด้วยได้อีก


สิบปีที่ผ่านมาแผ่นดินจีนมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมายภายใต้เบื้องหลังของความอดอยากที่โหดร้าย ขั้วอำนาจไหลเปลี่ยนเวียนวน การทรยศหักหลังและผลประโยชน์เป็นเรื่องดำมืดที่กลายเป็นความปกติสามัญ

ตัวเขาเองก็ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็หันกลับมาเห็นแต่เส้นทางที่ย้อมด้วยเลือดแดงฉาน...อ่อนล้าที่จะก้าวต่อไปเพียงใดแต่ก็ไม่อาจก้าวถอยหลัง


บนเส้นทางนี้สมควรมีแต่ตัวเขาเพียงผู้เดียว


“พวกเขามารวมตัวกันครบแล้ว”


จางฉี่ซานกล่าวขึ้นในความเงียบงัน เมื่อหันหลังกลับไปห้องที่เคยอยู่เพียงลำพังก็มีแขกผู้มาเยือนในมุมมืด


“ข้าขอพูดกับพวกเขาด้วยตัวเอง” เสียงราบเรียบกล่าวขึ้นช้าๆ

“เจ้าคิดว่าพวกเขาจะเชื่องั้นหรือ” นายทหารใหญ่ถามกลับในทันที “การเปิดเผยตัวตนของเจ้าตอนนี้มีแต่ผลเสีย”

“แต่พวกเขาจำเป็นต้องรับรู้เงื่อนไขของข้า”


คนในเงามืดก้าวออกมาเผยให้เห็นเสี้ยวหน้าอ่อนวัย ชายผู้นี้มีรูปร่างสูงสมส่วน แม้จะอยู่ในชุดรัดกุมแต่ก็ยังเห็นความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แบบ ท่าทางนิ่งเฉยนั้นไม่หวั่นเกรงต่อบุคคลผู้มีอำนาจตรงหน้าแม้แต่น้อย


“จุดประสงค์ของข้ากับของท่านไม่เหมือนกัน และพวกเขาต้องได้รู้ในจุดนี้” เสียงทุ้มย้ำคำเดิม

“เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าเป็นคนที่มาขอความช่วยเหลือ”

“แต่ท่านจำเป็นต้องมีข้า”


เสียงแค่นหัวเราะดังขึ้นจากผู้ที่สูงวัยกว่า นายทหารหรี่ตามองใบหน้ารูปสลักของคนตรงหน้า แววตาว่างเปล่านั้นไม่สะท้อนความรู้สึกใดออกมาแม้แต่น้อย


“สกุลจางถึงจุดที่ต้องล่มสลายแล้ว...จางฉี่หลิง”

“ข้ารู้...แต่หากพวกท่านไม่ยอมรับเงื่อนไข ความลับในประวัติศาสตร์พันปีของแผ่นดินจีนก็จะตายจากไปพร้อมกับสกุลของเรา...จางฉี่ซาน”


เมื่อพูดจบ ก็เดินจากไปพร้อมเสียงฝีเท้าเงียบงัน คนผู้นี้มีวิชาร้ายกาจราวกับภูตผี แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ใจนิ่งสงบของพ่อพระใหญ่แห่งฉางซาร้อนรุ่ม

นายทหารใหญ่รู้ดีถึงความหมายแฝงในคำพูดของอีกฝ่าย เพียงแต่เขาได้คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ มาตลอดสิบปี ทุกสิ่งทุกอย่างได้กลั่นกรองผ่านเหตุผลและความรู้สึก...เขาได้ตัดสินใจไปแล้ว


จางฉี่ซานไม่อาจก้าวถอยหลังได้อีก


...TBC next week

Saturday 30 July 2016

[fic] 「緣分」 fate 01 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

「緣分」

fate




Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)

Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

Rate : G

Timeline : ช่วงปี1960-1963

***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event2 28/8/59***

แบบสอบถามความสนใจ+รายละเอียดค่ะ >> https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfZokZ6TKMev2-oNPyhfYMPvrmB4TDHrwEnpPdWVCocyIIx1g/viewform


01



ช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาแม้ไฟสงครามจะมอดดับไปนานแล้วแต่เถ้าถ่านของความเสียหายยังคงไม่ปลิวไปไหน ความบอบช้ำของสาธารณรัฐประชาชนจีนทั้งหมดนับเป็นมูลค่ามหาศาลที่ไม่อาจกอบกู้คืนมาได้ในเวลาอันสั้น

แนวคิดเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดดของเหมาเจ๋อตุงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ผลผลิตทางการเกษตรไม่ได้ตามเป้าหมาย ระบบพัฒนาอุตสาหกรรมยิ่งไม่คืบหน้า ทำให้เกิดข้อกังขามากมายในระบบการบริหารรวมถึงความเชื่อมั่นของนานาชาติที่มีต่อพรรคคอมมิวนิสต์ ปัญญาชนในประเทศเริ่มทนไม่ไหวจึงเกิดการโต้ตอบด้วยความคิดเห็นรุนแรงขึ้นในแผนการร้อยบุปผาระยะที่สองร่วมกับการคว่ำบาตรจากประเทศต้นแบบของระบอบคอมมิวนิสต์อย่างรัสเซียส่งผลให้อำนาจในมือของประธานเหมาสั่นคลอนอย่างหนัก

ยิ่งการเมืองในชาติไม่มั่นคง ก็ยิ่งไม่มีใครเหลียวแลประชาชนนับแสนนับล้านชีวิตที่ต้องอดมื้อกินมื้ออย่างไร้ความหวัง แผ่นดินในเวลานี้กลายเป็นเวทีแย่งอำนาจและผลประโยชน์ของบรรดาสิ่งมีชีวิตใหม่ที่เรียกว่านักการเมืองไปอย่างน่าเศร้า


ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินลัดเลาะผ่านตรอกซอกซอยในเมืองหังโจวอย่างคุ้นเคย พื้นถนนสกปรกไร้การดูแลเริ่มมีคนจรจัดมาจับจองมากขึ้น ป้ายไม้หางานที่ยอมรับจ้างทำทุกอย่างมีให้เห็นโดยทั่วไป สิบปีที่เขาย้ายจากฉางซามาอยู่ที่นี่ สภาพเมืองมีแต่จะแย่ลงทุกทีอย่างไร้ทางแก้ไข

ความอดอยาก ตกงานและอาชญากรรม สิ่งเหล่านี้ทำให้อู๋เหลาโก่วคิดถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง...สุดท้ายแล้วการสู้รบก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนอิ่มท้องขึ้นมา


เสียงเห่าเบาๆ ของสุนัขดำข้างตัวทำให้เจ้าของต้องเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้า เมฆสีดำลอยตัวลงต่ำพร้อมกับพระอาทิตย์ที่กำลังทิ้งตัวลงตรงขอบฟ้าทำให้เขาต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น


“ถ้าธุระด่วนของเสี่ยวจิ่วจิ่วฟังไม่เข้าท่าเจ้าวิ่งไปงับได้เลยนะ”


เถ้าแก่หมาห้าแห่งฉางซาก้มบอกสหายแม้จะรู้ดีว่าคนที่ตัวเองกล่าวถึงนั้นไม่มีทางทำอะไรไม่มีเหตุผล


หนึ่งคนหนึ่งหมาวิ่งไปตามทางเดินซับซ้อนไปจนถึงหน้าประตูไม้ขนาดไม่ใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มบ้านเก่าโทรม...ใครจะไปคิดว่าฉากหลังที่ซ่อนอยู่นั้นคือบ้านใหญ่ของสกุลเซี่ยในขณะนี้

อู๋เหลาโก่วส่งสัญญาณเป็นรหัสลับอย่างเคยชินไม่นานก็มีคนมาเปิดประตูให้ ด้านหลังนั้นยังเป็นประตูกลไกอีกหลายชั้นกว่าจะเข้าถึงสวนบ้านอันเรียบง่ายตามรสนิยมเจ้าของบ้าน


“เถ้าแก่มีแขกอยู่ แต่บอกให้ท่านเข้าไปได้เลยเมื่อมาถึง” 


เด็กรับใช้สกุลเซี่ยกล่าวด้วยเสียงสุภาพพร้อมกับผายมือไปที่ทางเดินสู่ห้องรับแขก ก่อนจะยกชามข้าวที่เตรียมเอาไว้แล้วมาให้สุนัขดำอย่างรู้งาน


แต่เมื่อเจ้าบ้านสกุลอู๋เดินไปได้ครึ่งทางกลับมีคนเดินสวนออกมา เด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารทำความเคารพให้แล้วก็ก้าวผ่านไป อู๋เหลาโก่วไม่รู้สึกแปลกใจนักเพราะก่อนที่จะเข้ามาก็สังเกตว่ามีรถทหารจอดอยู่ไม่ไกลนักแล้ว แต่เขาอยากรู้มากกว่า ว่าเรื่องเร่งด่วนจากทางการในครั้งนี้จะเป็นอะไร


“เมื่อไรจะเลิกนิสัยเปิดประตูห้องคนอื่นโดยไม่บอกก่อนเสียที” ทันทีที่ก้าวเข้าไปคำพูดเย็นชาก็ลอยมาปะทะหน้า

“เจ้ากับข้าไม่ใช่คนอื่นนี่” ตอบกลับพลางหัวเราะพร้อมกับเดินลอยหน้าไปนั่งโดยไม่รอคำเชิญ “ว่าอย่างไร ทำเอาข้าต้องวิ่งหลบฝนมาถึงนี่ ไอ้หนูทหารนั่นเอาเรื่องร้อนอะไรมาโยนใส่เจ้ากัน”

“เหลาอู่ ในค่ายทหารเขาไม่อบรมมารยาทให้เจ้าบ้างหรือไง” เซี่ยจิ่วเหล่เพื่อนสนิทด้วยสายตาเย็นชา

“ข้าไปฝึกทหารหมา ไม่ได้ฝึกทหารคนนี่”


คนฝึกหมาของกองทัพทำลอยหน้าลอยตาจนอีกฝ่ายต้องถอนหายใจ เซี่ยจิ่วขยับแว่นตาแล้วยืดตัวนั่งหลังตรงเป็นการบ่งบอกว่าจะเริ่มเข้าเรื่องจริงจัง


“มีคนจะคีบลามะ”


เมื่อสิ้นสุดประโยคนั้นหัวคิ้วของคนฟังก็ขยับเข้าหากันทันที บรรยากาศอึมครึมลอยลงมาปกคลุมทั่วห้องรับแขก


“ใคร?”

“พูดไปเจ้าจะไม่เชื่อ”


เถ้าแก่สกุลเซี่ยยกยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ยชื่อผู้ถือครองอำนาจอันดับต้นๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์ออกมา


“...เจ้าโกหก”

“ตอนได้ยินครั้งแรก...ข้าก็รู้สึกแบบเจ้านั่นแหละ”


อู๋เหลาโก่วสบถยาวเหยียด...ภายหลังการปฏิรูปที่ดินสิ้นสุดในปี 1952 การขุดสุสานโบราณนั้นถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงตามกฎหมาย ตำนานเมืองฉางซาเสมือนถูกกวาดล้างจนเหลือเพียงเรื่องเล่า ยอดฝีมือมากมายล้มตายไปในเหตุการณ์นั้น และหนึ่งในนั้นคือเฮยเป้ยเหล่าลิ่วแห่งบ้านหก

เหล่าโจรขุดสุสานแห่งฉางซาเคยย่ามใจเสมอว่าทางการไม่มีหลักฐานเอาผิดอะไรจนกระทั่งฉิวเต๋อเข่าได้นำเอาความลับนั้นไปมอบให้กับทางการก่อนจะขึ้นเรือหนีกลับบ้านเกิด

เมื่อมีสิ่งมัดตัวก็ย่อมหลีกหนีไม่พ้น อำนาจทหารในยุคการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ถือเป็นที่สุด สหายผู้เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาในวงการหลายคนถูกโทษประหาร หลายคนถูกทรมานเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม...ซึ่งทุกคนล้วนไม่ตายดี อาชีพนี้ไม่ใช่อาชีพมีเกียรติ วิถีโจรย่อมตายอย่างโจร แต่เมื่อหวนนึกถึงคราวใดก็ไม่อาจต้านความรู้สึกโศกเศร้าได้


ชายหนุ่มหลับตาลง...หนึ่งในหลักฐานชิ้นสำคัญที่ฉิวเต๋อเข่ามอบให้กับทางการนั้นมาจากมือของเขาเอง ความผิดบาปนี้เขาก็มีส่วนที่ต้องแบกรับ

แต่ในเมื่อความผิดที่พวกเขากระทำมันร้ายแรงถึงเพียงนั้น...แล้วทำไมในวันนี้ผู้ที่เคยสั่งฆ่าพวกเขากลับกลายมาเป็นเจ้ามือในการคีบลามะไปได้


“พวกเขาเลือกยื่นข้อเสนอมาให้พวกเราเพราะมีคนแนะนำ” เซี่ยจิ่วเคาะปลายนิ้วลงบนกระดาษที่กางอยู่ตรงหน้า “คนนอกวงการเป็นเจ้ามือก็คือเจ้าของเงิน แต่คนคีบลามะตัวจริงคือคนอื่น”

“หึ มาถึงบ้านสกุลเซี่ยได้ก็คงไม่ใช่คนอื่นคนไกลกระมัง”


ได้ฟังดังนั้นรอยยิ้มประหลาดก็ถูกจุดขึ้นที่มุมปากของซือเย๋แห่งฉางซา แต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรต่อความรู้สึกยุกยิกในแขนเสื้อก็ทำให้เขาต้องก้มลงไปดุ


“เฮ้ ซันชุ่นติง เจ้าเป็นอะไร?”


เจ้าตัวน้อยดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขน ท่าทางกังวลจนพวงหางสะบัดไปมานั้นทำให้เจ้าของต้องขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ แต่คนที่อีกฝั่งของโต๊ะกลับมองแล้วยกยิ้มให้


“กลิ่นที่คุ้นเคย ถึงสิบปีผ่านไปก็ยังไม่ลืมสินะ”

“...เจ้าจะพูดอะไร”


คำพูดนั้นของเพื่อนสนิททำให้เขารู้สึกสะกิดใจ ใครกันคือคนวงในที่จะรู้ลึกถึงขนาดส่งคนมาถึงบ้านสกุลเซี่ยได้...และยิ่งสบสายตาของเซี่ยจิ่วที่จ้องตอบมาอู๋เหลาโก่วก็ยิ่งรู้สึกเหมือนใจหล่นวูบไปในหลุมมืดมิด


“ ‘เขา’ มาที่นี่ด้วยตัวเอง” เสียงราบเรียบตอบ “ข้าบอกไปว่าเดี๋ยวเจ้าจะมา เขาเลยขอตัวออกไปก่อน”


ฟังไม่ทันจบประโยคดีอดีตเจ้าบ้านห้าแห่งฉางซาก็หมุนตัววิ่งออกจากห้องไป เซี่ยจิ่วมองตามแผ่นหลังนั้นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ


สิบปีผ่านไปแล้วสินะ...


++++++


ม่านน้ำด้านนอกยังคงไหลลงมาจากฟ้าไม่หยุด หมอกฝนทำให้เห็นภาพเบื้องหน้าได้ไม่ชัดแต่อู๋เหลาโก่วก็ไม่ลังเลที่จะก้าวขาออกไปทันที หัวใจเต้นเร็วจนแทบจะหลุดออกมาจากอก แม้จะเป็นเพียงระยะทางสั้นๆ แค่ผ่านสวนหน้าบ้านออกไปเขาก็รู้สึกเหมือนจะทนรออีกไม่ไหว แอ่งน้ำเจิ่งนองกระเซ็นจนเปรอะเปื้อนไปหมดแต่เจ้าตัวก็ไม่สนใจ

ชายหนุ่มวิ่งออกมาจนถึงหัวมุมที่รถทหารคันนั้นเคยจอดอยู่ แล้วก็เกือบจะทรุดลงไปเมื่อพบกับความว่างเปล่า มือสั่นเทาปาดหยาดน้ำที่เปรอะอยู่บนหน้าออกก่อนจะหัวเราะแห้งๆ กับตัวเอง


นี่เขากำลังคาดหวังอะไรอยู่กันนะ...


“...เลยเปียกฝนอีกแล้ว”


อู๋เหลาโก่วเปรยพร้อมกับหมุนตัวจะเดินกลับไปยังทางเดิมแต่การขยับไปมาในแขนเสื้อทำให้เขาชะงัก แล้วซันชุ่นติงโผล่หน้าออกมาเห่าเบาๆ


แสงสลัวปรากฏขึ้นในม่านหมอก พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่โดนสายฝนกลบจนเกือบไม่เหลือ รถทหารขยับเข้ามาจนถึงระยะที่มองเห็นแล้วจึงหยุดลง

ประตูรถด้านหลังเปิดออกพร้อมกับเงาที่ทำให้ใจกระตุกจนเจ็บ ร่างสูงสง่าของนายทหารใหญ่ยังคงดูดีเสมอในเครื่องแบบสีเข้ม...เวลาสิบปีไม่ได้ทำให้ภายนอกดูเปลี่ยนแปลงไปนัก

แสงจ้าจากไฟท้ายรถทำให้เขาเห็นสีหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด แต่อู๋เหลาโก่วกลับรับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ส่งผ่านมาได้อย่างชัดเจนจนขอบตาร้อนผ่าว จางฉี่ซานยังคงเหมือนเดิมในความรู้สึก...ยังคงเป็นคนนั้นคนเดิม


ทั้งคู่ได้ยืนมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นท่ามกลางสายฝน โดยไม่มีใครเอ่ยคำพูดอะไรออกมาได้ แม้แต่ในตอนที่นายทหารใหญ่ก้าวกลับขึ้นรถไปก็ยังไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก

เมื่อแสงจากไฟรถยนต์จางหายไปในสายฝน ขาทั้งสองข้างของเขาก็ไม่อาจพยุงร่างกายเอาไว้ได้อีก อู๋เหลาโก่วทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าลงบนแอ่งน้ำจนเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปหมด ชายหนุ่มกอดตัวเองที่สั่นเทาเอาไว้แน่นปล่อยให้น้ำอุ่นๆ ไหลออกจากขอบตาปะปนกับสายฝน


ความโหยหาที่กดเอาไว้ลึกสุดของก้นบึ้งทะลักทลายออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ เขารู้ดีว่าเมื่อครู่หากตนขยับหรือพูดอะไรออกไปจะไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกที่โหมกระหน่ำได้อีก


เขาคิดถึงจางฉี่ซานมาก...อย่างที่ตัวเองก็คาดไม่ถึง


ซันชุ่นติงคลานออกมาจากแขนเสื้อ พยายามเช็ดน้ำตาให้เจ้าของด้วยลิ้นเล็กๆ เจ้าหมาน้อยแม้จะรู้สึกหนาวเพราะความเปียกและสายฝนแต่มันก็รู้ดีว่าใจของเจ้าของหนาวเหน็บยิ่งกว่า


ในความมืดมิด เซี่ยจิ่วเดินฝ่าสายฝนมาพร้อมกับร่มสองคันในมือ เจ้าบ้านเก้าหยุดยืนข้างเพื่อนสนิทแล้วยื่นมือออกไปกางร่มให้ เขายืนรอเงียบๆ ไปเนิ่นนานจนเสียงสะอื้นเบาลงจึงเริ่มพูด


“พ่อพระใหญ่จางกำลังจะคีบลามะ” เขาเอ่ยขึ้น “ข้า กับเจ้า...และเก้าสกุลทุกคนที่ยังเหลืออยู่”


เถ้าแก่แห่งบ้านเก้าหยุดถอนหายใจพร้อมกับมองหยดน้ำที่ยังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย


“หากเจ้าตกลง...ครั้งนี้ข้าจะไปด้วย”


อู๋เหลาโก่วขยับตัวเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสูดจมูก สายตายังคงจับจ้องไปยังทางที่แสงไฟลับตาไป เขาไม่ได้ตอบอะไรแต่เซี่ยจิ่วก็รู้คำตอบดี


ความรู้สึกที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้เป็นเวลาสิบปีถูกปลดกุญแจออกมาอีกครั้ง
...พร้อมกับเค้าลางของเรื่องราวที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาล




TBC ... next week

Sunday 12 June 2016

[fic] 「緣分」 fate 00 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)


「緣分」

fate




Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)

Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

Rate : G

Timeline : ช่วงปี1960-1963

***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event2 28/8/59***

แบบสอบถามความสนใจ+รายละเอียดค่ะ >> https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfZokZ6TKMev2-oNPyhfYMPvrmB4TDHrwEnpPdWVCocyIIx1g/viewform





00







อาคารอิฐฉาบปูนหลังใหญ่ซึ่งถูกล้อมด้วยรั้วหนามยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางสายหมอกที่ทิ้งตัวลงต่ำตามความชื้นแฉะของอากาศ เสียงฝีเท้ากระทบพื้นกรวดจำนวนมากดังไปทั่วลานกว้างด้านใน สุนัขตัวใหญ่ยักษ์หลายพันธุ์วิ่งเรียงกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบโดยไม่ส่งเสียงเห่า




“หดหู่จังนะ...”




เสียงแหบเปรยขึ้นเบาๆ จากคนที่กำลังยืนเหม่อมองท้องฟ้าสีเทาขมุกขมัว




“นั่นสิ” อีกเสียงตอบก่อนจะทำเสียงขึ้นจมูก “จะตายเมื่อไร คงได้แต่นับเม็ดข้าวสารรอ”

“...ทางนั้นเขาไม่เอาเราแล้วนี่”

“ก็ไม่น่าแปลก ทุกวันนี้ก็เหมือนหมาบ้า กัดกับฝูงอื่นเสร็จก็หันมากัดกันเอง ไม่ได้คิดเลยว่าอาจจะอดตายก่อนโดนขย้ำคอหอย”

“พูดถึงอดตาย...คนที่บ้านเก่าข้าเพิ่งย้ายเข้ามาหังโจว บอกจะให้หางานให้ อยู่นู่นทำนาก็อดตาย สู้เข้าเมืองมาเสี่ยงดวงเอาเขาว่าอาจจะดี” ว่าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เขาที่ว่านั่นมันใครกันล่ะวะ ในเมืองตอนนี้ก็มีแต่คนตกงานแต่ไม่มีงาน ไอ้การพัฒนายี่สิบปีในหนึ่งวันอะไรนั่นมันก็แค่ขายฝันลมๆ แล้งๆ”




คำพูดแบบกระแทกกระทั้นใส่อารมณ์นั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวังจนคนฟังอยากจะอ้าปากเข้าผสมโรงต่อด้วยอย่างอัดอั้นถ้าไม่ติดว่ามีเสียงกระแอมไอดังขึ้นจากด้านหลัง ทั้งคู่สะดุ้งสุดตัวเพราะไม่คิดว่าจะมีใครผ่านเข้ามาได้ยิน อาการลนลานถูกเก็บเอาไว้เหลือเพียงสายตาเลิกลั่ก เหงื่อที่ซึมชื้นตรงขมับและมือที่เลื่อนแตะปืนพกข้างเอว




“สมัยนี้เป็นอย่างไรข้าไม่ใคร่แน่ใจนัก แต่สมัยก่อนพูดจาหมิ่นเบื้องสูงโทษคือจับตัดลิ้น” ชายวัยกลางคนก้าวเข้ามาที่ทางเดินข้างลาน สีหน้าเรียบเฉยนั้นมีแววตำหนิในดวงตาก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากแล้วกล่าวไปคนละเรื่อง “วันนี้ข้าขอตัวก่อนเวลา อีกไม่นานฝนคงลงเม็ด”

“...ครับท่าน” นายทหารคนแรกได้สติโค้งศีรษะให้อีกฝ่ายก่อนพร้อมกับรับคำด้วยเสียงเบาหวิว มือเลื่อนกลับมาอยู่ที่ตะเข็บกางเกงเหมือนเดิม “พวกข้าต้องขออภัยด้วยครับ”

“ขอโทษอะไร ข้าไม่ได้ยินอะไรแม้แต่นิดเดียว”




เจ้าของคำกล่าวนั้นหัวเราะในลำคอแล้วก้าวผ่านหน้าไประยะใกล้เพียงหนึ่งช่วงแขนแต่นายทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดีเช่นพวกเขากลับไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเลยสักนิด ชายผู้นี้ดูภายนอกท่าทางเหมือนคนธรรมดาทั่วไปแต่กลับมีรัศมีบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกยำเกรง




“...เกือบไปแล้วไง” ทันทีที่แผ่นหลังนั้นลับตาลมหายใจก็พรูออกมาอย่างโล่งอก

“โชคดีดีที่เป็น ‘คนฝึกหมา’ หากเป็นคนอื่นมาได้ยินพวกเราคงไม่รอด”

“เขาเป็นใครกัน”

“นี่เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ” เสียงตอบถูกหรี่ลงไปอีกจนอีกฝ่ายต้องขยับเข้ามาใกล้อย่างสนใจ “เขาว่า ‘คนฝึกหมา’ คนนี้เคยเป็นคนมีชื่อเสียงในฉางซา”

“หืม เจ้าจะบอกว่าคนคนนี้เป็นหนึ่งในตำนานโจรขุดสุสานของฉางซาน่ะหรือ” ถามกลับไปอย่างเหลือเชื่อ “ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องแต่งเล่ากันสนุกๆ เสียอีก”

“จะไปแน่ใจได้หรือ...แต่เท่าที่ดู เขาก็ใช่คนธรรมดาเสียเมื่อไรเล่า “




เสียงพูดคุยที่ดังสะท้อนมุมตึกทำให้ชายผู้ถูกนินทาระยะใกล้ถอนหายใจ...เพิ่งถูกด่าไปยังไม่ทันสิ้นคำดีก็ปากหาเรื่องต่อ มันน่าปล่อยให้ถูกลากคอไปซ้อมสักรอบจะได้เข็ดขยาด




“เรื่องของพวกเรากลายเป็นนิทานหลอกเด็กไปเสียแล้ว” เสียงเห่ารับคำเบาๆ ดังออกมาจากในแขนเสื้อ “แต่ก็ถูกของพวกเขานะ...ถึงตอนนี้แล้ว แม้แต่ตัวข้าเองกับหลายๆ เรื่องก็ยังคิดว่ามันอาจจะเป็นแค่ความฝัน”




นอกรั้วหนามที่ถูกเลื่อนเปิดให้นั้นเริ่มมีหยดน้ำเล็กๆ โปรยปรายลงมาดังคำกล่าวเมื่อก่อนหน้านี้ เขาปฏิเสธคำเสนอที่จะนำรถไปส่งให้ในตัวเมืองของนายทหารที่เฝ้าประจำการอยู่อย่างสุภาพก่อนจะก้าวเดินออกไปกลางฝนหมอกที่ทำให้ภาพเบื้องหน้าลางเลือน




“เหมือนเราก็เคยเดินตากฝนด้วยกันแบบนี้เลยนะ กลับบ้านกันเถอะ...ซันชุ่นติง”







TBC...




#ปล่อยของรายสัปดาห์ค่า

Thursday 2 June 2016

[Fic] Letter from Edinburgh (Yangyang x Liyifeng) [END]


*ฟิคสั้นวาเลนไทน์ค่ะ อย่าถามว่าทำไมเพิ่งเอามาลงป่านนี้ 55555 ตั้งใจจะมาอัพวันละตอนจนจบนะคะ :)*


Letter from Edinburgh

-1-

เสียงถอนหายใจดังขึ้นในห้องพักที่มีเพลงจากคอมพิวเตอร์บนโต๊ะบรรเลงอยู่เบาๆ กล่องกระดาษใบสุดท้ายถูกพับเก็บแล้วสอดเอาไว้หลังตู้วางของก่อนที่เจ้าของห้องจะไปลากเครื่องดูดฝุ่นมาทำความสะอาดอีกครั้งเป็นอันเสร็จสิ้นพิธี หลี่อี้เฟิงหันมองข้าวของที่ถูกจัดเรียบร้อยอย่างภาคภูมิใจ

เดือนธันวาคมแบบนี้อากาศภายนอกหนาวจนแทบแข็งตายแต่เขาที่ย้ายของเข้าห้องพักใหม่ใกล้มหาวิทยาลัยกลับใช้แรงในการจัดห้องมาตั้งแต่ช่วงสายจนเหงื่อซึมชื้นตรงไรผม...จริงๆ นี่ไม่ใช่ช่วงที่ควรย้ายห้องพักแต่หลี่อี้เฟิงมีความจำเป็นบางประการทำให้ต้องเดินฝ่าหิมะไล่หาอยู่เป็นสัปดาห์จนมาเจอห้องนี้ซึ่งเจ้าของเพิ่งย้ายออกไปได้ไม่นาน หลังจากตัดสินใจปุบปับเขาก็เซ็นสัญญาแล้วย้ายของเข้ามาทันทีโดยไม่ทันได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนคนไหน ทำเอาต้องใช้แรงไปไม่น้อยกับการขนข้าวของมหาศาลของตัวเองขึ้นมาถึงชั้นสี่โดยที่ไม่มีลิฟต์
ชายหนุ่มลูบหน้าท้องซึ่งเริ่มประท้วงเบาๆ แล้วตัดสินใจคว้าเสื้อนอกกับกระเป๋าเงินเดินออกมา ลมหนาวหอบเอาเกล็ดหิมะพักเข้าหน้าทันทีที่เปิดประตู ดวงตาโตกะพริบสองสามครั้งก่อนจะเพ่งมองฝ่าอากาศขมุกขมัวไปยังสวนสาธารณะตรงข้ามหอพัก แล้วจึงก้าวสาวเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว


“เรียบร้อยดีไหม?” คำถามนี้เป็นของคุณลุงผู้ดูแลที่นั่งเฝ้าอยู่ชั้นล่าง ใบหน้ายับย่นฉายแววใจดีจนทำให้นึกถึงคุณปู่ที่บ้านนอก บนโต๊ะกว้างนั้นมีกาน้ำชากับแมวสีเทาตัวอ้วนที่นอนขี้เกียจชวนให้เข้าไปลูบหัวเกาคาง

“ครับ ยังไม่มีปัญหาอะไร” เขายิ้มตอบให้กับคำถามนั้น

“มีอะไรก็มาบอกแล้วกัน...เอ้อ มีจดหมายมานะ” ปลายนิ้วสั่นๆ ชี้ไปทางตู้ไม้ข้างกำแพงช้าๆ


หลี่อี้เฟิงบอกขอบคุณอีกครั้งก่อนจะเดินไปหยุดหน้าตู้พร้อมความงุนงง ชายหนุ่มไล่สายตาไปตามเลขห้องจนเจอ เขามองเพ่งเข้าไปในรูสอดจดหมายจนเห็นว่าภายในนั้นมีอะไรอยู่จริงๆ จึงหยิบกุญแจตู้ที่เพิ่งได้รับขึ้นมาไข

โปสการ์ดนั้นเป็นรูปถ่ายปราสาทโบราณเหมือนในนิทานดิสนีย์ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นของฤดูหนาวดูงดงามและเหงาจับใจ เขาไล้ปลายนิ้วไปตามขอบก่อนจะพลิกดูข้อความด้านหลัง...ซึ่งก็เป็นดังคาด โปสการ์ดนี้ไม่ได้จะส่งถึงเขา


‘ฉันมัวแต่ยุ่งกับการย้ายห้อง ที่อยู่ใหม่ข้างล่างนะ ส่งโปสการ์ดมาตามสัญญาแล้ว หยุดทวงได้แล้วโว้ย - หยางหยาง’


เขากวาดสายตาอ่านทวนซ้ำอีกรอบ ทั้งชื่อคนส่งและคนรับนั้นไม่คุ้นเลยสักนิด แต่นั่นก็ไม่ทำให้รู้สึกแปลกใจอะไรเพราะหลี่อี้เฟิงยังไม่ทันได้บอกใครเรื่องที่พักใหม่เลย แม้แต่พ่อแม่หรือเพื่อนสนิทอย่างเฉินเว่ยถิง ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะมีจดหมายส่งมาถึง

ชายหนุ่มถือโปสการ์ดนั้นไว้ในมือแล้วเดินออกไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่ตรงข้าม พื้นถนนเคลือบไปด้วยแผ่นน้ำแข็งซึ่งทำให้แต่ละก้าวนั้นลำบากมากขึ้น อากาศหนาวไปถึงขั้วกระดูกแบบนี้คงไม่มีใครอยากออกมาเดินให้ป่วยเล่นๆ ถ้าไม่ติดว่าตู้เย็นในห้องพักใหม่นั้นว่างเปล่า เขาเองก็คงเอาแต่ซุกตัวอยู่กับฮีตเตอร์ในห้องอุ่นๆ เหมือนกัน เมื่อหยิบอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งจำนวนมากใส่ตะกร้า พร้อมกับเสบียงที่พอจะทำให้เขาไม่ต้องออกไปไหนได้อีกหลายวันก็เดินไปต่อแถว

ขณะที่รอคิดเงินชายหนุ่มก็พลิกโปสการ์ดในมือขึ้นมาดูอีกครั้ง รูปถ่ายบนโปสการ์ดนั้นมีองค์ประกอบที่สวยถูกใจเขาและเมื่อเพ่งดูดีๆ ตรงมุมของภาพนั้นก็มีชื่อเครดิตตัวเล็กๆ ใส่เอาไว้

หลี่อี้เฟิงขมวดคิ้วกับตัวอักษรไม่กี่ตัวนั้น


“คุณครับ” เสียงเรียกจากพนักงานแคชเชียร์ทำให้คนที่อยู่ในภวังค์สะดุ้งเล็กน้อย เขาเปิดกระเป๋าเงินเพื่อที่จะจ่ายตังแต่ก็ต้องชะงักไปกับความคิดชั่ววูบที่แล่นเข้ามาในหัว

ชายหนุ่มหันไปมองด้านหลังว่าไม่มีใครต่อแถวหลังตนอีกแล้วจึงหันกลับมาถามพนักงาน


“มีซองจดหมายขายไหมครับ”



-2-

วันๆ ของหลี่อี้เฟิงดำเนินไปอย่างเอื่อยเฉื่อย หิมะที่สุมกันเต็มขอบถนนทำให้เขาไม่อยากจะลุกออกจากห้องเรียนซึ่งอุ่นสบายด้วยอานุภาพแห่งฮีตเตอร์ ชายหนุ่มเอาคางวางกับโต๊ะไม้เย็นเยียบอย่างเกียจคร้านจนมีน้ำหนักไม่เบานักตีลงบนหัว


“ลุกได้แล้วไอ้แมวขี้เกียจ” เจ้าของหนังสือที่ตีลงมาบอก

“เดี๋ยวลุกน่า” เขาครางตอบเบาๆ “ยังไม่ไปอีกเรอะ”

“รออยู่นี่ไง ไปๆ ลุกได้แล้ว เดี๋ยวเดินกลับด้วย”

“เฮ้ย ไม่ต้อง มีนัดไม่ใช่หรือไง”

“มี แต่ฉันจะไปดูห้องใหม่ของนายด้วย” เฉินเว่ยถิงเอาหนังสือฟาดซ้ำลงไปอีก “ไอ้เรื่องที่ย้ายออกจากหอในไม่บอกไม่กล่าวนี่ยังไม่ได้คิดบัญชีเลยนะโว้ย”


คนเพิ่งย้ายบ้านฟังแล้วก็กลอกตา...ไม่ได้คิดบัญชีแต่บ่นมาเป็นอาทิตย์ยังไม่เลิกบ่นเนี่ยนะ

สุดท้ายหนุ่มฮอตแห่งมหาลัยผู้มีนัดกับแฟนสาวอย่างเฉินเว่ยถิงก็โวยวายเกาะติดตามเขามาจนถึงห้องพักใหม่จนได้ ท่าทางของอีกฝ่ายดูจะไม่ค่อยพอใจที่ไม่มีบันได แต่เมื่อเทียบกับราคามิตรภาพและระยะห่างไม่ไกลจากมหาลัยนักก็ถือว่าดีมากแล้ว


“แล้วจะอยู่อีกนานแค่ไหน”

“เรื่อยๆ ถ้าไม่มีปัญหาก็คงอยู่จนจบ”

“คนเดียวอ่ะนะ?”

“ฉันอยู่คนเดียวได้น่าเว่ยถิง ไปๆ แฟนนายรออยู่ไม่ใช่เรอะ”


ใบหน้าหล่อขมวดคิ้วใส่ แต่หลี่อี้เฟิงทำเป็นมองไม่เห็นไป เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังเป็นห่วงเพราะเขาเป็นคนที่มีอะไรไม่ค่อยยอมบอกใครเท่าไร และสองปีที่ผ่านมาเขาก็อาศัยอยู่หอในแบบมีรูมเมตมาตลอดจนเกิดเรื่อง


“เฮ้ย เฟิงเฟิง ฉันว่า...”

“ฉันไม่เป็นหรอกน่า อยู่คนเดียวก็สบาย จะเปิดเพลงในห้องดังๆ ก็ได้ กลับดึกก็ไม่ต้องกังวลเวลาปิดประตูหอ”


เฉินเว่ยถิงทำท่าจะบ่นนู่นบ่นนี่ต่อถ้าไม่ติดว่าโทรศัพท์ดังทำให้ต้องรีบออกไปตามนัดทันที เขาโบกมือไล่หลังเพื่อนก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปในตัวอาคาร อากาศอุ่นสบายภายในพัดออกมาปะทะแก้มเย็นจัด หลี่อี้เฟิงยิ้มทักทายเจ้าของตึกพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบขนฟูของเจ้าแมวขี้เกียจบนโต๊ะ


“มีจดหมายมานะ”


ชายหนุ่มยิ้มขอบคุณก่อนจะเดินไปไขกล่องจดหมาย ซองจดหมายสีขาวที่มีความหนาประมาณหนึ่งทำให้เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้น ปลายนิ้วเย็นดึงหน้าซองออกมาอ่านทันทีก่อนจะรีบยัดใส่กระเป๋าแล้วก้าวเท้าไวๆ กึ่งกระโดดข้ามขั้นบันไดไปถึงห้องในสุดของชั้นที่สี่อย่างรวดเร็ว

ทันทีที่ล็อกประตูห้องเสร็จหลี่อี้เฟิงก็หยิบซองจดหมายออกมาแกะเปิดอย่างรวดเร็ว ด้านในนั้นมีรูปที่อัดเคลือบด้านอย่างสวยงามอยู่จำนวนหนึ่งพร้อมกับกระดาษเขียนจดหมายเนื้อเนียนอีกหนึ่งพับ


‘สวัสดีครับ…’


ลายมือหวัดเล็กน้อยบนหัวกระดาษทำให้เขาเผลอยิ้มกว้างจนตาหยี หลี่อี้เฟิงนั่งลงกับพื้น เอารูปถ่ายทั้งหมดมาวางเรียงกันแล้วเริ่มอ่านจดหมายอย่างตั้งใจ



-3-

ชายหนุ่มหอบเอากระดาษลังจำนวนมาที่ถูกพับสอดไว้หลังตู้วางของออกมากองไว้ ก่อนจะออกแรงทั้งตัวค่อยๆ ดันตู้สูงท่วมหัวให้ขยับออกจนเห็นกำแพงด้านหลังซึ่งเปื้อนคราบสีแดงเข้มดูน่ากลัว

หลี่อี้เฟิงหัวเราะออกมาเมื่อคิดได้ว่าดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้เห็นคราบนี้ก่อนที่จะได้อ่านจดหมาย เจ้าของห้องคนปัจจุบันถ่ายรูปร่องรอยอารยธรรมบนฝาผนังเก็บไว้ก่อนจะดันตู้กลับเข้าสู่ที่เดิม

และเหตุผลที่ทำให้เขาต้องลุกขึ้นมาค้นหารอยเปื้อนนี้ก็เพราะจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ


เจ้าของจดหมายนี้คือผู้ชายชาวจีนที่ชื่อ หยางหยาง ซึ่งกำลังเรียนถ่ายภาพอยู่ที่เมืองเอดินเบิร์ก ประเทศอังกฤษ หลังจากขอโทษขอโพยอยู่เป็นย่อหน้าที่ส่งจดหมายผิดเพราะเพื่อนของเขาชื่อ จิ่งปั๋วหรัน ดันไม่บอกว่าย้ายที่อยู่ไปแล้ว ทำให้หยางหยางส่งโปสการ์ดไปที่ที่อยู่เดิมซึ่งกลายมาเป็นห้องของหลี่อี้เฟิงขณะนี้ไปเสียแล้ว หยางหยางก็บอกขอบคุณที่อุตส่าห์เขียนจดหมายมาบอกเรื่องส่งผิด เพราะคนที่ชื่อจิ่งปั๋วหรันนั้นติสต์แตกติดต่อไม่ค่อยได้ มักทำให้เพื่อนๆ ไม่ค่อยรู้ว่าป่านนี้เจ้าตัวไปอยู่ไหน


‘แล้วก็ขอบคุณที่ชอบรูปถ่ายของผมด้วย ผมเลือกรูปที่ชอบส่งมาให้คุณอิจฉาเล่นๆ เอดินเบิร์กเป็นเมืองที่สวยมาก ถ้ามีโอกาสคุณน่าจะลองมาเที่ยวดูสักครั้ง’


หลี่อี้เฟิงพลิกรูปถ่ายเมืองเก่าดูทีละใบวนไปมา ถึงจะไม่ได้มีความรู้เรื่องการถ่ายภาพแต่เขาก็รู้สึกว่าหยางหยางเป็นคนมีฝีมือ ภาพเหล่านี้เหมือนมีชีวิตมีอารมณ์ความรู้สึกแทรกอยู่ ทั้งมุมมองและแสงสีดูลงตัวอย่างบอกไม่ถูก เขาชอบพวกมันมากจนตั้งใจเอามาเรียงไว้บนโต๊ะไม่ยอมเก็บ

โปสการ์ดที่ถูกส่งผิดมาในคราวที่แล้วมีเครดิตติดอยู่ด้านล่างว่า Y2 studio และเมื่อเทียบกับเจ้าของโปสการ์ดที่ชื่อหยางหยางแล้วเขาจึงเดาว่าน่าจะเป็นฝีมือของคนส่งนี่แหละ ซึ่งก็เดาได้ไม่ผิดเลย


‘ไหนๆ คุณก็มาเช่าห้องต่อจากปั๋วหรัน ผมก็มีความลับจะบอก เมื่อปีที่แล้วตอนปีใหม่พวกเราฉลองกันในห้อง มีคนเอาไวน์ที่บ้านมาแต่ดันลืมเอาที่เปิดจุกไวน์มาด้วย ตอนนั้นปั๋วหรันเสนอให้ทำตามวิธีในอินเตอร์เน็ตคือเอาผ้าพันก้นขวดแล้วกระแทกกับกำแพงให้จุกหลุดออกมา หมอนั่นมั่นใจมาก แต่พอทำเข้าจริงๆ ขวดไวน์ดันแตกคามือจนกลายเป็นรอยเปื้อนบนผนัง ผมกับเพื่อนงี้ขำจนปวดกรามไปหมด ผมถ่ายคลิปไว้ด้วยนะ หน้าหมอนั่นตลกชะมัด ตอนหลังปั๋วหรันกลัวโดนค่าปรับจากเจ้าของตึกเลยเอาตู้วางของมาวางปิดไว้ คุณลองหาดูได้ ถ้าจำไม่ผิด ถ้าคุณเดินเข้ามาในห้องมันจะเป็นตู้แรกที่อยู่ทางขวามือ’


หยางหยางเผาเพื่อนอย่างใจร้ายลงในจดหมายจนเขาสงสารคนที่ชื่อ จิ่งปั๋วหรัน ขึ้นมานิดหน่อย แต่พออ่านย้อนอีกทีก็หลุดขำไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้

หลังจากเอากระดาษลังเสียบกลับไปที่หลังตู้เหมือนเดิมแล้วหลี่อี้เฟิงก็หันไปมองนอกหน้าต่างที่หิมะยังคงทิ้งตัวลงมาไม่หยุด เขาคว้าเสื้อโค้ตกับกระเป๋าแล้วเปิดประตูออกไปเผชิญอากาศเลวร้ายอีกครั้ง


หวังว่าร้านเครื่องเขียนจะไม่ปิดเร็วนัก...หลี่อี้เฟิงคิดขณะก้าวลงบันไดเร็วๆ ไม่ต่างจากขามา ตอนนี้เขาอยากได้กระดาษเขียนจดหมายดีๆ กับกระดานไม้เอาไว้แปะรูปมากๆ



-4-

ชีวิตประจำวันในช่วงนี้ของหลี่อี้เฟิงดูจะมีเรื่องเพิ่มเติมจากเดิมเล็กน้อย สำหรับนักศึกษาคณะบัญชีอย่างเขา เดิมทีร้านเครื่องเขียนก็มีความสำคัญแค่การซื้อปากกาหรือสมุดจด แต่เร็วๆ นี้เขาเริ่มสนใจกระดาษชนิดต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะกระดาษสำหรับเขียนจดหมาย

ในยุคสมัยนี้การเขียนจดหมายไม่ค่อยเป็นที่นิยมแล้ว กระดาษเขียนจดหมายที่มีให้เลือกส่วนใหญ่จึงเป็นลายการ์ตูนสำหรับเด็ก ทำให้หลี่อี้เฟิงมีภารกิจใหม่ในการตามหากระดาษดีๆ มาเขียนจดหมายตอบคนที่เอดินเบิร์ก

เขาถ่ายรูปไม่เป็นแบบอีกฝ่าย แต่ก็อยากจะให้รู้ว่าเขาตั้งใจเขียนตอบไปในทุกๆ ครั้ง เพราะฉะนั้นถึงจะต้องเจียดเงินจากการทำงานพิเศษมาซื้อกระดาษบ้างหลี่อี้เฟิงก็รู้สิกยินดี


หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยเขาก็เดินออกไปหาเฉินเว่ยถิงที่ยืนรออยู่ตรงหน้าร้าน อีกฝ่ายมองถุงในมือแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร


“เสร็จแล้ว ไปกัน”

“แวะกินข้าวก่อนไหม”

“เอาสิ”


หลี่อี้เฟิงพยักหน้ารับแล้วเดินนำไปทันที ท่าทางอารมณ์ของเพื่อนสนิททำให้เฉินเว่ยถิงโล่งใจ อีกฝ่ายเล่าให้เขาฟังสักพักแล้วถึงเพื่อนทางจดหมายที่เอดินเบิร์ก ถึงแม้จะเริ่มต้นจากการส่งจดหมายผิด แต่พอคุยกันถูกคอก็เลยมีการส่งจดหมายโต้ตอบกันมาเรื่อยๆ


‘ทำไมไม่ขอเว่ยปั๋วหรืออีเมลกันไปเลยวะ จะได้ขอไฟล์รูปมาใช้ด้วยไง’

เฉินเว่ยถิงเคยถามเมื่อเห็นว่าหลี่อี้เฟิงถ่ายรูปจากรูปถ่ายที่หยางหยางส่งมาให้เอามาเป็นพื้นหลังหน้าจอมือถือ แต่อีกฝ่ายกลับตอบกลับมาอย่างจริงจัง

‘penfriend ถ้าไม่ใช่จดหมายมันก็ไม่มีความหมายน่ะสิ’


ตอบมาแบบนี้เขาก็เถียงไม่ออก ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าการคุยกันแบบรอคำตอบห่างกันทีเป็นสัปดาห์มันสนุกตรงไหน...ก็นะ ไปรษณีย์จีนก็ไม่ได้ทำงานดีเด่อะไรด้วย


“หยุดปีใหม่จะกลับบ้านไหม” เฉินเว่ยถิงถามเพื่อนขณะยืนรอสัญญาณไฟที่สี่แยก

“คงไม่ล่ะ นายคงกลับสินะ” กลุ่มผมสีน้ำตาลสะบัดไปมา

“อืม...จะอยู่คนเดียวจริงเหรอ”

“เออสิ ฉันอยู่ได้น่า วันคริสต์มาสก็ด้วยนายไปฉลองกันแฟนเถอะ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เหงาเลยสักนิด”


พูดจบสัญญาณไฟก็ขึ้นสีแดงให้รถหยุด ทำให้ทั้งคู่รีบก้าวข้ามถนนจนไม่ได้ต่อบทสนทนานั้น ชายหนุ่มโคลงศีรษะพลางมองเพื่อนที่เดินไปตามทางอย่างอารมณ์ดีต่างจากเมื่อเดือนก่อนๆ ลิบลับ


เอาเถอะ...ถึงแม้เขาจะไม่ได้รู้จักคนที่ชื่อ หยางหยาง อะไรนั่น แต่การที่เห็นเพื่อนร่าเริงขึ้นได้ขนาดนี้ก็ต้องขอบคุณจริงๆ



-5-

‘ปีใหม่นี้ผมไม่ได้กลับจีนล่ะ คริสต์มาสกับปีใหม่ของที่นี่เป็นวันหยุดยาว ค่าจ้างช่วงนั้นพุ่งพรวดไปถึงห้าเท่า ผมงี้รับกะเพิ่มจนไม่ได้ออกไปถ่ายรูปเลย แต่ก็คุ้มนะ หลังจากนี้ผมว่าจะถอยเลนส์ใหม่สักตัว’


จดหมายฉบับนี้หยางหยางเขียนมาเล่าถึงเรื่องงานพิเศษในร้านอาหารที่กำลังทำเพื่อหาทุนในการเรียน อันที่จริงทางบ้านก็มีเงินส่งไปให้แต่เพราะการเรียนถ่ายรูปนั้นต้องใช้เงินมากจนเจ้าตัวรู้สึกผิดจึงตั้งหน้าตั้งตาหาเงินมาด้วยตัวเองแทน ซึ่งหลี่อี้เฟิงก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่ต่างกันนัก เพราะเขาเข้ามาเรียนในเมืองคนเดียวและยิ่งย้ายมาอยู่หอข้างนอกคนเดียวยิ่งต้องใช้เงินเพิ่มทำให้เขาก็ต้องรับงานพิเศษเช่นกัน


‘เจ้าของบ้านเช่าของผมก็ไปเที่ยวต่างประเทศกับลูกๆ ตอนนี้ในบ้านเงียบมาก ผมเหงาสุดๆไปเลย แล้วคุณล่ะ? คริสต์มาสนี้ไปเที่ยวไหนกับใครบ้างหรือเปล่า?’


หลี่อี้เฟิงเผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นภาพคนในจินตนาการตีหน้าหงอยเหมือนหมาตัวโต...อันที่จริงเขาไม่รู้ว่าหยางหยางหน้าตาเป็นอย่างไรเพราะอีกฝ่ายไม่เคยส่งรูปมาให้ดูและเขาเองก็ไม่คิดอยากรู้เท่าไร ปล่อยให้มันเป็นความลับแบบนี้สมเป็นเพื่อนทางจดหมายมากกว่า

เขาเหลือบมองกระดานไม้ตรงหน้า รูปห้องนั่งเล่นสไตล์อังกฤษภายใต้แสงสีส้มที่ติดอยู่ดูอบอุ่นจนอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าของรูปกำลังซุกตัวอยู่ในมุมไหนกัน หลี่อี้เฟิงหัวเราะเบาๆ กับความคิดตัวเองก่อนจะก้มหน้าลงมาที่กระดาษเนื้อดีบนโต๊ะ เสียงลากปากกากับกระดาษดังแกรกกรากอยู่ภายในห้องที่มีเสียงเพลงเปิดคลอเบาๆ จนปลายนิ้วก็ชะงักไปเพราะเส้นหมึกขาดหายอย่างไร้คำอธิบาย


“อะไรเนี่ย...”


บ่นงึมงำพร้อมกับหยิบเศษกระดาษอื่นมาลองหมึก เส้นสีดำขาดๆ หายๆ ทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด แต่ไม่ว่าจะลองลากอย่างไรปากกาเจ้ากรรมก็ไม่ยอมกลับมาใช้งานได้เป็นปกติสักทีจนต้องวางมือในที่สุด หลี่อี้เฟิงมองตัวอักษรซึ่งลากเส้นค้างไว้สลับกับหิมะที่นอกหน้าต่างอย่างชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนเจ้าตัวจะถอนหายใจเฮือกแล้วลุกไปหยิบเสื้อโค้ตมาสวมทับ

ลมหนาวพร้อมกับเกล็ดน้ำแข็งที่ตีใส่ใบหน้าทันทีที่เปิดประตูทำให้เขาอดคิดติดตลกกับตัวเองไม่ได้


ถ้าออกไปซื้อปากกาจนเป็นหวัด...หยางหยางจะส่งรูปถ่ายมาปลอบใจไหมนะ


หลี่อี้เฟิงยิ้มให้ตัวเองก่อนจะก้าวเร็วๆ ข้ามถนนตรงข้ามหอพักไปอย่างรวดเร็ว หลังจากซอยเท้าฝ่าบรรยากาศขมุกขมัวไปได้ไม่นานเขาก็พาตัวเองมาถึงจุดหมาย

ร้านเครื่องเขียนร้านนี้ขายของในราคาที่แพงกว่าร้านสวัสดิการเล็กน้อยแต่มีตัวเลือกเยอะกว่าทำให้มีความนิยมในหมู่นักศึกษามากกว่า ดังนั้นการที่จะบังเอิญมาเจอคนรู้จักสักคนในร้านนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร


“เฟิงเฟิง”


เสียงใสนั้นเหมือนจะหลุดอุทานออกมามากกว่าที่จะตั้งใจเรียก เจ้าของชื่อจึงยกมุมปากตอบไปอย่างไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร...แถมปฏิกิริยาของหนึ่งหญิงหนึ่งชายตรงหน้าก็ไม่ช่วยให้อะไรง่ายขึ้นเลยสักนิด


“ไม่เจอกันนานเลย...เอ้อ นายเป็นไงบ้าง” ประโยคห่วยแตกนี้เป็นของอดีตเพื่อนร่วมของเขาเอง หลี่อี้เฟิงข่มใจไม่ให้ตัวเองแสดงสีหน้าแย่ๆ ออกไปพร้อมกับมองหน้าทั้งสองที่ดูกระอักกระอ่วนไม่แพ้กัน

“สบายดี นายก็คงสบายดีสินะ” พูดพลางเลื่อนสายตาลงไปยังมือที่เกี่ยวกันอยู่ทำให้ฝ่ายหญิงกระตุกมือออกในทันที...ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งทำให้บรรยากาศดูแย่ลงไปอีกอย่างน้อยห้าเท่า


แล้วทำไมเขาจะต้องมาอยู่ตรงนี้ให้รู้สึกแย่ลงไปเรื่อยๆ ด้วยก็ไม่รู้...


“พวกนายตามสบายเถอะ ฉันแค่มาซื้อปากกา เดี๋ยวก็ไปแล้ว”


หลี่อี้เฟิงพูดกับ ‘อดีตเพื่อนร่วมห้อง’ ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับ ‘อดีตแฟนสาว’ อีกครั้งแล้วจึงก้าวเท้าผ่านทั้งคู่ไปที่โซนขายปากกาพร้อมกับสมองที่ว่างเปล่า


จริงๆ มันก็ออกจะเป็นความคิดที่แย่มากอยู่แล้วที่ออกมาซื้อปากกาในเวลาแบบนี้...ชายหนุ่มเปรยกับตัวเองในใจขณะก้มตัวลงไปหยิบของตรงชั้นวาง

...แต่เขาอยากได้ปากกามากจริงๆ เขาเขียนจดหมายค้างไว้ และตอนนี้ก็อยากกลับไปเขียนมันต่อมากๆ แล้วด้วย



-6-

การเขียนจดหมายนั้นต้องใช้สมาธิมากกว่าการพิมพ์เพราะไม่สามารถลบแก้ให้สะอาดได้เหมือนการพิมพ์ หลายๆ ครั้งที่หลี่อี้เฟิงจดจ่อกับการเขียนมากไปจนลืมเวลาหรือไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์...เช่นครั้งนี้


“นายช่วยรับสายให้ฉันรู้หน่อยเถอะว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”


เสียงบ่นปนเป็นห่วงดังยาวเหยียดมาร่วมห้านาทีแล้วเจ้าตัวก็ยังไม่มีทีท่าจะคอแห้งกับเขาบ้างเลยสักนิด จนหลี่อี้เฟิงที่เป็นคนฟังต้องยกมือขอเวลานอกไปหยิบน้ำมาเสิร์ฟให้เอง


“ฉันแค่ไม่ได้ยินเสียง”

“ก็ตั้งให้มันได้ยินสิวะ” เฉินเว่ยถิงแยกเขี้ยวใส่ก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งประหนึ่งเป็นเจ้าของเสียเอง “นี่ฉันพูดจริงๆ นะเว่ย อย่าทำให้ต้องเป็นห่วงจะได้ไหม”

“ขอโทษ...แต่ฉันไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ นะ”

“ให้มันจริงเถอะ”

“จริง วันก่อนก็เจอ...แล้วก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว”


คนฟังเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจในทันที แต่สายตาของอีกฝ่ายก็ไม่มีแววโกหกเลยแม้แต่น้อย

การที่แฟนสาวนอกใจแอบไปคบกับเพื่อนร่วมห้องของตัวเองไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจได้ง่ายๆ ซึ่งแน่นอนว่าหลี่อี้เฟิงก็ทนมองหน้าอีกฝ่ายไม่ได้จนต้องย้ายหอออกมาอยู่ที่อื่นเอากลางเทอม เฉินเว่ยถิงจึงคิดว่าเพื่อนจะอยู่ในภาวะซึมเศร้านานกว่านี้


“คงเพราะมีเรื่องอื่นให้คิด....ล่ะมั้ง” เจ้าของห้องตอบ “บางทีอยู่เงียบๆ หัวโล่งๆ ก็รู้สึกแย่ขึ้นมาเหมือนกัน เลยติดรูปพวกนั้นไว้ เวลามองจะได้มีเรื่องให้คิด”

“คิดอะไร? คนที่เอดินเบิร์กที่หน้าก็ยังไม่เคยเห็นนั่นอ่ะนะ”


หลี่อี้เฟิงยิ้ม รู้ดีว่าอธิบายให้อีกฝ่ายฟังไปก็คงไม่เข้าใจ ช่วงนี้เขาเสพติดการนั่งมองรูปบนกระดานไปเรื่อยๆ เอาจดหมายในกล่องมาอ่านซ้ำ รวมถึงการเดินไปสำรวจกล่องจดหมายทุกวัน มันอาจจะฟังดูไร้สาระแต่ก็ทำให้มีอะไรให้คิดถึงแล้วยิ้มออกมาได้ตลอดทั้งวัน...มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือไง

เฉินเว่ยถิงมองเพื่อนที่ดูปกติมากจนราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วก็เดาะลิ้นอย่างไม่รู้จะเถียงอะไร


“แต่ยังไงอยู่คนเดียวก็หัดรับโทรศัพท์บ้างรู้ไหม”

“รู้แล้วๆ”


ชายหนุ่มรับรู้ถึงความห่วงใยของเพื่อนสนิท...แต่เขาเองก็อยากจะย้ำอีกหลายๆ ครั้งว่าไม่เป็นไร ที่ออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ไมได้ทำให้เขาเหงาหรือเศร้าไปมากกว่าเดิมเลย


‘งั้นปีใหม่นี้คุณก็ฉลองคนเดียวสินะ เหมือนกันเลย เรามาฉลองด้วยกันแบบข้ามซีกโลกดีมั้ยครับ ที่จีนขึ้นปีใหม่เร็วกว่า แต่ผมจะอยู่เคานต์ดาวน์ล่วงหน้ากับคุณก่อนก็ได้ แล้วคุณตื่นมาเคานต์ดาวน์กับผมด้วยล่ะ’


ใช่แล้ว...เขาไม่รู้สึกเหงาเลยสักนิด



-8-

‘คุณโสดหรือเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลย คุณดูเป็นคนใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากเลยนะ ผมว่าแฟนคุณต้องเป็นคนที่โชคดีมากแน่ๆ อะไร? ไม่เชื่อผมหรือ? แค่ดูวิธีพับจดหมายกับการปิดซองของคุณก็รู้แล้ว ผมเก่งเรื่องพวกนี้นะ’


หลี่อี้เฟิงกวาดสายตาไปตามตัวอักษรจีนหวัดๆ ที่คุ้นตา เขาอ่านมันซ้ำไปมาจนแทบจะจำข้อความในนั้นได้ทั้งหมด หยางหยางมักจะเขียนจดหมายมายาวเหยียด เล่านู่นเล่านี่ในชีวิตประจำวันรวมถึงเรื่องของตัวเองให้ฟังมากมาย รวมถึงชอบทายอะไรเกี่ยวกับตัวเขา...ซึ่งอันที่จริงชายหนุ่มก็แอบเดาเรื่องของอีกฝ่ายเอาไว้เหมือนกัน

หยางหยางเป็นคนช่างสังเกต เห็นได้จากเรื่องต่างๆ ที่เอามาเล่าให้ฟัง เป็นคนมองโลกในแง่ดี มักจะหามุมมองที่สวยงามของสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ จนอดคิดไม่ได้ว่านิสัยนี้อีกฝ่ายคงเอามาใช้กับการถ่ายรูปด้วย


‘ปีใหม่ที่ผ่านมาผมเก็บเงินได้เยอะกว่าที่คิดล่ะ! คุณว่าผมซื้ออะไรเป็นรางวัลให้ตัวเองดี?’


ตอนท้ายของจดหมายจบลงแค่นั้น ชวนให้คนอ่านช่วยเก็บขบคิด หลี่อี้เฟิงยกยิ้มก่อนจะหยิบรูปถ่ายในซองจดหมายออกมาดู ภาพสตรีตวิวยามค่ำคืนของเมืองเก่าในช่วงที่มีไฟประดับไปทั่วนั้นเหมือนมีกลิ่นอายของความสุขและความอบอุ่นลอยออกมา ดวงไฟกลมๆ ขับให้ภาพนั้นเหมือนอยู่ในความฝัน


‘ถ่ายตอนเดินกลับบ้าน เดินคนเดียวหนาวชะมัด’


ในจินตนาการของเขาปรากฏภาพของผู้ชายที่เพิ่งเดินออกมาจากร้านหลังเลิกงานพิเศษ แล้วก็บ่นอุบอิบไปตลอดทางพร้อมกับยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพไปเรื่อยๆทำให้เขาหลุดขำออกมา หลี่อี้เฟิงเอื้อมมือติดรูปใบนี้ไว้บนที่ว่างสุดท้าย แล้วจึงเข้านอนพร้อมกับความคิดวนเวียนเรื่องของรางวัล

ของหยางหยางนั้นเขายังนึกไม่ออก...แต่ของตัวเขาเองต้องเป็นกระดานไม้สำหรับติดรูปถ่ายอันใหม่แน่นอน


เสียงกดออดปลุกเจ้าของห้องขึ้นในเช้าวันถัดมา หลี่อี้เฟิงลูบหน้าแรงๆ เพื่อเรียกสติก่อนจะหยีตามองนาฬิกาบนหัวเตียงซึ่งโชว์เวลาเก้านาฬิกาสามสิบเจ็ดนาทีของวันอาทิตย์ที่สิบสี่กุมภาพันธ์


ให้ตาย...นี่มันเช้าวันหยุดนะ


ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า พลางคาดโทษเอาไว้ในใจว่าหากธุระที่ขุดเขาขึ้นมาจากเตียงนั้นไม่สมเหตุสมผลจะทำอย่างไร แต่เมื่อเข้าสาวเท้ามาถึงที่ประตูหน้าห้องก็ต้องสะดุดสายตากับของที่ถูกสอดผ่านเข้ามาทางช่องใต้ประตู


โปสการ์ดรูปปราสาทเอดินเบิร์กยามเช้าที่มีแสงอาทิตย์อาบไล้ผิวอิฐซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน...หลี่อี้เฟิงรู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นเร็วและแรงจนเจ็บ ปลายนิ้วพลิกโปสการ์ดเพื่ออ่านข้อความด้านหลังในทันที


‘ถ้าไม่รังเกียจและวันนี้คุณยังว่างอยู่ เปิดประตูออกมาแล้วเราไปเที่ยวด้วยกันมั้ยครับ?’


แม้จะไม่มีชื่อลงท้ายไว้เหมือนทุกครั้ง แต่ลายมือที่เขาอ่านมาเป็นร้อยรอบอย่างไรก็ลืมไม่ลง กว่าจะรู้ตัวเขาก็ปลดล็อกแล้วกระชากประตูห้องให้เปิดออกอย่างรวดเร็ว

ที่หน้ากรอบประตูนั้นปรากฏร่างของคนคนหนึ่งที่ไม่คุ้นตาเลยสักนิด


“สวัสดีครับ” คนแปลกหน้าพูดด้วยเสียงทุ้มนุ่ม “ผมชื่อ หยางหยาง”


พูดไปก็เห็นสีแดงจางขึ้นที่แก้มทั้งสองข้าง ท่าทางประหม่าของคนตรงหน้าทำให้เขาต้องเผลอยิ้มกว้างออกมาจนตาหยี


“ผม...หลี่อี้เฟิง”


หยางหยางตรงหน้าค่อนข้างแตกต่างจากในจินตนาการของเขาอยู่พอสมควร หยางหยางมีรูปร่างสูงโปร่งสมส่วน ใบหน้าหล่อเปื้อนรอยยิ้ม มือทั้งสองประคองกล้องตัวใหญ่ที่คล้องคออยู่ ปลายนิ้วลูบไปมาบนตัวกล้องอย่างกังวล


“ผม...มารบกวนคุณหรือเปล่า พอผมคิดได้ว่าจะซื้อตั๋วเครื่องบินเป็นรางวัลให้ตัวเอง ผมก็รีบบินออกมาเลย คุณได้อ่านจดหมายฉบับล่าสุดของผมแล้วใช่มั้ย?” เสียงนั้นพยายามอธิบาย “ผมขอโทษที่มาแต่เช้า แต่ผมกลัวว่าถ้ามาช้าคุณจะออกไปข้างนอกเสียก่อนแล้วจะคลาดกัน”

“...จริงๆ ผมยังนอนอยู่”


พอบอกออกไปแบบนั้นคนฟังก็หน้าซีดเผือดไปในทันที แต่หลี่อี้เฟิงกลับหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกมือป้องปากตัวเอง


“เช้านี้ผมยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลย”


เขาพูดพลางรู้สึกเขินสารรูปยับย่นของตัวเองอย่างมาก ชุดเสื้อนอนย้วยๆ หัวฟูๆ ปากเหม็นๆ ความประทับใจแรกช่างน่าติดลบเสียจริงๆ ...


“ผมขอเวลาจัดการตัวเองแปปเดียว แล้วจะออกไปกับคุณ”


พอพูดจบก็ขยับตัวเปิดทางให้อีกฝ่ายเข้ามารอในห้อง หยางหยางเบิ่งตากว้างอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสว่างไสว


เมื่อหาที่ทางให้แขกกะทันหันนั่งรอได้ หลี่อี้เฟิงก็เอาโปสการ์ดในมือวางไว้บนโต๊ะแล้วรีบหลบเข้าห้องน้ำไปจัดการธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็ว ลืมเรื่องหงุดหงิดที่โดนปลุกในยามเช้าไปเสียสนิท


จดหมายจากเอดินเบิร์ก...ทำให้เขายิ้มออกมาได้เสมอ


END


TALK

สวัสดีค่าาาาาาาา นี่คือ...ฟิควาเลนไทน์ //โดนตรบ กรี๊ดดดดดดดดดดด ไม่มีอะไรจะสารภาพนอกจาก ลืมลงฟิคค่าาาาาา โอ้ย คิดว่าตัวเองลงจนจบไปแล้ว บายยยยยยยยยยยย orz

ฮือ ตอนแรกตั้งใจจะลงวันละท่อน ช่างมัน ลงรวดเลยแล้วกันค่ะวันนี้ โฮโฮโฮ วันหลังเตือนกันได้นะคะ ถ้าเราลืมลงฟิคอีก โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ

จริงๆ ฟิคเรื่องนี้เราตั้งใจเขียนมาเพราะความช้ำใจที่วาเลนไทน์ปีนี้(2016)เราสอบน่ะคะ //พราก// บวกกับมีแผนจะส่งโปสการ์ดให้คนอื่นด้วยเลยอยากเขียนอะไรเกี่ยวกับโปสการ์ด/จดหมายขึ้นมา

ส่วนตอนต่อ...มีอยู่ในจินตนาการแต่ยังไม่มีแผนจะเขียนออกมานะคะ //โดนต่อย// ฮือ ช่วงนี้ตั้งใจจะเคลียร์คิวที่ดองไว้ทีละอย่างน่ะค่ะ ถ้าเคลียร์หมดแล้วอาจจะกลับมาเขียนต่อหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของอนาคต (...)

เอาล่ะ คิดtalkไม่ออกแล้ว สุดท้ายนี้ขอฝากหยางเฟิงไว้ในอ้อมกอดด้วยนะค้า หวังว่าจะถูกใจกับหยางเฟิงในแบบของเรานะคะ ขอบคุณค่า