Sunday 29 November 2015

Farundelle :: ภาค 1 :: 02 สัญญาณเตือน

02 สัญญาณเตือน



เอลกำลังนั่งจัดหนังสือสำหรับวันพรุ่งนี้ในตอนที่เพื่อนร่วมห้องผู้สูงศักดิ์กลับมา ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีคำพูดใด

ฟอนออกไปกับพวกจาไฮน์เพราะไม่อยากกลับห้องมาเจอบรรยากาศติดลบของเจ้าชาย แต่เอลกลับไม่เห็นปัญหาในแง่นั้น

ก็ดี...ไม่วุ่นวาย


ทีแรกเอลค่อนข้างเกร็งที่จะต้องร่วมห้องกับคนอย่างเจ้าชาย แต่เอาเข้าจริงนอกจากเรื่องที่เลื่อนเตียงออกไปห่าง อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีหยิ่งทระนงจนน่าปวดหัว เพียงแต่ออกจะเงียบไปหน่อยจนเหงาหูเท่านั้นเอง


“เอล แอสเซียร์” เขาพูดขึ้นเป็นคำแรกนับตั้งแต่ร่วมห้องกันมา

“...เรนาร์ด เลอองธัวร์” อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดชื่อตัวเองตอบ

“ฟอน แวนโดแวนน์นายคงรู้จักแล้ว” เอลยิ้มตอบ ใจชื้นมาหน่อยที่อีกฝ่ายไม่ทำให้เขาเก้อ “ฉันมาจากอีสเทรีย”


เรนาร์ดพยักหน้าที่เหมือนรูปสลักเป็นเชิงรับรู้แล้วก็หันไปสนใจธุระของตัวเองต่อเป็นการจบการแนะนำตัวแต่เพียงเท่านี้ เอลโคลงหัว เขาก็ไม่ได้คิดว่าคนตรงหน้าจะเป็นฝ่ายหันมาชวนคุยอะไรอยู่แล้ว เพราะความท่ามากคงจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอาชีพเจ้าชาย...โดยเฉพาะเจ้าชายดำแห่งเซส

เจ้าชายเรนาร์ด ฟรานเชส เลอองธัวร์ไม่ค่อยโด่งดังนักเมื่อเทียบกับพระเชษฐาอีกสองพระองค์ แต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าชาย’มือดี’ที่มีสิทธิ์ในการชิงบัลลังก์ตามธรรมเนียมของเซส ดังนั้น...จนกว่าวันผลัดแผ่นดินจะมาถึง เจ้าชายทุกพระองค์ย่อมมีสิทธิ์ในบัลลังก์มังกรเท่าเทียมกัน


เสียงเคาะหน้าต่างเบาๆ ดึงความสนใจจากคนในห้องได้เป็นอย่างดี เด็กหนุ่มผมทองผุดลุกไปผลักบานหน้าต่างออกแล้วรับเอานกเหยี่ยวตัวใหญ่มาเกาะที่แขน


“ไมล์” เอลกระซิบกับขนสีควันไฟ “ลำบากหน่อยนะ”


เหยี่ยวตัวงามร้องเบาๆ ก่อนจะไซร้เส้นผมสีทองเล่น เด็กหนุ่มแกะปลอกที่ขามาข้างหนึ่งแล้วโบกมือเบาๆ กระดาษที่อยู่บนโต๊ะก็ลอยหวือมาม้วนตัวเข้าแทนที่

เอลพึมพำจุดหมายบอกแล้วจึงสะบัดแขนให้นกยักษ์โผออกไปตามเดิมก่อนจะยืนส่งจนลับตา แต่เมื่อหันกลับมาก็พบดวงตาสีดำสนิทจ้องอยู่ก่อนแล้ว

คนเผลอตัวใช้พลังตามความเคยชินนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเดินนั่งแกะจดหมายออกอ่านด้วยท่าทีนิ่งสงบ เจ้าชายแห่งเซสจึงผละสายตากลับไปโดยไม่มีคำถามใดๆ หลุดออกมา

ก็ดี...ไม่ยุ่งยาก


เอลลอบถอนหายใจแล้วก็หันไปสนใจจดหมายในมือต่อ แต่ห้องแห่งความสงบก็สงบอยู่ได้ไม่นานเท่าที่อยาก


“เอล!!” เสียงโหวกเหวกดังมาก่อนตัวทำเอาอีกสองคนขมวดคิ้วฉับพร้อมกัน

“มีอะไร”

“โห เย็นชาว่ะ นี่เลยมีของเด็ดมานำเสนอ จาไฮน์มันเอามา 7ปีเชียวนะ” เอลเหลือบมองแก้วในมืออีกฝ่ายอย่างเหนื่อยใจ


ไม่พ้นวันแรกมันก็เริ่มแหกกฏโรงเรียนแล้ว...


“ฟอน” เขาเริ่มแต่อีกฝ่ายก็รีบถลามากอดคอกอดไหล่

“อย่าซีเรียสมากเลยน่าเอล”


คนรักสนุกโยกตัวเพื่อนไปมาโดยลืมนึกไปว่าตัวเองกำลังถืออะไรอยู่ เสียงของเหลวกระฉอกออกราดใส่อะไรสักอย่างดูจะเป็นสัญญาณหยุดเวลาที่ชะงัดนัก

เอลกลืนน้ำลายก่อนจะเหลือบไปมองอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ที่ฟอนได้ทำไว้ เหล้าองุ่นสีแดงอมม่วงเปรอะลงบนใบหน้าขาวจัดแล้วหยดลงบนเสื้อสีขาวทิ้งความด่างพร้อยไว้อย่างมีศิลปะ

ดวงตาเย็นชาที่ฉายแววอาฆาตขึ้นมาชั่วครู่ทำให้หยดเหล้าองุ่นนั้นดูเหมือนเลือดขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว

ร่างสูงลุกพรวดก่อนจะเดินผ่านคนที่กลายเป็นปะติมากรรมหินเข้าห้องน้ำแล้วกระแทกประตูดังปังจนคนสติหลุดกลับเข้าร่าง


“อ่า...” ตัวต้นเรื่องครางอย่างหวาดผวา ส่วนเอลได้แต่ถอนหายใจ

“ฟอน แวนโดแวนน์ ถ้าฉันเป็นนายฉันจะเตรียมไว้อีกสิบชีวิต!”


++++++


เอลเริ่มรู้สึกในเวลาต่อมาว่าตนเองก็ต้องเตรียมไว้อีกสิบชีวิตเช่นกัน เด็กหนุ่มได้สัมผัสกับความเหนื่อยอย่างที่ตัวเองไม่เคยจินตนาการออก ถึงแม้เขาจะมีพื้นฐานการอ่านเขียนอยู่ในเกณฑ์ดีมากจนไม่ต้องไปเรียนเพิ่มเติมก็จริง แต่การเรียนในฟารันเดลนั้นไม่ง่าย ช่วงเช้าสามในหกวันของสัปดาห์จะต้องเรียนวิชาทฤษฎี เช่น ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ พีชคณิต หลักปกครองเบื้องต้น และเวลาที่เหลือทั้งหมดจะแบ่งเป็นการเรียนภาคปฏิบัติรวมถึงการฝึกซ้อม ทำเอาแต่ละวันแทบจะคลานกลับห้อง ซ้ำยังต้องทำการบ้านและอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนอีกเรียกได้ว่ากว่าจะจัดรูปแบบชีวิตตัวเองให้เข้าที่ได้ก็ผ่านมาเกือบสามสัปดาห์


“ต้องไปไหนต่อ” น้ำเสียงงัวเงียเหมือนยังเรียกวิญญาณเข้าร่างไม่เสร็จเอ่ยถาม

“โดม” เอลตอบพลางก้าวเท้าเร็วๆ ไปตามทางเดินพร้อมกับนักเรียนคนอื่น

“นายมันเด็กขยันเป็นบ้า นั่งฟังบรรดาอาจารย์พล่ามได้ทั้งเช้าโดยไม่หลับ” ฟอนบ่นอุบ

“ใครมันจะไปหลับได้ทุกคาบอย่างนาย”

“ก็มันน่าเบื่อ” คนไม่เอาภาคทฤษฎีส่ายหัว ก่อนจะร้องขึ้น “นั่นมันเรนาร์ดนี่”


เอลหันไปมอง คนผมดำยืนคุยกับอาจารย์ท่านหนึ่งอยู่อย่างไม่รีบร้อน แต่สีหน้าเรียบเฉยดูติดจะเคร่งขรึมกว่าทุกที


“เฮ้ยเอล รีบไปเหอะ อาจารย์นักปราชญ์เขาไม่ชอบคนป้อมศาสตราเดี๋ยวจะซวยกันทั้งบาง” ฟอนกระตุกแขนเพื่อนที่ชะลอฝีเท้าหันไปมอง


เด็กหนุ่มผมทองจึงละสายตาจากภาพนั้น พยักหน้าหงึกหงักแล้วก้าวขึ้นบันได้ตามไปอย่างรวดเร็ว


โดมที่ว่านั้นคือห้องขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของหอคอย หลังคาเป็นกระจกใสทรงโค้งเปิดให้เห็นท้องฟ้าสีสดใส ที่นั่งจัดไล่ระดับเป็นครึ่งวงกลม ถึงแม้เอลจะสนใจห้องเรียนเวทมนต์พื้นฐานอย่างไรก็ตามแต่ด้วยตราป้อมศาสตราสีแดงตรงปกเสื้อทำให้จำใจต้องหลบขึ้นไปนั่งในที่ไกลหูไกลตา

หลังจากนั่งหอบไปได้ครึ่งคำอาจารย์เจ้าของวิชาก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับเสียงเนิบนาบที่ชี้แจงเรื่องการสอบย่อยที่กำลังจะมาถึง นักเรียนทั้งห้องต่างพากันส่งเสียงฮือฮาด้วยความหนักใจ เพียงแค่บทเรียนแต่ละวันตามให้ทันยังยากขนาดนี้...แล้วยังจะมีสอบอีก

อาจารย์นักปราชญ์คิลเลี่ยนกระแอมเรียกความสงบก่อนจะเริ่มต้นบรรยาย เอลเปิดหนังสือตามอย่างตั้งใจในขณะที่ฟอนฟุบหน้าหลับไปเป็นที่เรียบร้อย ไม่นานนักเสียงบรรยายก็สะดุดเนื่องจากการปรากฎตัวของเจ้าชายแห่งเซส ผู้เป็นอาจารย์เหลือบมองนักเรียนที่มาสายก้มหัวให้ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วหันไปสอนต่อ

เรนาร์ดเดินหลบขึ้นมานั่งตรงที่ว่างข้างๆ เอลท่ามกลางสายตาของคนทั้งห้อง


“มาสายซะเด่นขนาดนี้นายเล่นมนตร์อะไรถึงไม่โดนด่าวะ” คำถามนี้เป็นของฟอน


คนทำตัวเด่นไม่ตอบคำถาม เพียงแต่หยิบหนังสือมาเปิดตามแล้วฟังบรรยายอย่างตั้งใจจนคนถามผิวปากเซ็งๆ แล้วก้มหน้าลงกับพื้นโต๊ะเพื่อหลับต่อ เอลหันไปมองอย่างอนาถใจแล้วก็ฉีกกระดาษแผ่นเล็กๆ ขึ้นมาเขียนข้อความแล้วเลื่อนไปให้คนข้างๆ


‘วันสอบย่อยครั้งแรก อีก2สัปดาห์ แสดงเวทย์พื้นฐานทุกบท’


เรียวคิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเก็บกระดาษนั้นไปแล้วฉีกข้อความใหม่ส่งตอบ


‘ขอบใจ’


เอลรับกระดาษนั้นมาเก็บไว้บ้างก่อนจะหันไปสนใจบทเรียนต่อ

เจ้าชายเรนาร์ดไม่ใช่คนน่ากลัวสักนิด...อย่างน้อยก็ในสายตาของเขา



ชั่วโมงบรรยายจบไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกคนเรียน เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นทุกคนก็รีบเก็บข้าวของแล้วพากันลงไปที่ลานฝึกเพื่อเรียนภาคปฏิบัติต่อในทันที แสงแดดร้อนยามบ่ายส่องลงมาอย่างไม่ปราณีชีวิตนับสิบที่กำลังขมักเขม่นกับการฝึกซ้อมตามคำสั่ง เอลปาดเหงื่อที่ปลายคางออกหลังจากที่ฟอนร้องโวยวายแล้วลงไปนั่งอยู่กับพื้น


“ยอมแพ้” คนอยากเป็นอัศวินบ่น “ฝีมือดาบนายไม่เอาอ่าวชะมัด แต่ดันเก่งเวทย์เป็นบ้า”

“ได้อย่างเสียอย่างน่า” ฝ่ายอ่อนอาวุธตอบกลับ

“ไหงไอ้เด็กธรรมดาอย่างนายถึงร่ายมนตร์ซะคล่องปากเลยวะ” คำประชดถูกโยนมาใส่จนคนรับต้องปรายตากลับอย่างเอือมระอา

“ฉันยังไม่ถามเลยว่าไอ้หัวหน้าสมาคมอย่างนายไปเรียนเพลงดาบมาจากไหน”

“เอ้าๆ คุณคนธรรมดาอย่าเพิ่งตีกัน” จาไฮน์หัวเราะพุ่งเข้ามากอดคอเพื่อนต่างไซส์จนแทบไหล่ทรุด “ถ้าเรื่องเวทย์ต้องยกให้ริอัลมันโน่น อยู่ในวิหารเทพแต่เกิด”

“ขายกันแบบนี้ก็แย่สิ” คุณชายตระกูลโดโนเรสว่า “ฉันก็เป็นหนึ่งในสมาชิกคนธรรมดาไม่ใช่หรือ”

“เออ พวกเรามันคนธรรมดา ไอ้คนไม่ธรรมดาเขาคมในฝักกันทั้งนั้น ไม่ใช่มีอะไรก็ขายกันหมดเปลือก” ฟอนตอบก่อนจะถูกจาไฮน์ทุบหลังดังอั่กเพราะถูกใจวาจา


เอลส่ายหัว ถ้าจะวัดความธรรมดาของจริงมันคงมีแต่เขานี่แหละที่ยังคงความธรรมดาที่สุดของที่สุด

แม้ฟอนกับจาไฮน์จะไม่มีที่มาที่ไปชัดเจนเหมือนริอัล แต่สองคนนี้คงไม่ใช่แค่เด็กหนุ่มที่ริอยากลองวิชาเลยพยายามเข้ามาเรียนที่ฟารันเดลแน่ เทียบกับตัวเขาที่ชีวิตก่อนหน้าแทบไม่เคยไปไหนไกลเกินอีสเทรียแล้วคงมีประสบการณ์คงต่างกันราวฟ้ากับเหว


“เฮ้ย...” เพื่อนร่างยักษ์หันมามองหน้าเขาก่อนจะชะงักไป

“เอาอีกแล้ว...เมื่อไหร่นายจะจำชื่อไอ้คนเย็นชานี่ได้สักที” ฟอนท้วงอย่างที่ทำมาตั้งแต่วันแรก “เอล แอสเซียร์”

“เออว่ะ เอล!” คนขี้ลืมหัวเราะแก้เก้อ “โทษที ปกติก็ไม่ลืมนะ สงสัยช่วงนี้เบลอๆ”

“นายเรียกเอลว่าไอ้คนเย็นชาแล้วเจ้าชายดำมิกลายเป็นหุบเขาไอซ์เบิร์กหรือ” ริอัสกระเซ้าเมื่อเห็นเพื่อนไม่ว่าอะไรที่ถูกลืมชื่อ

“พวกนายจะรู้อะไร...เรนาร์ดก็แค่เงียบ แต่ไอ้หมอนี่มันโหดร้ายจะตาย” ผู้ถูกกระทำรีบฟ้อง

“นายมันรุงรัง วุ่นวายไม่เข้าท่า” เอลตอกกลับเสียงเรียบ “ช่วงนี้เรนาร์ดดูหงุดหงิดนายก็ยังไปหาเรื่องอยู่นั่น โดนสั่งประหารเข้าสักวันฉันจะไม่ช่วย”

“จะไปรู้หรือว่าเจ้าชายท่านทรงหงุดหงิดหรืออารมณ์ดี ก็เห็นมีอยู่หน้าเดียว...เรียบอย่างกับเอาหินไฟมารีดไว้”


เด็กหนุ่มผมทองส่ายหัวให้ไอ้คนไม่รู้จักดูทิศทางลมอย่างปลงตกแล้วก็ได้แต่หวังว่าภายใต้ดวงตาสีดำสนิทจะมีจุดเดือดสูงพอจะไม่ตวัดพระแสงดาบผ่ากลางร่างน่ารำคาญนี่เข้าสักวัน


“ว่าแต่...ไม่เห็นเจ้าชายเรนาร์ดเลยนะ” คนแดนเหนือตั้งข้อสังเกต ดวงตาสีฟ้าใสกวาดมองลานฝึกเวทย์ที่อาจารย์พ่อมดเอาพวกเขามาทิ้งไว้ซึ่งไม่มีแม้แต่เงาของร่างสูงสง่าให้เห็น

“นั่นสิ เจ้าชายก็โดดเรียนเป็นเหมือนกันแฮะ” จาไฮน์ว่าขำๆ แต่สองเพื่อนร่วมห้องกลับหันมาสบตากันทันที


“เฮ้” ฟอนกระซิบเมื่อเพื่อนอีกสองคนแยกไปฝึกตามเดิม “คิดเหมือนกันมั๊ย”

“คิด...คิดว่าไอ้ห่วยอย่างนายควรจะตั้งใจฝึกได้แล้วฟอน แวนโดแวนน์” ดวงตาสีเขียวมรกตรับกับเส้นผมทองอร่ามเผยแววเบื่อหน่ายชัดเจน

“เอล!” คนชวนออกนอกลู่นอกทางโวยก่อนจะร้องลั่นเพราะถูกเพื่อนซัดลูกไฟขนาดย่อมใส่

“คทาของดีแท้ๆ อย่าทำให้มันเสียของ” เอลผู้เป็นเจ้าของคทาฝึกหัดราคาถูกใช้มันชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยท่าทีหยามกันสุดๆ

“พรุ่งนี้ฝึกดาบฉันจะเอาคืนแน่” ดวงตาสีแดงวาววับ

“รีบมาเอาแล้วกัน”


คนผมทองยักไหล่ก่อนจะลอบกวาดสายตามองรอบลานอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ

...เรนาร์ดหายไปอีกแล้ว

++++++


ห้องสมุดยามค่ำคืนไม่ค่อยเป็นที่นิยมชมชอบนัก แต่เอล แอสเซียร์ผู้ถูกเพื่อนตัวดีทิ้งให้หาหนังสือมาเขียนรายงานเพียงลำพัง กว่าจะเจอที่พอใจรู้ตัวอีกทีก็ใกล้เวลาปิดประตูป้อม

เด็กหนุ่มร่างเล็กกว่ามาตรฐานก้าวยาวไปตามทางเดินที่ร้างผู้คน ความรีบร้อนทำให้เขาเลือกให้ทางลัดที่เพิ่งค้นพบกับฟอนได้ไม่นาน คบเพลิงตามทางเดินวูบไหวชวนให้จินตนาการไปต่างๆ นานา เขากำลังจะเลี้ยวไปทางหอพักถ้าไม่ได้ยินเสียงพูดคุยดังก้องมา


“คืนเดือนมืด?”

“ใช่ ยังไงก็คงกักเอาไว้ไม่อยู่ มันต้องออกหากินแน่ๆ”

“แล้วนายว่าไง”

“ท่านผู้วิเศษรับทราบแล้ว แต่ให้พวกเราจัดการกันเองเรื่องคงเงียบกว่า”

“ปัญหาภายใน? แล้วพวกเรารู้มันจะภายในตรงไหน?”

“ก็เปลี่ยนจากภายในราชสำนักเป็นภายในป้อมศาสตรา”


ใบหน้างดงามดังองค์เทพกล่าวเรียบเรื่อยพร้อมกับหันมาเรียกให้คนแอบฟังสะดุ้งสุดตัว


“ใช่ไหม...เอล แอสเซียร์”


เด็กหนุ่มสูดลมหายใจแล้วเดินออกมาจากมุมมืดของทางเดินท่ามกลางสายตาเคร่งขรึมของชายหนุ่มสองคน


“เด็กไม่ดี” น้ำเสียงใจดีทว่าทรงอำนาจดังขึ้นจากเจ้าชายรัชทายาทแห่งอีสเทรีย

“ขอพระราชทานอภัย” เขาโค้งศีรษะต่ำแต่ก็ไม่คิดจะกล่าวแก้ตัว

“อยู่ที่นี่ให้แทนตัวเองว่าผมแล้วเรียกพี่ว่าพี่” คำดุไม่จริงจังถูกส่งมา “นี่มันเลยเวลาเข้าป้อมแล้ว”

“ทราบครับ ผมกะเวลาผิด ออกจากหอสมุดช้าไป” เอลสบตากับดวงเนตรสีทองสวยของเจ้าชายธีโอฟีลโดยไม่หนี

“หืม ขยันผิดวิสัยป้อมเราแบบนี้จะให้ลงโทษได้ยังไงนะนีชา” หันไปถามความเห็นคนข้างๆ ที่ทำหน้าไม่ถูก

“ธีโอ อย่าไปแกล้งน้องมันเลย”

“คนคุมกฏเขาว่างั้นแน่ะ” หัวหน้าป้อมหัวเราะ “รีบกลับก่อนจะยิ่งมืดกว่านี้เลย”

“...แล้วก็อย่ามายืนลับๆ ล่อๆ แอบฟังคนเขาคุยกันอีกล่ะ” นีชาสำทับ

“เราเดินคุยกันตามทางเดินจะว่าน้องมันแอบฟังก็ไม่ถูก” เป็นคำที่เอลเกือบพยักหน้าตามถ้าไม่มีประโยคต่อไป “ความอยากรู้อยากเห็นก็เป็นเสน่ห์ที่น่าหลงใหลดีออก”


เด็กหนุ่มจากอีสเทรียรู้สึกถึงอะไรบางที่ทำให้หวาดหวั่นจนเผลอก้าวถอยหลัง รอยยิ้มใจดียังคงฉายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา จะมีก็เพียงแต่สีหน้าแสดงความสงสารจากนีชาที่ช่วยยืนยันว่าตัวเองกำลังประสบเคราะห์ร้าย

คนถึงคราวซวยเอ่ยปากขอตัวกลับทันที โดยไม่ลืมสัญญาว่าสิ่งที่ได้ยินจะไม่หลุดไปจากปากเขาแม้ว่าจะจับใจความอะไรไม่ได้ก็ตาม


“เอล! แมทสบายดีไหม!” ธีโอฟีลตะโกนไล่หลังมาให้สะดุ้งเล่นก่อนจะกัดฟันตอบกลับไปอย่างสุภาพที่สุด

“ผมว่าเรื่องนั้นพี่น่าจะทราบดีกว่านะครับ!”



“เป็นอะไรทำหน้าเหมือนเห็นผี”


เมื่อเปิดประตูออกตามเสียงเคาะฟอนก็อดจะทักไม่ได้เมื่อเพื่อนที่หายหัวไปกลับมาพร้อมหนังสือหนาหนักสองเล่มกับหน้าซีดเซียวเป็นกระดาษ


“เฮ้! เอล!!”


เด็กหนุ่มรู้สึกซวนเซราวกับจะเป็นลม แข็งใจเดินผ่านเพื่อนที่ยังงุนงงกับสภาพของเขาไปยังโต๊ะหนังสือ ตอนนี้แม้กระทั่งเจ้าชายดำผู้ไม่ใส่ใจโลกยังต้องหันมามอง


“เอล!!”


เสียงร้องอย่างตกใจดังขึ่นเมื่อคนฝืนสังขารไม่ไหวล้มหน้าคว่ำใส่เจ้าชายแห่งเซสที่เอื้อมมือมาคว้าแทบไม่ทัน


“ไม่เป็นไร...ขอบใจ” สูดลมหายใจลึกก่อนจะค่อยยันตัวขึ้นจากท่อนแขนของเพื่อนร่วมห้องผู้สูงศักดิ์

“นายตัวเย็นมาก” เรนาร์ดออกความเห็น ใบหน้านิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

“เดี๋ยวก็หาย” ดวงตาสีเขียวมรกตฉายแววกระด้าง ร่างเล็กลุกขึ้นโงนเงนก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง “แค่หน้ามืดน่ะ”


เรียวคิ้วของคนเป็นเจ้าชายยิ่งขมวดเข้าหากัน แต่ก่อนที่จะได้ว่าอะไรเพื่อนร่วมห้องอีกคนก็ชิงเข้าไปถามนู่นนี่เรียบร้อยจึงปล่อยเลยตามเลย


“แล้วนี่หายหัวไปไหนมา นี่ถ้าไม่กลับมาก็ลืมไปแล้วนะว่าหายไป” ฟอนเย้า

“หายหัวไปหาหนังสือมาเขียนรายงานให้ไอ้คนไร้ความรับผิดชอบอย่างนายยังไงล่ะ” เหน็บกลับไปตรงๆ แต่คนโดนกลับยิ้มร่า

“นี่ก็เหมือนกัน ถ้านายไม่เอามาก็ลืมไปแล้วนะว่าทำคู่กัน”


เอลนึกอยากจะร่ายเวทย์ใส่มันสักโครมถ้าไม่ติดว่าเกรงใจอีกคนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ไม่ไกล

เด็กหนุ่มก้มมองมือตัวเองที่เมื่อครู่เผลอคว้าแขนเจ้าชายไว้เต็มมือ ความอุ่นวาบที่สัมผัสได้เหมือนจะเป็นสัญญาณบางอย่างที่เขาไม่ควรมองข้ามไป...




TBC


talk เหมือนมาต่อเร็ว...ไม่ใช่ค่ะ อันนี้คือสต๊อคที่เก็บไว้ 5555555555

No comments:

Post a Comment