Saturday 6 August 2016

[fic] 「緣分」 fate 02 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

「緣分」

fate




Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)

Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

Rate : G

Timeline : ช่วงปี1960-1963

***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event2 28/8/59***

แบบสอบถามความสนใจ+รายละเอียดค่ะ >> https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfZokZ6TKMev2-oNPyhfYMPvrmB4TDHrwEnpPdWVCocyIIx1g/viewform




02



ลมเย็นริมทะเลสาบหอบเอาความชื้นพัดผ่านจนอุณหภูมิลดต่ำ ผืนน้ำสะท้อนแสงแดดจ้าหลังฝนเป็นประกายระยิบระยับงดงามราวกับอัญมณีเลอค่า แม้จะอยู่ในยุคที่แผ่นดินลุกเป็นไฟแต่ทะเลสาบซีหูก็ยังคงเสน่ห์ของมันเอาไว้ได้ดี

ชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นหลิวเหม่อมองช่อดอกบัวบานสีสันสดใสด้วยแววตาว่างเปล่า จนกระทั่งมีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังจึงวาดรอยยิ้มกว้างหันกลับไปทักทาย


“เหล่าปา...เป็นอย่างไรบ้าง”


อู๋เหลาโก่วออกปากทักเพื่อนที่ไม่พบหน้ากันมาหลายปี แววตาหลังกรอบแว่นของเจ้าบ้านแปดยังคงไม่เปลี่ยนแปลง รวมถึงบรรยากาศรอบตัวที่ยังคงรักษาความลึกลับเอาไว้ได้อย่างดี


“นับว่าสุขสบายเมื่อเทียบกับยามนี้” ฉีเถียจุ่ยตอบก่อนจะเดินมาหยุดยืนข้างคนที่มาก่อน “เซี่ยจิ่วกับเจ้าเองก็คงสบายดีสินะ”

“ฝึกหมาให้ทางการก็ไม่แย่นัก หลังจากหักค่าปิดปากก็ได้ค่าตอบแทนตามสมควร”


ภายหลังยุคที่เก้าสกุลแห่งฉางซาล่มสลาย ต่างคนต่างหาทางออกให้กับตนเอง ฉีเถียจุ่ยที่คาดเดาสถานการณ์ได้ก่อนหลบหนีออกไปไม่มีใครเห็นแม้แต่เงา เซี่ยจิ่วอาศัยฉากหน้าของนักธุรกิจที่มีความสัมพันธ์เรื่องเส้นสายในการจัดหาอาวุธให้กับทางการยืนหยัดต้านอำนาจส่วนกลางอยู่ระยะหนึ่งก่อนจะย้ายไปปักกิ่ง ส่วนอู๋เหลาโก่วที่หนีเอาตัวรอดมาได้ถึงหังโจวแม้จะได้พึ่งใบบุญสกุลเซี่ยแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมืออำนาจ ข้อเสนอในการเพาะพันธุ์และฝึกสุนัขทหารถูกยื่นมาให้แทนบทลงโทษแบบไร้ทางปฏิเสธ


“เจ้าคงรู้ว่าฮั่วผอจื่อเสียแล้ว” เจ้าบ้านแปดพูดพลางมองผืนน้ำเบื้องหน้า “ฮั่วเซียนกูจะลงใต้มาในฐานะเจ้าบ้าน”

“ทางเอ้อร์เหยียยังคงเงียบอยู่ แต่เฉินผีอาซื่อมีข่าวเรื่องรวบรวมลูกศิษย์ มีแต่คนให้ความสนใจเรื่องนี้” อู๋เหลาโก่วถอนหายใจ “เซี่ยจิ่วว่าซานเหยียก็ตอบตกลง...ขาดเพียงลิ่วเหยียเก้าสกุลก็จะกลับมารวมกันอีกครั้ง”

“ลิ่วเหยียไร้ทายาท แต่บ้านหกจะมีตัวแทนใหม่”

“รู้ขนาดนี้แล้วเจ้ารู้ด้วยไหมว่าพวกเรากำลังจะไปทำอะไรกัน” เสียงแค่นหัวเราะดังขึ้น “รัฐบาลจะจ้างโจรไปทำอะไร เก็บกู้สมบัติชาติ?”

“...ข้าเห็นเพียงแต่ทางเดินสีดำมืดที่อาบไปด้วยเลือด”

“เห็นอย่างนั้นเจ้าก็ยังกลับมา?” เขาหันไปถามทันที

“จางฉี่ซานในขณะนี้ก็เหมือนเกาทัณฑ์ง้างอยู่บนคันศร ไม่ปล่อยก็ไม่ได้ จะผ่อนสายก็ไม่ทันแล้ว” ฉีเถียจุ่ยหันกลับมาสบตาเพื่อน “ข้อเสนอของทางการจะนับว่าคุ้มค่าก็คุ้มค่า หากล้างมลทินของตระกูลได้พวกเราก็มีโอกาสที่จะเริ่มใหม่”


หนึ่งในข้อเสนอของการคีบลามะครั้งนี้คือแลกเปลี่ยนกับโทษทัณฑ์ในอดีต ทั้งเก้าสกุลจะเป็นอิสระจากการตามกวาดล้างของทางการ แม้จะเจ็บปวดกับชีวิตเพื่อนพ้องที่สูญเสียไปแต่สำหรับสกุลอู๋ที่ขึ้นลงกรวยมาตั้งแต่จำความได้ การล้างประวัติที่แปดเปื้อนนั้นจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเริ่มต้นใหม่...โดยยังไม่นับถึงเหตุผลอื่นที่ทำให้อู๋เหลาโก่วตกลงอย่างไม่ต้องคิด


“นั่นมันคุ้มค่าสำหรับสกุลระนาบอย่างข้า พวกเจ้าสามสกุลล่างไม่จำเป็นต้องใช้เงื่อนไขนี้ก็ยังใช้ฉากหน้าค้าขายต่อไปได้”

“สกุลฮั่วมีชนักติดหลังมากเกินไป ทั้งเรื่องพี่ชายของฮั่วเซียนกู ทั้งเรื่องคว่ำกรวย ต่อให้แต่งงานเข้าอิงกับหน่วยเหนือก็ยังลำบาก” ฉีเถียจุ่ยอธิบายช้าๆ “สำหรับพวกข้าเรื่องนี้ก็ยังมีประโยชน์ และอีกประการคือข้ากับเซี่ยจิ่วรู้ดีว่าเจ้าจะตกลง”


อู๋เหลาโก่วเม้มปากแน่น เขารู้ดีว่านี่คือความจริงใจของเพื่อนที่มอบให้กันมายาวนาน


“เหลาอู่ ข้าเคยตั้งใจเอาว่าจะไม่ตรวจดวงชะตาให้กับชนชั้นปกครองเพราะชะตากรรมของเขาเหล่านั้นผูกโยงกับคนมากมายเกินไป...พ่อพระใหญ่จางเองก็เช่นกัน”

“พอเถอะ ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าไม่อยากรู้สิ่งที่ยังมาไม่ถึง” เขาตัดบทเพื่อนพร้อมหันไปยิ้มให้ “ขอโทษนะเหล่าปา อย่างไรข้าคงไม่เปลี่ยนใจ หากเมื่อใดที่พวกเจ้ารู้ว่าได้ไม่คุ้มเสีย จงไปเถอะ อย่าห่วงข้า”


เถ้าแก่บ้านแปดฟังดังนั้นก็เลิกคิ้วก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากในลำคอ แววตาหลังกรอบแว่นมีประกายบางอย่างฉายออกมา


“เจ้ายังคงเหมือนเดิมเสมอ เหลาอู่” เขาพูดออกพร้อมกับสีหน้าผ่อนคลาย “คนที่ยังมองโลกในแง่ดีอยู่ได้แม้ในสถานการณ์เช่นนี้คงมีแต่เจ้า อย่าลืมว่าพวกข้าก็เป็นหนึ่งในเก้าสกุลใหญ่ เรื่องชั่วช้าก็ทำมาไม่น้อยเลย”

“คราวนี้เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าไม่กลัวพวกเจ้าหรอก อย่ามาพูดขู่ให้ใจเสียหน่อยเลย” อู๋เหลาโก่วเม้มปากพลางตอบอย่างหงุดหงิด


คนฟังได้ยินดังนั้นก็หัวเราะลั่นซึ่งอาจจะเป็นเสียงหัวเราะที่ดังที่สุดในรอบสิบปีนี้ก็เป็นได้ หลังจากถกเถียงกันจนพอใจทั้งสองยืนคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่ริมน้ำอีกสักพักก่อนที่ครูฝึกหมาจะต้องขอตัวไปทำหน้าที่ของตน


ใบไม้เรียวเล็กของต้นหลิวเสียดสีกันเองตามแรงลมเกิดเป็นดนตรีชวนเหงา หมอกจางทิ้งตัวลงมาเรื่อยๆ จนประกายบนผิวน้ำเริ่มอ่อนแสง เถ้าแก่บ้านแปดส่งยิ้มไล่หลังเพื่อนไปก่อนที่ดวงตาสีดำล้ำลึกจะฉายแววหม่นหมองออกมาอย่างปิดไม่มิด

โก่วอู่แห่งฉางซาไม่ชื่นชอบการพยากรณ์นักแม้จะหลงใหลการพนันไม่แพ้ฮูหยินของเฮยเป้ยเหล่าลิ่ว หลายครั้งที่เขาอยากเตือนออกไปแต่คำพูดก็ติดค้างอยู่ตรงริมฝีปาก...รวมถึงครั้งนี้ก็เช่นกัน


ชั่วชีวิตของอู๋เหลาโก่วนั้นดีและยืนยาว...แต่จะมีอยู่สองเรื่องที่ไม่อาจเป็นได้ดังใจ


เรื่องหนึ่งคือเรื่องของพี่ชาย...ส่วนอีกเรื่องนั้นกำลังจะมาถึง


++++++


สายฝนที่ตกลงมาไม่หยุดหย่อนทำให้อากาศเย็นชื้นอยู่ตลอดเวลาจนคนที่เคยชินกับอากาศไม่รู้สึกอึดอัดเท่าไร แต่หมอกที่หนาหนักรอบอาคารทำให้ไม่สามารถเห็นบรรยากาศโดยรอบได้จนมองคล้ายกับถูกขังอยู่ในคุก

ชายในชุดเครื่องแบบยืนมองออกไปด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย มือทั้งสองไพล่หลังอย่างเคยชินในท่วงท่าที่สง่างาม สีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอะไรปิดซ่อนความรู้สึกเอาไว้ได้เป็นอย่างดี


เวลาสิบปีที่ผ่านมาจางฉี่ซานเคยมาเยือนหังโจวหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งเขาจะรีบเร่งทำธุระให้เสร็จแล้วจากไป แม้แต่ทะเลสาบซีหูก็ยังไม่เคยได้มองเต็มตาจริงๆ

เขากลัวว่าหากอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้อาจจะพบเจอกับคนที่หลีกหนีมาตลอด...และจะไม่สามารถหันหลังให้ได้เหมือนครั้งนั้นอีก


‘ไปหังโจวซะ ลืมเรื่องนี้ไปให้หมด’


จางฉี่ซานเป็นคนพูดประโยคนี้ออกมาเองที่ริมแม่น้ำซ่งฮวาเจียง แต่ตัวเขาเองกลับไม่เคยลืมได้แม้แต่เสี้ยววินาที


บาปกรรมที่ตัวเขาเองสร้างขึ้น ก็มีแค่สองบ่านี้ที่ต้องแบกรับ...เขาไม่อาจดึงใครมาทุกข์ทรมานด้วยได้อีก


สิบปีที่ผ่านมาแผ่นดินจีนมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากมายภายใต้เบื้องหลังของความอดอยากที่โหดร้าย ขั้วอำนาจไหลเปลี่ยนเวียนวน การทรยศหักหลังและผลประโยชน์เป็นเรื่องดำมืดที่กลายเป็นความปกติสามัญ

ตัวเขาเองก็ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็หันกลับมาเห็นแต่เส้นทางที่ย้อมด้วยเลือดแดงฉาน...อ่อนล้าที่จะก้าวต่อไปเพียงใดแต่ก็ไม่อาจก้าวถอยหลัง


บนเส้นทางนี้สมควรมีแต่ตัวเขาเพียงผู้เดียว


“พวกเขามารวมตัวกันครบแล้ว”


จางฉี่ซานกล่าวขึ้นในความเงียบงัน เมื่อหันหลังกลับไปห้องที่เคยอยู่เพียงลำพังก็มีแขกผู้มาเยือนในมุมมืด


“ข้าขอพูดกับพวกเขาด้วยตัวเอง” เสียงราบเรียบกล่าวขึ้นช้าๆ

“เจ้าคิดว่าพวกเขาจะเชื่องั้นหรือ” นายทหารใหญ่ถามกลับในทันที “การเปิดเผยตัวตนของเจ้าตอนนี้มีแต่ผลเสีย”

“แต่พวกเขาจำเป็นต้องรับรู้เงื่อนไขของข้า”


คนในเงามืดก้าวออกมาเผยให้เห็นเสี้ยวหน้าอ่อนวัย ชายผู้นี้มีรูปร่างสูงสมส่วน แม้จะอยู่ในชุดรัดกุมแต่ก็ยังเห็นความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แบบ ท่าทางนิ่งเฉยนั้นไม่หวั่นเกรงต่อบุคคลผู้มีอำนาจตรงหน้าแม้แต่น้อย


“จุดประสงค์ของข้ากับของท่านไม่เหมือนกัน และพวกเขาต้องได้รู้ในจุดนี้” เสียงทุ้มย้ำคำเดิม

“เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าเป็นคนที่มาขอความช่วยเหลือ”

“แต่ท่านจำเป็นต้องมีข้า”


เสียงแค่นหัวเราะดังขึ้นจากผู้ที่สูงวัยกว่า นายทหารหรี่ตามองใบหน้ารูปสลักของคนตรงหน้า แววตาว่างเปล่านั้นไม่สะท้อนความรู้สึกใดออกมาแม้แต่น้อย


“สกุลจางถึงจุดที่ต้องล่มสลายแล้ว...จางฉี่หลิง”

“ข้ารู้...แต่หากพวกท่านไม่ยอมรับเงื่อนไข ความลับในประวัติศาสตร์พันปีของแผ่นดินจีนก็จะตายจากไปพร้อมกับสกุลของเรา...จางฉี่ซาน”


เมื่อพูดจบ ก็เดินจากไปพร้อมเสียงฝีเท้าเงียบงัน คนผู้นี้มีวิชาร้ายกาจราวกับภูตผี แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ใจนิ่งสงบของพ่อพระใหญ่แห่งฉางซาร้อนรุ่ม

นายทหารใหญ่รู้ดีถึงความหมายแฝงในคำพูดของอีกฝ่าย เพียงแต่เขาได้คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ มาตลอดสิบปี ทุกสิ่งทุกอย่างได้กลั่นกรองผ่านเหตุผลและความรู้สึก...เขาได้ตัดสินใจไปแล้ว


จางฉี่ซานไม่อาจก้าวถอยหลังได้อีก


...TBC next week

No comments:

Post a Comment