「秋天开的花朵」
Blossom in Autumn
Blossom in Autumn
Fandom
: Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)
Pairing
: 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
Rate
: G
Timeline
: หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event 16/8/58 จะลงสัปดาห์ละตอนไปเรื่อยๆ จนถึงวันงานนะคะ***
ตอนนี้ปิดpre-orderแล้วนะคะ แต่ยังสามารถไปซื้อได้ที่หนา้งานค่ะ
05
ครั้งนี้อู๋เหลาโก่วเดินทางติดตามไปในฐานะลามะ เขาไม่อยากถามอะไรให้มากความแต่ก็ลอบสังเกตสิ่งต่างๆ
อยู่เงียบๆ คณะของพ่อพระใหญ่เดินทางย้อนรอยทางทัพเดิมของคนโบราณ
ทางเดินภูเขาพวกนี้ไม่มีคนใช้มานานหลายสิบปี มันผุพังไปมากซ้ำยังซับซ้อนไม่รู้จุดหมาย
หลังจากเดินเท้าติดต่อกันมาร่วมสัปดาห์
คณะเดินทางก็มาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง
เนินดินด้านล่างเป็นสีแดงโดดเด่นอยู่ท่ามกลางป่าเขียวชอุ่ม
พวกเขาไต่ลงไปตามเนินแล้วตั้งค่ายอยู่ตรงแนวพุ่มไม้ด้านข้าง
เมื่อถึงที่หมายทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเร่งรีบ เขาที่อยู่ในฐานะแขกพิเศษก็ไม่เชิง
คนทำงานก็ไม่เชิงจึงไม่รู้จะลงมือทำอะไรดี
อู๋เหลาโก่วถือเป็นคนหนุ่มอายุน้อยเมื่อเทียบกับนักขุดทั่วไป
ในคณะคว่ำกรวยนี้นอกจากหลี่ซือเย๋และทหารเด็กๆ ไม่กี่คนนอกนั้นก็ล้วนแต่อายุมากกว่าเขาทั้งสิ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่สะดวกใจนักกับการที่คนอายุมากกว่าจะมาพูดนอบน้อมด้วย
ทำให้ไม่ค่อยได้ผูกมิตรกับใครเท่าไร
เสียงเห่าเบาๆ เรียกให้อู๋เหลาโก่วดึงหมาจิ๋วออกมาจากแขนเสื้อ
จมูกเล็กๆ ของมันขยับไปมาก่อนจะกระโดดลงจากมือเจ้าของแล้ววิ่งซุกซนเข้าไปในพงหญ้า
ชายหนุ่มจึงเดินทอดน่องไปพร้อมกับเจ้าหมาดำแทน
ชายหนุ่มทรุดตัวนั่งยองๆ เขากำดินแห้งๆ ขึ้นมาจรดที่จมูก ...ยังคงไม่ได้กลิ่นอะไรทั้งนั้น
“ถังเซิง เจ้าว่าที่นี่เป็นอย่างไร”
หูทั้งสองกระดิกราวกับเข้าใจก่อนจะใช้อุ้งเท้าเขี่ยดินแดงไปมาแล้วถอยออกห่าง
กิริยาของมันทำให้เขาหัวเราะเบาๆ
โยนดินแดงในมือใส่จนเพื่อนตัวดำขู่แฟ่กลับมา
เมื่อแรกเห็นสถานที่แห่งนี้ความทรงจำของชายหนุ่มก็ทับซ้อนขึ้นมาเป็นภาพของเนินเปียวจื๋อหลิ่งในอดีต
ก่อนจะสลัดภาพความฟุ้งซ่านนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว บนภูเขาแถบฉางซามีภูมิประเทศแบบนี้อยู่หลายแห่งจนกลายเป็นต้นกำเนิดของตำนานศพโลหิตเฝ้าทอง
กระนั้นแล้ว...ความรู้สึกของเขาที่มีต่อดินสีแดงก็เห็นจะมีแต่ความปั่นป่วนชวนคลื่นเหียนทั้งสิ้น
“ดินแดงตรงนี้จะมีศพโลหิตอยู่จริงไหม”
ชายหนุ่มเงยหน้ามองปลายรองเท้าที่มาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ หลี่ซือเย๋ชะโงกหน้ามาถามเขาที่นั่งอยู่กับพื้นอย่างสนใจ
“...ถ้าข้ามาคนเดียวคงต้องตอกเสียมลั่วหยางลงไปดู” ศิษย์สำนักใต้ยืดตัวลุกขึ้นทันทีแล้วย้อนกลับไป
“แต่พวกท่านคงมีคำตอบในใจอยู่แล้ว...ว่าไง
ใต้นี้จะมีศพโลหิตอยู่จริงไหม?”
ใบหน้าแหลมเปิดรอยยิ้มไม่บอกความหมาย
ส่วนเจ้าของคำถามก็รู้คำตอบดีจนคร้านจะว่าอะไร
แม้ศพโลหิตตรงนี้จะไม่ใช่ของจริง
แต่สุสานโบราณที่พ่อพระใหญ่จางทุ่มทุนนำกำลังคนขึ้นมาถึงบนนี้ย่อมมีอะไรบางอย่าง
ทั้งจำนวนคน อาวุธ ตัวบุคคลอย่างพ่อพระเอง หลี่ซือเย๋และตัวเขา ทุกอย่างชี้นำไปถึงเบื้องลึกเบื้องหลังที่ผู้คีบลามะไม่ได้ตั้งใจปิดบัง
ราวกับรู้ว่าแม้เขาจะได้กลิ่นของความไม่ชอบมาพากลเพียงไรก็จะไม่ถอนตัว
ซึ่งถูกต้องแล้ว...เขาจะไม่ถอนตัวอย่างเด็ดขาด
พ่อพระใหญ่จางเรียกซือเย๋ของคณะไปหารืออะไรบางอย่าง
อู๋เหลาโก่วจึงถือจังหวะนี้เดินสำรวจพื้นที่โดยรอบอย่างไม่อยากไปยุ่งยากกับธรรมเนียมมากมายของสำนักเหนือ
ไม่นานนักหมาตัวจิ๋วที่หายไปนานก็มุดพงหญ้ากลับมาในที่สุด
ชายหนุ่มเกือบจะออกปากดุมันก่อนจะสังเกตเห็นวัตถุบางอย่างที่สะท้อนแสงอยู่ในปาก
จึงรีบรับซันชุ่นติงกลับเข้ามาในแขนเสื้อ แล้วถือโอกาสที่ทุกคนกำลังสาละวนอยู่กับหน้าที่ของตัวเองหยิบของนั้นมาดูให้มั่นใจ
สัมผัสเย็นเยียบของปลอกกระสุนที่มีรอยเลือดเกรอะกรังทำให้หัวคิ้วของชายหนุ่มขยับเข้าหากันทันที
แม้จะเป็นยามกลางวัน แต่อากาศในหุบเขายังเย็นเยียบกว่าตัวเมืองในที่ราบอยู่มาก
อู๋เหลาโก่วที่เอาแต่เดินไปเดินมาเพื่อคลายหนาวจึงดีใจอย่างมากที่ถูกเรียกตัวมาใช้งานในที่สุด
วิธีขุดสุสานของสำนักเหนือใต้มีความแตกต่างในหลักใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
และแต่ละตระกูลก็ยังมีวิชาก้นหีบเป็นของตัวเองอีก สกุลอู๋มีชื่อเสียงมาจากการดมกลิ่นดูหน้าดิน
แม้จะเป็นดินแดงๆ เหมือนกัน แต่องค์ประกอบของมันให้ข้อมูลได้มากกว่าที่คิด
ในปัจจุบันคนที่รู้วิชานี้ก็เห็นจะเหลือแต่ตัวเขาคนเดียว ซ้ำเขาเองยังมีวิชาแบบกระท่อนกระแท่นเพราะอาศัยครูพักลักจำเอาจากที่พ่อและปู่สอนพี่รอง
จางฉี่ซานคลี่ม้วนแผนที่ซึ่งวาดจากพู่กันออกตรงหน้า
ก่อนจะชี้จุดฮวงจุ้ยอธิบายสิ่งที่ตนคิดออกมาจากการอ่านวิเคราะห์ตามหลักการ
ปลายนิ้วลากผ่านจุดต่างๆ ย้อนรอยบรรดานายช่างในอดีตจำลองผังห้องสุสานขึ้น
นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นการขุดสุสานแบบ ‘ผู้ดี’ ที่ญาติผู้ใหญ่เคยว่าถึง
“...แล้วเจ้าเห็นว่าอย่างไร”
“ถ้าท่านถามข้าแบบนี้ ข้าก็ตอบได้ดังที่ว่าไป” หลังจากที่ถกเถียงกันอยู่นานชายหนุ่มก็ผิวปากเรียกสุนัขสีดำกลับมา
“สำนักใต้อย่างไรก็ต้องลงเสียมลั่วหยาง
หากท่านยืนกรานจะใช้วิธี ‘เจิมถ้ำล่ามังกร’ ของท่าน ข้าก็คงช่วยออกความเห็นได้เพียงเท่านี้”
นายทหารใหญ่พยักหน้ารับก่อนจะหันไปปรึกษาบางอย่างกับซือเย๋อายุน้อยที่มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน
สุสานแห่งนี้มีปัญหา...บางทีทางจางฉี่ซานอาจจะรู้ข้อนี้อยู่แล้วจึงต้องดึงตัวเขามาร่วมงานนี้ด้วย
วิชาฮวงจุ้ยของพ่อพระใหญ่ลึกล้ำ แต่กระนั้นก็ยังมีจุดที่ตีความไม่ออก
เมื่อได้ข้อมูลเพิ่มเติมไปจึงกลับไปสุมหัวกันอย่างคนมีความรู้ต่อ
อู๋เหลาโก่วเห็นดังนั้นก็โคลงศีรษะแล้วถอยฉากออกมา...คงจะเป็นข้อดีอีกครั้งของเซี่ยจิ่วผู้ทำให้เขารู้สึกฉลาดน้อยจนชินชา
ทำให้ปล่อยวางกับระดับมันสมองได้แบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรนัก
เมื่อเวลาล่วงเลยไปมาก เหล่าทหารผู้ติดตามจึงจัดอาหารกลางวันเตรียมไว้
แต่ก็เกือบเย็นย่ำแล้วกว่าที่ผู้นำคณะจะได้ข้อสรุปแล้วยอมวางงานในมือ
บรรยากาศขณะนั้นดูตื่นตัวกว่าปกติ จนแม้แต่คนนอกอย่างอู๋เหลาโก่วยังสัมผัสได้ว่าจากนี้คงจะเป็นการเริ่มลงมือของจริง
แต่สิ่งที่ดึงความสนใจของเขาได้มากกว่าการคว่ำกรวยคือจางฉี่ซานผู้แยกออกมานั่งห่างจากผู้อื่นชัดเจนผิดวิสัย
ดูจากกระแสอากาศรอบตัวนั้น ชายหนุ่มก็คาดเดาเอาเองว่าอีกฝ่ายกำลังใช้ความคิดจึงไม่มีลูกน้องคนไหนกล้าเข้าไปกวนใจ
...แต่อู๋เหลาโก่วใช่ลูกน้องของจางฉี่ซานเสียเมื่อไร
“ยังคิดเรื่องเจิ่มถ้ำล่ามังกรไม่จบอีกหรือ”
เขาวาดรอยยิ้มแล้วนั่งลงด้านข้างก่อนจะเอ่ยคำกระเซ้าไป “หากคิดไม่ตกเสียที
ท่านก็น่าจะลองเปลี่ยนมาใช้วิธีสำนักใต้ ลงเสียมลั่วหยางดูบ้าง”
“...จริงสินะ เซี่ยจิ่วบอกว่าเจ้าเคยขุดสุสานศพโลหิต”
คำตอบกลับของอีกฝ่ายกับสีหน้าที่อ่านไม่ออกทำให้คนอารมณ์ดีถึงกับนิ่งไป
“จะว่าตัวข้าก็ไม่ถูกนัก...ในตอนนั้นคนที่ขุดลงไปคือ ปู่ พ่อ และพี่รอง” อู๋เหลาโก่วตอบไปตามตรง ก่อนจะหลับตานึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น “ข้ายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าสิ่งที่พวกเขาเจอคือศพโลหิตจริงหรือไม่”
“หากสกุลอู๋พลาดท่าก็คงไม่ใช่ผีดิบธรรมดา”
อู๋ตากุ้ยผู้เป็นบิดานั้นจางฉี่ซานเคยได้รู้จักอยู่บ้าง
สกุลอู๋เป็นนักขุดฝีมือดีแต่มักทำงานกันเองมากกว่าจะคีบลามะ
ช่วงหลังที่ข่าวคราวของสกุลห้าเงียบหายไปเขาเองก็ได้ยิน แต่ด้วยเหตุการณ์ทางการทหารที่ผันผวนทำให้ไม่ได้ใส่ใจนัก
เมื่อรู้อีกทีก็กลับกลายเป็นบุตรชายคนที่สามขึ้นมาเป็นเจ้าบ้านแทนเสียแล้ว
“สิ่งที่มีปัญหาอาจไม่ใช่ศพโลหิต เพราะต่อให้สู้มันไม่ได้ก็ควรจะหาทางหนีทีไล่ได้...สุสานนั่นต่างหาก” เขาว่าไปแล้วก็ชะงักก่อนจะถามกลับไปตามตรง "ท่านเคยเห็นศพโลหิตจริงๆ
ไหม”
“เคย” คนแก่ประสบการณ์ตอบ “ได้ไม่คุ้มเสียสักนิด”
“แต่ท่านก็ยกพลขึ้นมาตามหาของที่ได้ไม่คุ้มเสีย?”
“ของบางอย่างก็เทียบเป็นความคุ้มค่าไม่ได้”
เจ้าบ้านสกุลห้าคล้ายกับจะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้านิ่ง “เรื่องติดค้างที่ต้องทำ
แม้จะได้ไม่คุ้มเสียก็ตาม...ดังนั้นหากจะลงกรวยนี้ เจ้าต้องยอมทำตามคำสั่งข้า”
“...เซี่ยจิ่วบอกอะไรอีกหรือไง” ชายหนุ่มกัดฟันกรอด
“ข้าเดา”
นายทหารใหญ่ลุกขึ้นก่อนจะทิ้งรอยยิ้มที่หาความดีไม่ได้เอาไว้
“ส่วนสาเหตุว่าทำไมจึงไม่ควรปักเสียมลั่วหยางลงไปมั่วซั่ว ก็เพราะมันจะทำให้ลูกคนที่สามกลายเป็นเจ้าบ้านเร็วขึ้น...โก่วอู่เย๋”
พอแผ่นหลังกว้างห่างออกไปอู๋เหลาโก่วก็พ่นลมหายใจพรืดเอามือลูบหน้าที่เหมือนโดนตบ...จะว่าโกรธเคืองก็โกรธแต่อีกกึ่งหนึ่งก็รู้สึกพลาดมากที่สุด...ไม่เคยคิดว่าจะโดนเอาคืนเช่นนี้จริงๆ
ซันชุ่นติงในแขนเสื้อคลานออกมาแล้วใช้ดวงตาโตจ้องหน้าเจ้าของ
“ไม่ต้องมองข้าแบบนั้นเลย...ปกติเห็นใจดีออกอย่างนั้น
ใครจะไปรู้ว่าเป็นพวกสำนักข้าดีที่สุดในโลก” บ่นแก้ตัวอุบอิบอีกหลายคำจนหมาน้อยเห่าสมน้ำหน้ากลับมา
คนที่ลอบสังเกตการณ์มานานจึงถือวิสาสะเดินมานั่งแทนที่เจ้านาย
“ก็คงจะมีแต่ท่านโก่วอู่เย๋ที่กล้าพูดจาแบบนี้กับพ่อพระใหญ่จาง”
“...ถ้าไม่ช่วยก็ไม่ต้องเหยียบข้าซ้ำ หลี่ซือเย๋” สวนกลับพร้อมเน้นหนักที่คำหลัง
“ข้าแค่ว่าตามจริง”
ชายผอมแห้งหัวเราะชอบใจอย่างไม่ถือสา “นอกจากท่านแล้วพ่อพระไม่เคยพูดจาแบบนี้กับใครหรอกนะ”
“พวกทหารในกองก็ดูสนิทสนมกับพ่อพระดีไม่ใช่หรือไง”
“ท่านยังไม่รู้จักสังคมทหาร”
ผู้ที่ไม่ได้เป็นทหารเช่นกันว่า “ผู้บังคับบัญชาในสายตาของผู้น้อยคือเจ้าชีวิต
ต่อให้พ่อพระสั่งไปกระโดดหน้าผาตอนนี้ พวกเขาก็จะทำตามอย่างไม่ขัดข้อง”
“...พูดเป็นเล่นไป”
“ในภาวะสงครามย่อมไม่มีใครถามหาเหตุผลของการกระทำ
สิ่งที่พวกเขาศรัทธามีเพียงคำสั่งของนายเหนือหัว...ทหารทุกนายก้มหัวยอมเดินตามรอยเท้าของพ่อพระใหญ่แม้จะไม่เห็นเส้นทาง
ก็เพราะเชื่อมั่นในตัวตนของท่าน” ซือเย๋หนุ่มเอ่ยเสียงเรื่อย
ก่อนจะสำทับประโยคสุดท้ายไว้ให้คนฟังคิดตาม “พ่อพระใหญ่ไม่ใจดี
เพราะท่าน ‘ดี’ เกินกว่าจะเป็นแค่คำว่า
‘ใจดี’ ”
คนที่ใช้ชีวิตอย่างไร้กฏเกณฑ์มาตลอดอย่างอู๋เหลาโก่วฟังแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะอย่างเข้าไม่ถึง
เขาไม่เถียงอะไรอีกแต่ยังคงไม่เปลี่ยนความคิด
เรื่องความยิ่งใหญ่ของจางฉี่ซานนั้นเขารู้ดี...ประชาชนในฉางซารวมถึงตัวเขาเองติดหนี้ให้คนคนนี้อย่างหาที่สิ้นสุดมิได้
ทว่านอกเหนือจากความรู้สึกนับถือเลื่อมใสนั้น ชายหนุ่มยังอยากสัมผัสได้ถึงด้านมุมอื่นอีก
เพราะแววตาที่เห็นในสายฝนวันนั้น...ก็คือผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งผู้ยืนหยัดอยู่อย่างเดียวดายในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ
++++++
“หมายความว่ายังไง!?”
“ก็หมายความตามนั้น วันพรุ่งนี้เราจะลงเขา”
ใบหน้านิ่งบอกเขาราวกับประโยคนั้นไม่ได้มีความหมายอะไร ทั้งๆ
ที่มันคือเรื่องยิ่งใหญ่อย่างที่ชายหนุ่มยอมรับไม่ได้
“มีผีเป่าเทียน ไม่เหมาะที่จะขุดสุสาน ถ้ายังดื้อรั้นลงไปจะมีเหตุได้” ยามที่พูดแบบนี้ออกมา สีหน้าของนายทหารใหญ่ก็ยังไม่เปลี่ยนสักนิด
“สำนักใต้ไม่มีธรรมเนียมนี้เราก็ยังขุดกันได้ อุตส่าห์ดั้นด้นขึ้นมาถึงบนนี้
ท่านจะหันหลังกลับลงไปง่ายๆ งั้นหรือ!?”
อู๋เหลาโก่วกำลังร้อนใจ เขาไม่ได้เตรียมใจมารับเหตุการณ์นี้
ความรู้สึกของเขาก็เหมือนนักโทษประหารที่ถูกกำหนดวันตายแล้วแต่กลับถูกเลื่อนออกไป
“ไม่ต้องห่วง ส่วนแบ่งของเจ้าที่ตกลงกันไว้ย่อมเป็นตามเดิมไม่มีบิดพริ้ว”
ว่าจบก็ผละออกไปไม่ฟังคำทัดทานใดๆ ต่อ ทิ้งให้เจ้าบ้านสกุลออู๋กำหมัดแน่น
การคว่ำกรวยครั้งยิ่งใหญ่ถูกยกเลิกที่หน้าประตูด้วยเหตุผลง่ายๆ
อย่างผีเป่าเทียน...ฟังอย่างไรก็ไม่ขึ้นสักนิด
การที่จางฉี่ซานเลือกมาบอกกับเขาด้วยตัวเองนั้นแสดงเจตนาที่จะไม่ต่อรองชัดเจน
และไม่คิดจะบอกเหตุผลที่แท้จริงกับเขา
การลงดินครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งสกุลอู๋ที่เนินเปียวจื๋อหลิ่ง
ตอนนั้นปู่และพ่อเพียงได้เบาะแสมาแล้วเสี่ยงดวงขุดลงไปจึงเกิดเหตุไม่คาดฝัน
แต่คณะของพ่อพระใหญ่จางมีข้อมูลที่พร้อมกว่า
หรืออย่างน้อยที่สุดก็รู้ว่าตัวเองจะเจอกับอะไรข้างใต้ และมีการเตรียมการมาอย่างดี...สัมภาระเต็มบนหลังลาทั้งสองแสดงว่ามันมีไว้เพื่อขนของขึ้นมา
ไม่ใช่ขนสมบัติกลับลงไป
อู๋เหลาโก่วกัดฟันแน่น ทั้งที่ทำถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ
...กลับคว่ำกระดานหน้าตาเฉย เช่นนี้แล้วจะให้ยอมรับได้อย่างไร?
ผิวดินแตกระแหงสะท้อนกับแสงยามอาทิตย์อัสดงจนได้สีแดงฉาน...สีแดงฉานที่ทำให้เขารู้สึกเยียบเย็นเหลือเกิน...
TBC...next week
No comments:
Post a Comment