Thursday 23 July 2015

[fic]「秋天开的花朵」Blossom in Autumn 04 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)

「秋天开的花朵」Blossom in Autumn 04 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)


「秋天开的花朵」
Blossom in Autumn

Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)
Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
Rate : G
Timeline : หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event 16/8/58 จะลงสัปดาห์ละตอนไปเรื่อยๆ จนถึงวันงานนะคะ***

pre-orderได้ที่นี่ค่ะ (ภายในวันเสาร์นี้แล้วนะคะ!)


ลิงค์ตอนที่ 0 1 2 



04



              ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามสกุลระนาบแห่งฉางซา เรื่องเดินเข้าออกสุสานนั้นก็เหมือนกิจวัตรที่อู๋เหลาโก่วทำไม่ขาด ตั้งแต่จับปืนขึ้นนกได้เขาก็ติดตามปู่และพ่อขึ้นลงดินไปทั่วสารทิศ...แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่มีคนร่วมงานเยอะถึงเพียงนี้

คณะคว่ำกรวยของพ่อพระใหญ่จางในครั้งนี้ประกอบด้วยคนจำนวนเกินยี่สิบชีวิตและลาบรรทุกของอีกสองตัว ทุกคนในขบวนล้วนเป็นทหารสังกัดหน่วยพิเศษที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อแอบแฝงตัวตนของหัวขโมยไว้กับกองทัพใช้หลักการไม่ต่างกับพวกฮ่องเต้ยุคโบราณ

หลังจากออกจากเขตเมืองมาได้ ก็ไปหยุดขบวนรถที่ค่ายทหารนอกเมืองแล้วต่อจากนั้นก็เป็นการเดินเท้าขึ้นเขาไต่ตามแนวเขาเลาะมาจนถึงเขตป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยต้นไม้หนาแน่นและเถาวัลย์ท่อนเท่าแขน แม้ยามกลางวันแสงสว่างก็แทบลอดไม่ผ่านร่มไม้ลงมา


โก่วอู่เย๋ เสียงหนึ่งเรียกขึ้นทำให้เขาหันไปมองโดยที่ไม่ได้ผ่อนฝีเท้าลง หากคืนนี้จะตั้งค่ายที่เนินดินด้านหน้าท่านคิดเห็นอย่างไร

...ใกล้แหล่งน้ำมากเกินไป เข้าเขตหมั่งซานมาพอสมควร ควรหาที่โล่งมากกว่านี้ เขาตอบไปตามที่คิด

ขอบคุณท่านมาก ชายหนุ่มรูปร่างผอมจุดรอยยิ้มที่มุมปาก ดวงตาตี่มีประกายความพึงพอใจชัดเจน

เจ้าไม่ต้องเรียกข้าแบบนั้น เราอายุไม่ได้ต่างกันเลยหลี่ซือเย๋ พอบอกแบบนั้นคนฟังก็ยิ้มขำจนดึงรูปคางเรียวแหลมทำให้เหมือนหมาจิ้งจอกมากขึ้น

หากท่านเลิกเรียกข้าว่าซือเย๋ ข้าจะเลิกเรียกท่านว่าเถ้าแก่


ว่าจบแล้วก็เดินผละออกไป คนฟังจึงโคลงศีรษะอย่างไม่รู้จะว่าอย่างไร ชายผู้นี้ไม่มีท่าทางของนักขุดหรือแม้กระทั่งทหาร ใครๆ ก็เรียกเขาว่าหลี่ซือเย๋ด้วยความเคารพ ในบรรดาผู้ร่วมขบวนทั้งหมดซึ่งเป็นเหล่านายทหารใบ้ไม่ต่างกับเจ้านายใหญ่ ก็เห็นจะมีแต่ซือเย๋คนนี้ที่พอจะสนทนากันได้เขาจึงรู้สึกถูกชะตาด้วย

คนคนนี้มีความฉลาดเฉลียวรู้ทันในแววตา เพียงแต่อู๋เหลาโก่วฝึกจิตมากับเซี่ยจิ่วตั้งแต่เล็กแต่น้อย ไหนเลยซือเย๋ท่านนี้จะทำอะไรเขาได้


เวลาผ่านไปจนตะวันเริ่มคล้อยต่ำ อาการเหนื่อนล้าจากการเดินเท้าระยะไกลทำให้ประสาทสัมผัสตื่นตัวน้อยลง ทันใดนั้นทิเบแทนมัสติฟตัวยักษ์ก็ร้องคำรามขึ้นก่อนจะพุ่งไปกระแทกนายทหารคนหนึ่งจนล้มลง ขบวนที่เคยเงียบสงบเกิดความโกลาหนในทันที แต่แทนที่เจ้าของสุนัขจะห้ามปรามเขากลับไม่สนใจ แล้วหันไปเรียกเจ้าสุนัขดำให้กระโจนเข้าไปในพงหญ้าซึ่งสั่นไหวอย่างน่ากลัวแทน

ครู่เดียวซากศพของงูเขียวก็ถูกลากออกมา ลำตัวของมันมีลายพรางสีน้ำตาลเข้มดูกลมกลืนไปกับต้นไม้ บริเวณคอถูกขย้ำจนเกือบขาดแต่ยังเห็นเขี้ยวยาวที่ง้างออกพร้อมจู่โจมชัดเจน อู๋เหลาโก่วดึงซากนั้นมาสำรวจจนแน่ใจจึงผิวปากเรียกให้เจ้าหมายักษ์ลุกขึ้นจากตัวของผู้ร่วมขบวน


นั่นอะไร ใครสักคนถามขึ้น

งูหัวเหล็ก...หากโดนพิษเข้าแล้วหาชาวภูเขาแถบนี้ไม่เจอก็มีแต่ต้องไปยมโลก เขาตอบพลางโยนซากงูออกไปให้ห่าง แล้วลูบศีรษะเจ้าหมาดำตัวผอม ดีมากถังเซิง


เมื่อหายจากอารามตกใจขบวนกกลับสู่ระเบียบเดิมแล้วมุ่งหน้าต่อโดยมีบรรยากาศตึงเครียดของความระวังตัวแทรกอยู่ ปกติแล้วโจรขุดสุสานไม่ค่อยมีใครขึ้นมาคว่ำกรวยกันบนเขา...เพราะนอกจากจะต้องใช้คนมาก ได้ไม่คุ้มเสีย แล้วยังต้องมีความชำนาญพิเศษที่ไม่ใช่ว่าใครๆ จะทำได้


งูชนิดนี้ชอบซุ่มตัวอยู่ในพงหญ้ากับที่รกสินะ ซือเย๋หนุ่มเดินตีเสมอมาด้านข้าง

อืม ข้าเคยโดนกัด แค่ถากๆ แต่เกือบเอาชีวิตไม่รอดไปเหมือนกัน

คนที่ขึ้นลงเขาจนชำนาญอย่างท่านก็ยังเคยโดนงั้นหรือ

...ข้าเคยมาแถวนี้อยู่บ้างเท่านั้น ไม่ได้ชำนาญอะไร ตอบก่อนจะถามกลับไป ทำไมท่านถึงคิดแบบนั้น

พ่อพระบอกข้าว่าท่านเป็นคนหมู่บ้านเม่าซาจิ่ง ท่านจะบอกว่าตนไม่ได้ขึ้นลงเขาบ่อยๆ?”


ครั้งนี้อู๋เหลาโก่วไม่ได้ตอบแต่หันกลับไปมองหัวหน้าขบวนที่กำลังสั่งการบางอย่างอยู่ทันที




แสงตะวันสีแสบตาหรี่ลงเรื่อยๆ คณะเดินทางเร่งฝีเท้ามาจนถึงลานโล่งที่ตีนหน้าผาแห่งหนึ่ง หลังจากสำรวจพื้นที่โดยรอบแล้วจึงเริ่มตั้งค่ายอย่างรวดเร็ว แม้จะมีจำนวนคนมาก แต่การดำเนินงานอย่างเป็นระเบียบแบบแผนกลับไม่ทำให้ความคล่องตัวลดลงแต่อย่างใด

อากาศบนหุบเขายามค่ำคืนค่อนข้างเย็นจัด ไออุ่นจากกองไฟเรียกให้ทุกคนเข้ามานั่งล้อมวงกันได้ไม่ยาก เสียงพูดคุยเบาๆ ดังขึ้นรอบๆ อู๋เหลาโก่วนั่งพิงเจ้าสุนัขยักษ์ขนฟูมองภาพความเงียบสงบอย่างสบายใจ แต่ในช่วงที่เขากำลังจะเคลิ้มหลับก็รู้สึกว่ามีคนลงมานั่งข้างๆ เมื่อเปิดเปลือกตาดูหนึ่งข้างแล้วเขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นมา


ทำไมท่านถึงคิดว่าข้าเกิดที่เม่าซาจิ่ง

...แล้วเจ้าไม่ได้เกิดที่นั่นหรือ


เสียงทุ้มของอีกฝ่ายถามกลับ เขาจึงเม้มปากไม่ตอบอะไรบ้าง

หมู่บ้านเม่าซาจิ่งนั้นตั้งอยู่ติดกับตีนเขาเป็นบ้านเก่าของสกุลอู๋มาหลายชั่วอายุคน บ้านเก่าของเขาตรงนั้นในปัจจุบันยังเป็นเพียงบ้านดินไร้ขอบรั้วชัดเจน อู๋เหลาโก่วย้ายออกจากตรงนั้นมาอยู่ที่หน้าด่านในตัวเมืองฉางซาได้หลายปีแล้ว หากไม่มีธุระกับศาลบรรพชนเขาก็ไม่กลับไป

ในเมื่อไม่มีคนเป็นให้กลับไปหาอีกแล้ว...


ข้าเดา ที่ดินในหมู่บ้านนั้นเป็นของสกุลอู๋มากกว่าครึ่ง พ่อพระใหญ่ตอบช้าๆ แล้วตอนที่เดินทางผ่าน เจ้าหันมองหมู่บ้านนั้นจนลับตา


ฟังแล้วก็ไม่ได้ตอบอะไรไป แม้ดวงตาเฉียบคมนั้นจะไม่ได้จับจ้องอยู่...แต่เขากลับตกอยู่ในการเฝ้ามองของอีกฝ่ายอย่างเต็มตัว


จางฉี่ซานมีลักษณะที่ดีของการเป็นผู้นำที่มีคนพร้อมใจติดตาม...ความช่างสังเกตและใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยก็เป็นหนึ่งในนั้น นายทหารใหญ่มีบุคลิกเคร่งขรึม ดูจริงจังในทุกการกระทำและคำพูด แต่บรรยากาศรอบตัวกลับไม่ได้น่าเกรงขามจนอึดอัด

นายทหารอายุน้อยคนหนึ่งหยิบขวดเหล้ามาให้เจ้านาย ท่าทีของคนในขบวนบอกว่ามีความใกล้ชิดกับพ่อพระใหญ่ไม่น้อย แต่ในความสนิทสนมนั้นก็มีความเคารพนับถือผสมกันอยู่

จางฉี่ซานยกขวดเหล้าขึ้นดื่มสองสามคำก่อนจะยื่นมาให้ คนอายุน้อยกว่าก็ยินดีรับมาไม่ให้เสียมารยาทก่อนจะยกขึ้นกระดกบ้าง แต่แล้วความรู้สึกร้อนวาบที่ไม่ทันตั้งตัวก็ไหลลงตามลำคอพร้อมกับขึ้นวิ่งจมูก อู๋เหลาโก่วไอแค่กออกมาเล็กน้อย เดือดร้อนนายทหารใหญ่ต้องมาลูบหลังให้


ระวังหน่อย

เห็นท่านยกดื่มแบบนั้นข้าก็นึกว่าเจี้ยนหนานชุน ว่าถึงเหล้าดีกรีต่ำแล้วก็ยกขวดตรงหน้าขึ้นจิบเบา ครั้งนี้เมื่อตั้งตัวได้ เขาก็ละเลียดรสชาติขมปร่าอย่างช้าๆ เหล้าชนิดนี้เรียกว่าเซาเตาจื่อ ที่หมู่บ้านเม่าซาจิ่งของเขานิยมกลั่นเอง มีดีกรีสูงมาก เอาไว้กินแก้หนาวได้ดี

ขอโทษ ในเมื่อกลิ่นฉุนแรงยังคงติดจมูกเขาอยู่ก็ไม่น่าที่อีกฝ่ายจะไม่ทันสังเกต วิชาที่โด่งดังของสกุลอู๋คือดมกลิ่นดูหน้าดิน?”

...จมูกข้าไม่ได้กลิ่นอีกแล้ว ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะบอกออกไป


แต่ถึงแม้จะบอกไปแบบนั้นพ่อพระใหญ่ก็ยังคงมีสีหน้าราบเรียบคล้ายกับทราบอยู่แล้ว อู๋เหลาโก่วจึงยกมือขึ้นลูบสันจมูกของตัวเองซึ่งมีรอยหักเล็กน้อยที่ถ้าไม่สังเกตคงไม่เห็น


อุบัติเหตุจากการคว่ำกรวย

แต่ก็ฝึกหมาให้ดมกลิ่นแทนได้

ไม่งั้นข้าก็อดตาย เขาหัวเราะ ตั้งแต่จำความได้ก็รู้แต่วิชาขึ้นลงสุสาน โรงเรียนก็ไม่ได้เข้า...ให้ไปทำอย่างอื่นเอาตัวไม่รอดหรอก


อู๋เหลาโก่วยกแขนขึ้นแล้วซันชุ่นติงก็มุดออกมาจากแขนเสื้อ ส่ายหัวเล็กๆ ไปมาก่อนจะส่งสายตาใสซื่อใส่พร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดอย่างสนใจ ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะดันก้นให้เจ้าตัวน้อยเดินเตาะแตะไปทางพ่อพระใหญ่

หมาจิ๋วไต่ขึ้นมาแล้วขดตัวบนหน้าตักของนายทหารใหญ่อย่างสบายใจ จนคนที่ไม่ชินกับสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ได้แต่ขมวดคิ้วหนักเพราะทำอะไรไม่ถูก ท่าทางนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างกว้างเจ้าของได้อีกไม่น้อย


มันชอบท่าน

...เจ้าเอาเจ้าหนูนี่ไปทำอะไรในกรวยกัน

อย่าดูถูกไป ถ้ามีซันชุ่นติงอยู่ด้วยต่อให้เป็นศพโลหิตข้าก็ไม่กลัว จางฉี่ซานแล้วมองดวงตาวิบวับของอีกฝ่ายแล้วก็พาลนึกถึงเด็กหนุ่มเมื่อหลายปีก่อนคนนั้น...คนที่จริงใจและซื่อตรงอย่างยิ่ง

เป็นคู่หูของเจ้างั้นสิ

ข้าไม่มีจมูก ซันชุ่นติงก็เป็นจมูกให้ข้า ถ้าซันชุ่นติงวิ่งตามหมาตัวอื่นไม่ทัน ข้าก็จะเป็นขาให้มันเอง จะกรวยไหนข้าก็ไม่กลัวถ้ามีซันชุ่นติง


พ่อพระใหญ่มองคนจริงจังกับเจ้าหมาน้อยที่ขดตัวเป็นก้อนขนนุ่มนิ่มสลับกันแล้วก็หลุดขำออกมาเองจนคนอายุน้อยกว่าถึงกับชะงักไป


ขอโทษ...ข้าไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ยังคงยกมุมปากขึ้นอย่างที่หาได้ยาก เพียงแต่คิดแล้วรู้สึกว่าเหมาะกันมากจริงๆ


มือสากของนายทหารช้อนสิ่งมีชีวิตตัวน้อยขึ้นมาแล้วส่งคืนให้เจ้าของ


หมาน้อย


ว่าจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปทิ้งให้คนฟังอยู่กับความรู้สึกงุนงง ใจหนึ่งก็รู้สึกเหมือนถูกหยามนิดๆ แต่อีกใจก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้...คิดดูแล้วต่อให้ใครจะพูดยกย่องอย่างไร หากเทียบชั้นเจ้าบ้านสกุลระนาบแบบเขากับพ่อพระใหญ่ก็คงต้องเรียกว่าเป็นคนละเวที ในสายตาของจางฉี่ซานเขาคงจะเป็นเพียงไอ้หนูนักขุดหัวหยองที่อ่อนด้อยด้านประสบการณ์อย่างยิ่ง

...พูดจาอวดดีไปแบบนั้นจะโดนหัวเราะเข้าให้ก็คงไม่แปลก


อู๋เหลาโก่วไถลตัวลงอิงกับขนหนาฟูของหมายักษ์ กระชับเสื้อคลุมตัวนอกให้แน่น ก่อนจะหามุมที่นอนสบาย ซันชุ่นติงไต่ขึ้นมาซุกตัวกับอกเสื้อ ขนไม่สั้นไม่ยาวชวนจั๊กกะจี้ทำให้ชายหนุ่มย่นจมูก


นี่...สักวันมาทำให้พ่อพระเห็นกันดีกว่าว่าเราทำอะไรได้บ้าง


หมาจิ๋วเห่าเบาๆ แล้วมุดเข้าไปในสาบเสื้อตัวนอกอย่างขี้เกียจ จนเจ้าของได้แต่ทอดถอนใจ อู๋เหลาโก่วหลับตาลงก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าอีกครั้ง จึงหยิบขวดเหล้าที่วางอยู่ข้างตัวยื่นให้โดยไม่ได้ลืมตา


เซาเตาจื่อของท่าน

...พ่อพระคงยกให้ท่านแล้ว เสียงที่ตอบกลับมาคือหลี่ซือเย๋ ทำให้ชายหนุ่มต้องสะดุ้งตัวลุกขึ้นมานั่งอีกที

ขออภัย ข้านึกว่าพ่อพระเดินย้อนกลับมา

ไม่เป็นไร คนตัวผอมหัวเราะก่อนจะยื่นผ้าผืนหนามาให้ ถ้าท่านไม่ยอมนอนในเต๊นท์ที่จัดให้ก็ห่มเสียหน่อย ข้ารู้ว่าท่านร่างกายแข็งแรงกว่าข้าเยอะนัก แต่อากาศบนนี้ก็ไม่ใช่เล่นๆ

ขอบคุณ อู๋เหลาโก่วพึมพำก่อนจะคลี่ผ้าผืนนั้นมาห่อตัวทั้งคนทั้งหมาไว้จนซันชุ่นติงครางหงุงหงิงอย่างพอใจ

บอกพ่อพระเถอะ ใบหน้าเหมือนหมาจิ้งจอกยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป


ชายหนุ่มเห็นอีกฝ่ายไปแล้วก็พลิกตัวนอนอีกครั้ง ไออุ่นของผืนผ้าชวนให้รู้สึกสบายตัวมากกว่าเดิม

...ไว้มีโอกาสค่อยไปบอกขอบคุณพร้อมเอาเซาเตาจื่อไปคืน นั่นคือความตั้งใจสุดท้ายก่อนที่ชายหนุ่มจะเคลิ้มหลับไป




หนังสือเล่มเก่าถูกปิดอย่างเบามือก่อนจะสอดเข้าไปกับแผ่นหนังซ้อนในเป้ทหาร แล้วตะเกียงก็ถูกดับลงเหลือเพียงแสงจากกองไฟภายนอก


ว่าไง


ถามขึ้นลอยๆ ในเต๊นท์ทหารที่เงียบสงัด แล้วเงาหนึ่งตรงมุมผ้าก็ค่อยๆ ชัดขึ้นเห็นเป็นรูปร่างคนที่เข้ามายืนใกล้


หลอกไม่ได้หรอกครับ เขาคงสงสัยแล้วเพียงแต่ไม่อยากถามออกมาเอง

...ก็ให้สงสัยไป

เป็นแบบนี้สุดท้ายเขาก็ต้องรู้อยู่ดี

เจ้าอยู่กับตำรามากเกินไป เรื่องในกรวยไม่มีผิดถูก อาชีพอย่างเราก็คือการหลับตาข้างหนึ่งอยู่แล้ว


จางฉี่ซานหัวเราะเบาก่อนจะโบกมือ


ไปนอนซะอาหลี่...ร่างกายแบบเจ้าจะเดินตามคนอื่นไม่ไหวเอา




TBC...next week

No comments:

Post a Comment