「秋天开的花朵」
Blossom in Autumn
Fandom
: Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)
Pairing
: 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
Rate
: G
Timeline
: หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event 16/8/58 จะลงสัปดาห์ละตอนไปเรื่อยๆ จนถึงวันงานนะคะ***
02
“เหลาอู่”
ชายหนุ่มเจ้าของบ้านขานรับเสียงเรียกนั้นโดยที่ไม่ได้หันไปมองเพราะกำลังมีสมาธิกับสิ่งที่ทำอยู่มากเกินกว่าจะละสายตาไปได้
ผู้มาเยือนจึงเลือกที่จะเดินเข้าตัวบ้านมาเองอย่างถือวิสาสะ
ลานกว้างมีฝูงสุนัขนอนหมอบอยู่เต็มไปหมด หลายตัวที่พอเห็นหน้าก็แยกเขี้ยวขู่...ถ้าไม่ติดว่าเพื่อนสั่งเอาไว้เขาคงจะได้กลายเป็นชิ้นเนื้อในพริบตา
“ข้าว่าข้าย้ำเวลากับเจ้าแล้ว”
เสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำ
“ข้ารู้...แต่ถังเซิงกำลังทรมาน เจ้าจะให้ข้าทิ้งมันไว้แบบนี้หรือ”
เซี่ยจิ่วก้มมอง
‘ถังเซิง’ หรือเจ้าสุนัขสีดำที่ยืนนิ่งให้เจ้าของหาเห็บหมัดให้อยู่ตรงชานหน้าบ้าน
“เหลาอู่...”
“เสี่ยวจิ่วจิ่ว อย่าจริงจังไปหน่อยเลย เจ้าเผื่อเวลาสำหรับข้าเอาไว้แล้ว”
อู๋เหลาโก่วตอบกลับเพื่อนสนิทอย่างรู้ทัน
ส่วนมือก็เด็ดเจ้าแมลงร้ายออกมาโยนลงกองไฟเล็กๆ ข้างตัวเรื่อยๆ แบบไม่อนาทรร้อนใจ
“เจ้าจับหมาไปอาบน้ำให้หมดก็สิ้นเรื่อง”
คุณชายบ้านเก้าที่เลี่ยงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธทำให้คนฟังยิ้มขำเมื่อแน่ใจว่าตนเดาถูก
“อากาศเริ่มเย็นแล้ว อาบน้ำตอนนี้เจ้าจะทรมานหมาข้าหรือไง”
“แต่มันจะหนาวขึ้นอีก เจ้าจะนอนกอดรังเห็บพวกนี้ไปจนจบหน้าหนาวหรือไง”
สายตาเอือมระอาถูกส่งให้ไม่ปิดบัง
แต่หมาห้าแห่งฉางซากลับเพียงหัวเราะในลำคอ สำรวจร่างกายสุนัขของตนอย่างละเอียดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะโกยทรายทับกองไฟแล้วลุกขึ้นยืน
เซี่ยจิ่วมองเครื่องแต่งกายของอีกฝ่ายแล้วก็อ้าปากจะกล่าววิจารณ์แต่เจ้าตัวรีบยกมือห้าม
“ข้ารู้ๆ จะไปเปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้แหละ”
“รีบแล้วกัน”
“รู้แล้วๆ ...มีคนเคยบอกไหมว่าเจ้าเป็นคนนิสัยน่าเบื่อ”
“แล้วเคยมีคนบอกไหมว่าตรงต่อเวลามันเป็นมารยาทพื้นฐาน”
อู๋เหลาโก่วโคลงศีรษะแล้วหันหลังเดินกึ่งวิ่งเข้าบ้านพลางบ่นอุบอิบ
เซี่ยจิ่วมองท่าทางนั้นด้วยสายตาเฉยชาและเมื่อลับสายตาไปสักพักคนที่รออยู่จึงดึงนาฬิกาพกในกระเป๋าออกมาดู
เข็มสั้นยาวบนหน้าปัดเรียกรอยยิ้มหยันให้ปรากฎขึ้นบนใบหน้านิ่ง
ถึงเวลาแล้ว...
++++++
วันนี้เป็นวันที่อากาศเย็น
แต่สำหรับคนที่เกิดทางเหนืออย่างจางฉี่ซานถือว่านี่คืออากาศกำลังดี เขาจึงเอาเสื้อนอกแขวนไว้กับราวตามปกติ
แม้ว่าวันนี้ลูกน้องจะจัดชาร้อนทั้งกายกมาให้เป็นพิเศษก็ตาม
กองเอกสารถูกนำมาตั้งไว้บนโต๊ะกว้าง
เขาพยักหน้าให้นายทหารติดตามออกไป ก่อนจะดึงเอาจดหมายฉบับเล็กออกมาจากใต้ตั้งกระดาษ
เขาเปิดออกกวาดสายตาอ่านซ้ำสองสามครั้งจนขึ้นใจแล้วจึงยื่นไปจ่อกับไฟของเตาต้มน้ำชา
จนกระดาษแผ่นนั้นบิดงอกลายเป็นขี้เถ้าไปในที่สุด
จากนั้นจึงเริ่มต้นตรวจเอกสารทีละหน้าอย่างเคยชิน
ก่อนที่เสียงเคาะประตูจะดังขึ้น
“พ่อพระ คุณชายบ้านเก้าขอเข้าพบครับ”
“...บอกให้ไปรอที่ห้องรับรอง”
นายทหารใหญ่ตอบกลับ
เขาอ่านข้อความในกระดาษที่ค้างอยู่จนหมดหน้าอย่างใจเย็นแล้วจึงลุกขึ้นหยิบเสื้อนอกมาสวม
เจ้าบ้านสกุลจางตามตัวเซี่ยจิ่วไม่เจอมาราวหนึ่งสัปดาห์นับจากวันที่ตั้งใจไปพบอีกฝ่ายแล้วคลาดกัน
นายทหารใหญ่รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจงใจทำตัวหนีหายไป แต่เขายังงานยุ่งเกินกว่าจะปลีกตัวไปสนใจเรื่องนั้นที่ไม่ต้องรีบด่วน
เพราะมันก็ไม่ได้ผิดจากคาดเท่าไรนัก...สุดท้ายเซี่ยจิ่วจะกลับมาพร้อมข้อต่อรองบางอย่าง
เมื่อไปถึงห้องรับรองก็พบคุณชายสกุลเซี่ยนั่งรออยู่แล้ว
ในมือมีถ้วยน้ำชากรุ่นไออุ่นที่ไม่ถูกลิ้มรส คนอ่อนอายุโสกว่าโค้งให้อย่างงดงามก่อนจะกล่าวถ้อยคำที่เต็มไปด้วยมารยาท
“พ่อพระใหญ่จาง”
“ว่ามา”
“ได้ยินว่าท่านกำลังคีบลามะ”
ชายหนุ่มเข้าเรื่องทันทีไม่อ้อมค้อม...เซี่ยจิ่วรู้ดี
วิธีพูดกับคนแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน กับนายทหารอย่างจางฉี่ซานต้องรวบรัดเข้าประเด็น
กับนางเอกงิ้วคนดังอย่างเอ้อร์เย่ว์หงจะนิยมฟังวาจาเพราะๆ ลื่นหู
ส่วนปีศาจไม้เท้าแดงอย่างป้านเจี๋ยหลี่...ไม่ต้องคุยด้วยได้น่าจะเป็นดีที่สุด
“สกุลเซี่ยอยากร่วมแบ่งส่วนด้วยอย่างนั้นหรือ”
จางฉี่ซานถามด้วยใบหน้านิ่ง
“มิได้ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของข้าเอง” คุณชายคนสำคัญตอบ
“ข้าได้ยินว่าท่านต้องการตัวสหายของข้า”
“แล้วเขาอยู่ไหนเสียล่ะ?
เจ้าอุตส่าห์หลบหน้าไปเตรียมการเสียหลายวัน ครั้งนี้ไม่ได้พามาพบข้าด้วยหรือ”
ใบหน้าหมดจดของคนอายุน้อยยังคงเรียบตึงไม่แสดงอะไรออกมาแม้จะโดนดักคอจากอีกฝ่ายทุกทาง
“ท่านคงเข้าใจผิด...ข้าไม่ได้คิดจะเล่นตุกติก
เพียงแต่ข้ารู้จักสหายดีกว่าใคร...จึงทราบดีว่าเขาจะปฏิเสธท่าน” น้ำคำนิ่งสงบอธิบาย “เขตภูเขาหมั่งซานนั้นเป็นเส้นทางซึ่งเหลาอู่เลี่ยงที่จะขึ้นไปเหยียบย่างมาโดยตลอด”
จางฉี่ซานเลิกคิ้ว
เรื่องตำแหน่งสุสานครั้งนี้ไม่ทำให้แปลกใจ สายข่าวของสกุลเซี่ยมีวิธีของตนเองเสมอ ซ้ำแล้วเขาก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเพราะเขตป่าดงดิบของภูเขาหมั่งซานกว้างใหญ่ไพศาลไม่ใช่ที่ที่ใครจะเข้าไปได้โดยง่าย
แต่ความหมายแฝงในถ้อยคำนั้นกำลังหมายถึงคนที่ตกเป็นหัวข้อสนทนานี้เคยไปที่นั่นมาก่อน
“แล้วเจ้าต้องการอะไร?” ถามหยั่งกลับไป
“ข้าบอกแล้วว่านี่คือเรื่องส่วนตัว” ตอบยิ้มๆ “หากเขายอมไปกับท่านจริงๆ ข้าเพียงจะฝากท่านดูแลเหลาอู่”
“ดูแล?” ทวนคำอย่างประหลาดใจ
“หากท่าน...”
“เซี่ยจิ่ว!!”
เสียงโวยดังลั่นพร้อมกับประตูที่เปิดเข้ามาอย่างถือวิสาสะ
ชายหนุ่มผู้มีสีหน้าไม่พอใจสุดขีดก้าวพรวดเข้ามาแบบไม่ได้ขออนุญาตแล้วหันไปว่าเสียงเครียดใส่เพื่อนทันที
“เจ้าให้พวกเขาพาถังเซิงไปไหน?!”
“เจ้าจะเอาหมาเข้ามาเดินเพ่นพ่านในกองบัญชาการทหารไม่ได้นะเหลาอู่” เซี่ยจิ่วตอบเพื่อนด้วยความเคยชิน ก่อนจะกระแอมไอแล้วผายมือไปทางเจ้าของสถานที่
“แล้วก็รักษามารยาทด้วย ท่านนี้คือพ่อพระใหญ่จาง”
ผู้มาใหม่รีบปรับเปลี่ยนท่าทีเมื่อเห็นว่าใครนั่งอยู่ด้วย
อู๋เหลาโก่วตกใจแต่ไม่ได้แปลกใจนัก...แม้เซี่ยจิ่วจะไม่ได้บอกเขาว่าผู้คีบลามะครั้งนี้คือใคร
แต่มาถึงที่นี่ก็ย่อมต้องเดาอะไรได้บ้างอยู่แล้ว
ณ
ตอนนี้คนที่ต้องตกตะลึงจึงกลับกลายเป็นจางฉี่ซานเสียเอง
“ข้าต้องขออภัยด้วยที่เสียมารยาท พ่อพระใหญ่จาง”
“...เจ้า?”
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของชายหนุ่มเปิดยิ้มให้เหมือนเมื่อหลายปีก่อน
คนตรงหน้าดูเปลี่ยนไปมากพอสมควร ซ้ำยังมีท่าทางเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและพลังของคนหนุ่มที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด...ทุกๆ
วันเขาต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตาแต่สิ่งที่ทำให้จดจำคนคนนี้ได้ไม่มีผิดพลาดก็คือดวงตาซื่อใสจริงใจเหมือนกระจกแก้วไร้ตำหนิ
“อู๋เหลาโก่ว บ้านสกุลอู๋”
ศีรษะก้มโค้งให้เล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้ม
นายทหารลุกขึ้นส่งสัญญาณเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงแต่ชายหนุ่มกลับชะงักนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“...ข้ายังคิดว่าท่านควรให้คนของท่านปล่อยถังเซิง”
“เหลาอู่”
คุณชายสกุลเซี่ยร้องปรามแต่เขายังคงว่าต่อไป
“ถังเซิงเป็นหมาเรียบร้อย
ตอนนี้มันอาจจะแกล้งว่าง่ายให้จับไป...แต่เมื่อคนของท่านเผลอ
มันจะแว้งกัดจนมือขาดแล้วหนีมา” คำกล่าวนั้นเรียบง่ายไม่มีเค้าลางของความเกินจริง
“ข้าทราบว่ามันฟังดูไม่น่าเชื่อ
แต่ท่านคงไม่อยากเสี่ยงให้ทหารที่ฝึกมาอย่างดีเสียมือไปสักข้าง”
จางฉี่ซานฟังดังนั้นก็นิ่งไปอึดใจ
มองสบดวงตาซื่อตรงของอีกฝ่ายก่อนจะเรียกทหารติดตามของตนมาสั่งการสองสามคำก็เป็นอันเรียบร้อย
“ขอบคุณท่านพ่อพระมาก” ชายหนุ่มคำนับต่ำให้แล้วทรุดตัวนั่งลงตามที่เชื้อเชิญในที่สุด
“ไม่เป็นไร เป็นคนของข้าเองที่เสียมารยาทกับ...สหายของเจ้าก่อน” มองพิจารณาคนตรงหน้า “คิดไม่ถึงว่าโกวอู่เย๋ที่ใครเขาพูดถึงกันก็คือเจ้านั่นเอง”
“พ่อพระกล่าวยกย่องมากไปแล้ว...ข้ามันตัวคนเดียว
ที่พอมีก็แค่วิชานิดหน่อยกับหมาไม่กี่ตัว”
“หมาไม่กี่ตัวที่เกือบจะทำให้ทหารของข้าพิการน่ะหรือ”
เขาย้อนกลับไปก่อนจะหัวเราะหึเมื่ออีกฝ่ายหน้าเสีย “แล้วเจ้าลูกหมาตอนนั้นยังอยู่ดีไหม”
เมื่ออู๋เหลาโก่วเห็นอีกฝ่ายไม่ได้ไม่พอใจจริงๆ
ก็ลอบถอนหายใจแล้วล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ
“ท่านคงหมายถึงซันชุ่นติง”
ลูกสุนัขขนสีน้ำตาลทองถูกหิ้วออกมา
ดวงตากลมโตของมันใสแจ๋วไม่ต่างกับเจ้าของ
เจ้าตัวน้อยนั่งอย่างนิ่งสงบในอุ้งมือของชายหนุ่มท่าทางไม่หวาดกลัวและสนอกสนใจอย่างยิ่ง
“เจ้าหนูนี่พิการ คงไม่โตไปมากกว่านี้แล้ว”
ลูบศีรษะเล็กๆ อย่างเบามือ “เห็นแบบนี้แต่ยามลงดินมันคือเพื่อนยากที่ไม่เคยห่างกายข้าเลย”
“งั้นหรือ สุดท้ายข้าก็ต้องมาเจอกับเจ้าในกรวยจริงๆ สินะ...อู๋เหลาโก่ว?”
“เรียกข้าว่าเหลาอู่แบบเซี่ยจิ่วก็ได้ มีท่านเป็นผู้คีบแบบนี้
ลามะอย่างข้าเป็นเกียรตินัก” รอยยิ้มกว้างขวางปรากฎขึ้น “ลงดินครั้งนี้ท่านพ่อพระใหญ่มีอะไรให้หมาของข้ารับใช้อย่างนั้นหรือ”
นายทหารใหญ่เหลือบมองเจ้าบ้านสกุลเซี่ยที่นิ่งจิบชาอย่างสงบเล็กน้อยก่อนจะเริ่มต้นเข้าเรื่อง
“ตามที่เจ้าเข้าใจถูกแล้ว...เพียงแต่ลงกรวยครั้งนี้ข้ามีเป้าหมายว่าจะขึ้นเขา”
พูดเพียงเท่านั้นคนฟังก็สีหน้าเปลี่ยนหันขวับไปมองสหายของตนทันทีราวกับเริ่มเดาอะไรบางอย่างได้
“สุสานศพโลหิตบนหมั่งซาน...เจ้าเข้าใจถูกแล้ว”
“ข้า...ให้ท่านยืมหมาได้ แต่ตัวข้าคงไม่ได้ร่วมเดินทาง”
คำปฏิเสธถูกกล่าวออกมาในทันทีพร้อมกับบรรยากาศที่เปลี่ยนไป
แม้จะมีจังหวะของความลังเลแฝงอยู่...แต่เรื่องที่เซี่ยจิ่วบอกไว้ก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย
ซึ่งเจ้าตัวก็เข้ามาแทรกในจังหวะนี้ทันที
“เหลาอู่...เจ้าจะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับฝันร้ายที่ไม่รู้ว่าคืออะไรอย่างนั้นหรือ” เสียงราบเรียบถามช้าๆ “สิ่งที่เจ้าหวาดกลัวคือความจริงหรือความเท็จ
เจ้าเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ”
“เงียบซะ เสี่ยวจิ่ว”
“เจ้าจะเอาอย่างนั้น...จริงๆ หรือ”
ชายหนุ่มกัดฟันกรอดจนเห็นแนวสันกรามชัดเจน
สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความสับสนที่ดูออกได้ง่ายดาย เซี่ยจิ่วรู้ดีว่าควรจะพูดแค่ไหนให้อีกฝ่ายตกอยู่ในความลำบากตรงปากเหวที่สัมผัสเพียงเล็กน้อยก็พร้อมจะพลาดลงไป
จางฉี่ซานมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยสายตาเปลี่ยนไป
ก่อนจะยื่นข้อเสนอของตนออกไปบ้าง
“เจ้าไม่จำเป็นต้องลงดิน ครั้งนี้ข้าเพียงต้องการดูตำแหน่งหน้าดินเป็นพิเศษ”
นายทหารใหญ่ว่าไปพร้อมกับพิจารณาท่าทีของอีกฝ่าย
อู๋เหลาโก่วคล้ายคนที่เป็นใบ้ชั่วขณะ
ริมฝีปากเผยอค้างแต่กลับไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกมา
ความหนักอึ้งคงจะถูกทิ้งค้างอยู่อย่างนั้นถ้าหากไม่มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
ซันชุ่นติงเห่าออกมาหนึ่งคำพร้อมกับสะบัดพวงหางไปมา
เจ้าหมาน้อยมุดกลับเข้าไปในแขนเสื้อเจ้าของแล้วโผล่หน้าออกมาส่งสายตาบอกว่าจะกลับบ้านแล้วใส่ทุกคนในห้องนั้น
ชายหนุ่มที่เพิ่งถูกเรียกสติถอนหายใจเฮือก
พร้อมกับปรับสีหน้าเปิดรอยยิ้มประจำตัวให้
“...ข้าขอนำกลับไปคิด แล้วจะรีบให้คำตอบท่านในภายหลัง”
ว่าจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งศีรษะให้เป็นการบอกลาโดยที่ไม่ได้รอคำตอบรับหรือปฏิเสธของใคร
ชายหนุ่มก้าวยาวๆ
ไม่หยุดครู่เดียวก็ถึงประตูเหล็กขนาดใหญ่
ภายนอกนั้นมีสุนัขสีดำสนิทตัวหนึ่งนั่งเหยียดหลังตรงรออยู่อย่างเรียบร้อย
เขาจึงตรงเข้าไปหาทันที
ถังเซิงลุกขึ้นมาคลอเคลียกับเจ้าของที่นั่งคุกเข่าลงลูบหัวลูบหางมันอย่างเบามือ
ส่วนซันชุ่นติงก็มุดออกมาเลียหน้าเลียปากเงียบๆ
ลมหนาวพัดผ่านไปจนปลายนิ้วเริ่มเย็นคุณชายสกุลเก้าก็ก้าวเดินออกมาจากรั้วเหล็กช้าๆ
มาหยุดยืนที่ข้างเพื่อนของตน
“เจ้าเคยพบกับพ่อพระ?” เสียงเรียบเอ่ยถาม
“...นานมาแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะจำได้เหมือนกัน”
อู๋เหลาโก่วตอบโดยไม่ได้หันไปมอง
แต่เซี่ยจิ่วก็ไม่ถือสาอะไร
“พ่อพระใหญ่เป็นคนเด็ดขาด แต่ใจคอกว้างขวาง...คนของเขาล้วนภักดีจากใจจริง”
“แต่เขาก็เป็นคน...เหมือนกับเจ้าที่เป็นคนคนหนึ่ง เสี่ยวจิ่ว” อู๋เหลาโก่วเงยหน้าสบตากับเพื่อน “ข้าอาจจะตามเจ้าไม่ทัน...แต่อย่าคิดว่าข้าไม่รู้อะไรเลย”
“ข้าเป็นห่วงเจ้า” เซี่ยจิ่วตอบกลับเรียบๆ
“แต่เจ้าก็เป็นห่วงตัวเอง...ข้าคงพูดไม่ผิดใช่ไหม”
สวนไปทันที “วิธีของเจ้ากับข้าต่างกันเกินไป...หากเป็นฮั่วเซียนกู
คุณหนูใหญ่บ้านเจ็ดคงเข้าใจสถานการณ์ของเจ้าได้ดีกว่า”
ว่าที่ผู้นำสกุลเซี่ยไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
เพียงเงียบไปให้อีกฝ่ายสรุปความเอาเอง
“ข้าเบื่อเจ้าก็ตรงนี้” อู๋เหลาโก่วถอนหายใจเฮือก “เจ้ามันก้อนหิน อย่าทำเหมือนข้าบ้าบอไปคนเดียวจะได้ไหม”
“...มีคนเคยบอกไหมว่ามองโลกในแง่ดีเกินไปมันเป็นการทำร้ายตัวเอง”
“เจ้าไม่ใช่คนแรกแน่นอน” ยิ้มขำ “แต่มันทำให้ข้ารู้สึกดีนะ...อย่างน้อยบนโลกนี้คนเราก็ยังเหลือความหวังดีต่อกัน”
อู๋เหลาโก่วลุกขึ้นยืนในที่สุดแล้วหันไปเรียกอีกฝ่าย
“กลับกันเถอะ”
++++++
พ่อพระใหญ่แห่งฉางซาเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะไม้อย่างครุ่นคิด
เจ้าบ้านสกุลเซี่ยอายุมากแล้วในขณะที่คุณชายใหญ่ยังอายุน้อยกว่าเจ้าบ้านที่อายุน้อยที่สุดในปัจจุบันอย่างอู๋เหลาโก่วอีกหลายปี...ในฐานะของนักขุดดินที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นแล้ว
ซือเย๋น้อยคนนี้กำลังวางหมากเชิงรุกเพื่อหนทางของตนอย่างชัดเจน
ปากก็ว่าเรื่องส่วนตัวแต่ก็ใช้ประโยชน์ให้กับตระกูลได้อย่างไม่หวั่นไหว
คนที่สามารถขายจุดอ่อนของเพื่อนต่อหน้าผู้อื่นต้องมีจิตใจแบบไหนกัน...อาจจะเป็นเขาเองที่เปิดกระดานผิดพลาดให้อีกฝ่ายเข้ามาจัดการเรื่องของเชลยชาวญี่ปุ่นจนเกิดเป็นช่องว่างให้กล้าเดินตานี้
ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจดับเตาต้มกาน้ำชา
ทั้งๆ
ที่ไม่จำเป็นเลยแท้ๆ ...
ครั้งนี้ที่ยอมตกเป็นตัวเบี้ยให้สักครั้ง
ก็เห็นแก่ว่าตัวเขาไม่เสียหายและยังได้ตามต้องการกันทุกฝ่าย...แต่หากยังมีหนหน้าคงต้องพิจารณาให้หนักกว่านี้
วัชพืชกาฝากหากจะถอนให้ได้ถึงรากโคนก็ต้องทำตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเพียงต้นอ่อน
สิ่งที่จางฉี่ซานกังวลไม่ใช่เกมหน้ากระดานซึ่งเห็นชัดเจน...หากแต่เป็นตาหมากที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกลเด็กเล่นนี่เสียมากกว่า
TBC...next week
No comments:
Post a Comment