「秋天开的花朵」
Blossom in Autumn
Blossom in Autumn
Fandom : Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)
Pairing : 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
Rate : G
Timeline : หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event 16/8/58 จะลงสัปดาห์ละตอนไปเรื่อยๆ จนถึงวันงานนะคะ***
ในยุคที่ไฟสงครามโหมกระหน่ำ
ศัตรูภายนอกยกพลขึ้นจู่โจมแผ่นดินมังกรอันอ่อนแออย่างไร้ปราณี เมื่อถึงวิกฤตใหญ่ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ก็ถึงคราวต้องจับมือกันเพื่อต่อต้านฝ่ายล่าอาณานิคมที่เข้ารุกรานจากทุกเชตชายแดน
ฉางซาเองก็ไม่อาจหลุดรอดจากชะตากรรมนี้
ความอดอยากแร้นแค้นกัดกินอยู่ภายในเป็นเวลานานภายใต้การชี้นำที่ผิดพลาดของราชวงศ์สุดท้าย
เมื่อความหิวโหยและชีวิตเอาชนะศีลธรรม
กองโจรมากมายก็เกิดขึ้นทุกมุมเมือง...ไม่ว่าจะเนื้อคนหรือเนื้อหมา หากเติมกระเพาะว่างเปล่าแล้วทำให้วันนี้ผ่านไปได้ก็ย่อมไม่ต่างกัน
ค่ำคืนนี้สายฝนโปรยปรายจนพื้นหินเฉอะแฉะ
ชะเอาคราบความสกปรกและรอยเลือดไหลลงไปรวมกับคูน้ำจนเกิดเป็นสีน่าขยะแขยงแต่ก็ยังมีสุนัขจรจัดหลายตัวเลียกินอย่างตะกละตะกลาม
เสียงฝีเท้าย่ำรอยน้ำดังขึ้นช้าๆ
คนคนนั้นหยุดยืนดูฝูงเดรัจฉานตรงข้างทางก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้ สุนัขหิวโหยนั้นดุร้ายไม่ต่างจากเสือตัวย่อม...แต่สำหรับเขามันไม่ใช่สิ่งที่น่าหวาดกลัวสักนิด
ที่มาของน้ำสกปรกบนพื้นคือศพคนตายเน่าเหม็นซึ่งถูกนำมาทิ้งไว้ให้เป็นอาหาร
เนื้อบวมช้ำที่มีน้ำเหลืองเจิ่งนองถูกฉีกกระชากแย่งกินกันราวกับอาหารรสเลิศ เด็กหนุ่มมองดูหนังเหี่ยวย่นของสุนัขจรจัดพวกนั้นแล้วก็ได้แต่หัวเราะขมขื่น
“พวกเจ้ากินเนื้อคนจนอิ่มวันนี้...แล้วเจ้าก็จะถูกคนฆ่าทิ้งเพื่อเอาเนื้อ”
เขากล่าวขึ้นลอยๆ “มนุษย์เราช่างย้อนแย้ง...ไม่กล้ากินเนื้อคน
จึงให้หมากินก่อนแล้วตนจึงกินหมา...ทั้งที่ไม่ต่างกันแม้แต่นิดเดียว”
เขาก้าวถอยหลังออกมาตั้งใจจะทิ้งภาพน่าอดสูนั่นเอาไว้
แต่แล้วสายตาก็ไปหยุดลงตรงมุมตึก แสงสะท้อนจากดวงตาใสเรียกให้เขาสาวเท้าเข้าไปใกล้
“เฮ้...เจ้าหนู”
ร่างเล็กไม่เกินฝ่ามือสั่นงันงก
ขนที่เปียกลู่เลอะเทอะดูน่าเกลียดไม่น้อย แต่เขาไม่ถือสา...
“เจ้าไม่กินเนื้อคนสินะ...มาอยู่กับข้าไหม” เขายื่นมือออกไป
เจ้าตัวน้อยแยกเขี้ยวเล็กๆ ตอบกลับ “ข้าไม่รับปากว่าเจ้าจะไม่อดอยาก
แต่เราจะอดไปด้วยกันอิ่มไปด้วยกัน...ดีไหม?”
ว่าจบแล้วก็ไม่ขยับมือไปไหน
เขามองจ้องสบกับนัยน์ตาใสแจ๋วอยู่เนิ่นนาน จนสุนัขตัวน้อยขยับเข้ามาดมปลายนิ้ว
ก่อนจะเอาจมูกเล็กดุนเบาๆ
“เจ้าตัวจิ๋ว เพราะเลือกกินถึงไม่โตสินะ”
เขาใช้อุ้งมืออุ้มก้อนขนนั้นขึ้นมาอย่างระวัง
ลูกหมาแคระหนาวจนตัวสั่น เด็กหนุ่มเองก็ไม่มีร่มจึงเอามันใส่เข้าไปในแขนเสื้อเป็นการให้ความอบอุ่นแทน
“กลับบ้านกันเถอะ...ซันชุ่นติง”
แล้วเสียงย่ำน้ำก็ดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความมืดมิดของฉางซา
หน้าต่างไม้ที่ถูกแกะสลักลวดลายอย่างดียังคงมีแสงสว่างลอดออกมา
สายฝนภายนอกยังทิ้งตัวไม่หยุดหย่อนติดกันหลายวันจนอากาศหนาวเย็น แต่ภายในห้องนั้นกลับอุ่นสบายด้วยการดูแลอย่างดีของข้ารับใช้
ร่างสูงสง่าของนายทหารใหญ่นั่งนิ่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานกว้าง
เบื้องหน้าคือเอกสารมากมายซึ่งวางซ้อนกันอย่างไร้ระเบียบ
มือที่จับปากกาหมึกซึมยกค้างอยู่จนน้ำหมึกหยดลงเปื้อนกระดาษเป็นดวงจึงรู้สึกตัว
ชายหนุ่มยกมือลูบใบหน้าอย่างอ่อนล้า
สมาธิของเขากระจัดกระจายจนไม่สามรถทำอะไรต่อได้ หลังจากผ่านไปจนเห็นว่าคงไม่มีอะไรดีขึ้น
เจ้าของห้องจึงลุกขึ้นคว้าเอาเสื้อนอกสีทึบแล้วก้าวออกไปด้านนอก
“พ่อพระ ยามนี้ท่านจะ...”
นายทหารหน้าห้องเอ่ยปากถามแต่ก็โดนสัญญาณมือสั่งให้เงียบ
“ข้าจะออกไปเดินเล่นคนเดียว...ไม่เป็นไร ครู่เดียวเท่านั้น”
คำสั่งย่อมเป็นคำสั่ง
แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้ใจแค่ไหน หากเสียงเข้มเอ่ยแล้วผู้น้อยย่อมไม่มีทางขัด
แต่อย่างไรพ่อพระใหญ่จางแห่งฉางซาก็ไม่ใช่คนที่จะถูกทำร้ายเอาได้ง่ายๆ
จางฉี่ซานใช้เส้นทางลับออกมาจากตัวบ้านที่ล้อมด้วยกำแพงดิน
แล้วเดินออกไปกลางสายฝนอย่างเงียบงันเพียงลำพัง หยดน้ำเปียกซึมเข้าไปตามเนื้อผ้ากอปรกับสายลมยามค่ำคืนที่พัดผ่านทำให้รู้สึกหนาวเย็นกว่าปกติ
...แต่ชายหนุ่มเจ้าสำราญผู้หอบร่างภรรยาที่ป่วยหนักคนนั้นท่ามกลางสายฝนคงรู้สึกหนาวเหน็บยิ่งกว่านี้
ค่ำคืนนี้มีหมอกมาก
บางคนอาจจะกล่าวว่าเป็นลางไม่ดี แต่ในยุคสงครามจะวันไหนคนก็ตายเยอะยิ่งกว่าใบไม้ร่วง...จะแดดออกหรือฝนตกก็ย่อมไม่ต่างกัน
นายทหารใหญ่เดินไปตามทางจนถึงถนนริมน้ำ
หยาดฝนยามค่ำคืนยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย
บรรยากาศเย็นเยียบดำเนินเรื่อยไปราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด
แต่ในตอนที่คิดจะหันย้อนกลับก็พลันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ...กลิ่นของการสังหาร
ร่างกายขยับอย่างระวังในทันที
เขาเร้นตัวเข้าไปตรงซอกตึกแล้วซุ่มดูสถานการณ์อย่างใจเย็น
กลิ่นเลือดโชยแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าตกใจ...ศพไม่ได้มีเพียงหนึ่ง
เฝ้าดูอยู่อีกสักพักหน้าต่างบ้านหลังที่มีปัญหาก็เปิดออก
ร่างเงาหนึ่งพุ่งตัวออกมาอย่างเงียบเชียบด้วยท่วงท่าคล่องแคล่วลื่นไหล ก่อนจะเร้นหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นดังนั้นนายทหารใหญ่ก็ขยับเท้าจะก้าวตามไปทันทีแต่กลับมีเสียงหนึ่งค้านขึ้น
“ท่านอย่าตามไปเลย...นั่นเฉินผีอาซื่อ”
เจ้าของคำกล่าวนั้นคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เดินออกมาจากซอกตึกด้านข้าง
จางฉี่ซานชะงักปายเท้าแล้วหันกลับไปพิจารณาอีกฝ่าย...เขาไม่ได้แปลกใจที่เนื้อความ เพราะเงานั้นคือเฉินผีอาซื่อไม่ผิดแน่
วิชาถงจื่อกงขั้นสูงของเอ้อร์เย่ว์หงมีศิษย์เพียงไม่กี่คนที่สามารถรับถ่ายทอดได้
และหนึ่งในศิษย์เหล่านั้นก็คงมีเพียงคนเดียวที่กล้าทำลายกรอบของสำนัก
หากสิ่งที่ทำให้พ่อพระใหญ่จางประหลาดใจคือการที่คนพูดนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น
“ต่อให้เป็นท่าน...เขาก็ไม่เกรงกลัว” เด็กหนุ่มคนนั้นเนื้อตัวเปียกปอนไม่ต่างจากเขา
ใบหน้านิ่งสงบเปรอะไปด้วยหยดน้ำฝน “...ถึงเป็นท่าน หากจะหยุดเขาก็มีแต่ต้องฆ่า
เอ้อร์เหย่เพิ่งเสียฮูหยินไป ท่านคิดจะพรากลูกชายจากเขาด้วยอีกคนอย่างนั้นหรือ”
คำกล่าวนั้นฉุดให้จางฉี่ซานนิ่งงันได้ชะงัดนัก
“เจ้าเป็นใครกันแน่”
ถามกลับไปอย่างเคร่งเครียด...เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เพียงแต่รู้จักเอ้อร์เย่ว์หง
หากยังรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของศิษย์อาจารย์คู่นี้เป็นอย่างดี
“อย่ามองข้าแบบนั้น ข้าพอมีสหายเป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่บ้าง เรื่องของเอ้อร์เหย่ก็ไม่ใช่เรื่องลับอะไร”
แววตาจริงใจถูกส่งมาให้พร้อมรอยยิ้ม “อีกอย่าง...บนตัวข้าก็มีกลิ่นดินเหมือนกับท่าน”
อีกครั้งที่เขาต้องประหลาดใจ
เด็กหนุ่มตรงหน้าอายุราวยี่สิบ
ท่าทางหน่วยก้านดี...แต่กลับไม่มีกลิ่นอายของคนตายติดตัว
ไม่เหมือนคนทั่วไปที่หากินกับสมบัติผี
“กลิ่นเลือดเข้มข้นขึ้นทุกที การสังหารโหดยังไม่จบโดยง่าย
ข้ารู้ว่าท่านมีฝีมือ แต่บางอย่างท่านก็ไม่ควรแลก”
“แล้วเจ้าล่ะ” ถามกลับไป...ในบรรดายอดฝีมือของฉางซาเขาไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มคนนี้มาก่อน
“...อย่างข้าเจอเฉินผีอาซื่อก็มีแต่ตายกับตาย” เด็กหนุ่มหัวเราะยอมรับ “แต่ข้าเอาตัวรอดเก่ง...ท่านไม่ต้องห่วงไป”
จางฉี่ซานหันไปมองบรรยากาศแห่งความตายแล้วก็ได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเลวร้าย
คนที่ควรถูกฆ่าคือเขามากกว่าชาวบ้านเหล่านั้น
แต่ความโกรธเกรี้ยวของเฉินผีอาซื่อต้องการที่ลง
ความสูญเสียของผู้เคราะห์ร้ายในครั้งนี้คือน้ำหนักของตราบาปที่เพิ่มมากขึ้นบนบ่าของเขา
แต่เด็กหนุ่มพูดถูก...เขาไม่อาจตัดใจฆ่าเฉินผีอาซื่อได้
และตัวเขาขณะนี้ก็ยังตายไม่ได้
“สักวัน...ข้าจะชดใช้ให้” เขากระซิบแผ่วเบาในสายฝน แต่คนที่อยู่ข้างๆ
ได้ยินชัดเจน
“...แต่คนเมืองฉางซาล้วนติดหนี้บุญคุณท่าน”
เด็กหนุ่มค้านออกมาก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้คนที่อายุมากกว่าเป็นรอบด้วยท่าทีจริงจัง
“ตั้งแต่เด็ก ข้าก็เห็นพวกผู้ใหญ่ว่ากัน
ฉางซาเรายังดีนักที่มีสามสกุลค้ำจุนอยู่ ...ชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยไปไหนไกล แต่พี่รองเขาว่าทางเหนือโหดร้ายกว่านี้มาก
และเมื่อสงครามรุกคืบก็มีท่านกับบ้านสกุลจางออกหน้ารบ คนที่ทำให้ชาวเมืองยังมีใจสู้อยู่ก็คือท่าน”
รอยยิ้มจริงใจที่หาได้ยากยิ่งในยามนี้ถูกส่งมาให้
“ข้าชอบฮูหยินของเอ้อร์เหย่มาก
และก็คิดว่าทุกคนคงชอบนางเหมือนกัน...แต่หากคนอย่างท่านมีเหตุผลสักข้อที่จะไม่ให้นางมีชีวิตอยู่
ต่อให้ข้าไม่มีสิทธิ์ถาม...ข้าก็เชื่อในการตัดสินใจของท่าน
ข้าจึงเห็นว่ามันไม่เป็นไร”
จางฉี่ซานนิ่งงันไปกับคำกล่าวนั้น...ยามสงคราม
ภาพของชีวิตและความตายแสดงอยู่ในทุกมุมเมือง ทั้งอดอยาก สูญเสียและสิ้นหวัง
เคยมีคนกล่าวว่าสงครามไม่ให้สิ่งใดกับผู้ใด
แต่จางฉี่ซานเป็นทหารผู้ยืนอยู่ข้างความเปลี่ยนแปลงใหม่ ชายหนุ่มเห็นโลกมามาก ตั้งแต่ครั้งที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นฝั่งนอกด่านซันไห่กวน
เขาถึงต้องหนีตายลงมาถึงทางใต้
สุดท้ายจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากจับบัลลังก์ของตนไว้แน่นแล้วปล่อยให้แผ่นดินถูกทำลายลงทีละนิด
...แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม
เขาจะไม่ยอมแพ้ให้แก่ชาวญี่ปุ่นอีก จะไม่ยอมให้ฉางซาถูกยึดเหมือนครั้งที่เขาเคยทำอะไรไม่ได้
จางฉี่ซานเป็นผู้ที่ยืนหยัดขึ้นต่อต้านกับอำนาจรุกรานจากเกาะญี่ปุ่น
การโต้ตอบแต่ครั้งเหมือนกับแสงความหวังที่ค่อยๆ
สว่างขึ้นในใจของประชาชน...จนเขากลายเป็นผู้นำคนใหม่ที่พลิกประวัติศาสตร์ให้กับแผ่นดินจีน
พ่อพระใหญ่จึงเป็นดั่งเสี้ยนไม้ที่ตำตาทหารญี่ปุ่น...แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้อำนาจส่วนกลางสั่นคลอน
ฮูหยินของเอ้อร์เย่ว์หงป่วยกระเสาะกระแสะมานาน
นางแทบไม่ได้ลุกจากเตียงมาเกือบปีแล้ว และในตอนที่อาการกำเริบหนัก เจ้าบ้านสองก็ใช้เส้นสายทุกทางเพื่อหาตัวยามารักษา
แต่การกระทำนั้นกลับเหมือนการป่าวประกาศให้จุดอ่อนนั้นปรากฎขึ้น
ในตอนที่ตัวยาสำคัญถูกทหารญี่ปุ่นส่งเข้ามาที่บ้านสกุลจาง
เขาก็พลันรู้สึกเจ็บแค้นจนชาวาบไปทั้งร่าง...
วันนั้นมีข่าวลือเกี่ยวกับการลอบสบคบคิดกับชาวญี่ปุ่น
หากเขาเปิดประตูบ้านก็เท่ากับรับข้อหากบฏ
แต่ปิดประตูลงก็เหมือนตัดขาดมิตรภาพกลางสนามรบอันยาวนาน
ศึกทั้งสองด้านบีบให้เขาสังเวยหนึ่งชีวิตเพื่อเป็นหลักประกันความไม่มั่นคงของขั้วอำนาจ
...ท้ายสุดสกุลจางจึงติดหนี้ครั้งยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่อาจทดแทนได้ให้กับผู้หญิงตัวเล็กๆ
คนหนึ่ง
จางฉี่ซานไม่มีสิทธิ์กล่าวคำขอโทษ
สิ่งที่เขาได้ตัดสินใจลงไปนั้นเขาย่อมต้องแบกรับผลของมันด้วยตนเอง
“มองโลกในแง่ดีเกินไปมันอันตรายกับตัวเองรู้ไหม” เขาเอ่ยเตือนออกไปในที่สุด
“ข้ามองโลกในแง่ดีบนความจริง...ข้าเป็นศิษย์สำนักใต้ หากเจอกันในดิน
ข้าชั่วร้ายได้มากกว่าที่ท่านจินตนาการออก”
เด็กหนุ่มแยกเขี้ยวแบบที่ไม่ได้ดูน่ากลัวมากขึ้นเลยสักนิด
จางฉี่ซานหัวเราะอย่างที่ไม่ได้ทำมานานจนลืมไปแล้ว
น้ำคำนั้นใสซื่อจริงใจนั้นบอกให้รู้ว่าเด็กหนุ่มยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อ่อนต่อโลกเพียงไหน...ในยุคนี้ยังมีคนที่โตมาด้วยมุมมองแบบนี้อีกหรือ
เขาก็ยังนึกสงสัยขึ้นมาครามครัน
“ข้าคงต้องขอตัวก่อน ขอให้ชัยชนะของฉางซาอยู่ในมือท่านนะ...พ่อพระใหญ่”
“...หวังว่าจะไม่ต้องเจอกันในกรวย”
เด็กหนุ่มเปิดยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินไปในทิศทางที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
จนนายทหารใหญ่ต้องออกปากเรียกไว้
“เจ้าไม่ควรไปทางนั้น”
“ข้าทราบดี...แต่จำเป็นต้องไปทางลัด”
คนอายุน้อยโคลงศีรษะแล้วล้วงเอาก้อนขนเปียกๆ
สกปรกออกมาจากในแขนเสื้อ
“ซันชุ่นติงหนาวจนเหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว”
ว่าจบก็รีบเดินออกไปทันที
เจ้าตัวที่ว่าเมื่อเพ่งดูก็เหมือนจะเป็นลูกสุนัขแคระหน้าตาดูไม่ได้
จางฉี่ซานมองตามร่างนั้นจนลับตา ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปในทางของตนเอง
หมอกควันในหัวดูจางลงอย่างประหลาด
แทนที่ด้วยคำพูดง่ายๆ ของเด็กหนุ่มคนนั้น
ถึงจะใสซื่อไร้เดียงสา
แต่ก็เหมือนดั่งน้ำเย็นที่ช่วยหล่อเลี้ยง นานแล้วที่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปลอบใจเขา...เพียงคำว่า
‘ไม่เป็นไร’ เพียงหนึ่งคำก็ทำให้รู้สึกว่าสามารถก้าวต่อไปได้
เสียงฝีเท้ากระทบน้ำเฉอะแฉะบนพื้นหิน...ฝนหยุดตกไปเมื่อใด
นายทหารใหญ่เองก็ไม่ทันรู้ตัวเหมือนกัน
++++++
หลังปิดกระดานศึกที่เมืองหยีชาง
ความสำเร็จในการขับไล่ทหารญี่ปุ่นออกไปได้เป็นสมรภูมิแรกเรียกขวัญกำลังใจอย่างมากต่อชาวเมืองและทางการ
ฉางซากลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ใหญ่ซึ่งทำให้จีนพลิกกระดานกลับขึ้นตอบโต้
ชัยชนะครั้งนี้คือการทวงคืนความยิ่งใหญ่ให้กับแผ่นดินมังกร
แต่เมื่อยามศึกผ่านพ้นก็ถึงเวลากลับมาเยียวยาตนเอง
ในห้องทำงานกว้าง
นายทหารใหญ่มองเอกสารต่างๆ อย่างหนักใจ แต่เดิมแม้สกุลจางจะเป็นหัวหอกในการสวมเครื่องแบบออกหน้า
แต่กำลังคนก็หยิบยืมป้านเจี๋ยหลี่ ส่วนกำลังทรัพย์ก็มีเอ้อร์เย่ว์หงคอยสนับสนุน
...แต่สถานการณ์เป็นแบบนี้
ไม่ว่าอธิบายอย่างไรเอ้อร์เย่ว์หงก็ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ...ซึ่งจางฉี่ซานก็ไม่คิดโกรธเคืองอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
ตลอดชีวิตนับจากนี้...ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องยอมให้คนคนนี้อีกครึ่งก้าว
บรรดานายทหารที่เป็นมันสมองถูกเรียกเข้ามาพบ...เมื่อครั้นขัดสน
หน้าด่านก็แห้งเหี่ยว อย่างไรก็คงต้องลงดินสักครั้งเพื่อหาสินค้ามาแลกเปลี่ยนแก้ไขบัญชีก่อนจะเข้าขั้นวิกฤต
“เมื่อกี้เจ้าว่าจะยืมอะไรจากสกุลใด?”
เสียงรายงานถูกขัดขึ้นเมื่อพ่อพระใหญ่ฟังได้ถึงสิ่งประหลาด
นายทหารคนนั้นนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบอย่างหนักแน่น
“ยืมหมาจากสกุลอู๋ครับ”
“หมา?”
“ท่านคงเคยได้ยินเรื่องวิชาดมกลิ่นหน้าดิน” เขาพยักหน้ารับ “ตอนนี้เจ้าบ้านสกุลอู๋ฝึกหมาไว้หลายตัวเพื่อดมกลิ่นหน้าดิน
โก่วหวัง โก๋วอู่เย๋ เป็นชื่อที่เขาเรียกกันในขณะนี้”
จางฉี่ซานนิ่งคิดไปชั่วครู่
เรื่องนี้ก็คล้ายกับเคยได้ยินมาก่อน เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขายุ่งอยู่กับการทหารจนไม่ได้ตักดินมาพักใหญ่
ข่าวคราวในวงการก็เหมือนฟังผ่านหูไปไม่ได้เก็บมาคิด จึงโบกมือให้อีกฝ่ายว่าต่อ
“อู๋เหลาโก่วเป็นลูกคนที่สาม บิดาและพี่ชายทั้งสองตายหมดแล้ว
ขณะนี้เขาจึงเป็นเจ้าบ้าน วิธีลงกรวยของเขาไม่เหมือนใคร ใช้คนน้อยกว่าหมา ไว้ใจหมายิ่งกว่าคน”
“...แล้วเชื่อถือได้แค่ไหน อายุยังน้อยไม่ใช่หรือ”
ไม่ได้มีเจตนาจะดูถูก
แต่ในวงการนี้ประสบการณ์ก็ถือว่าเป็นฝีมืออย่างหนึ่งเช่นกัน
“สกุลเซี่ยลงดินครั้งล่าสุดเขาก็ถูกเรียกตัวไป
ได้ยินมาว่าสมัยเด็กเคยเป็นเพื่อนเล่นกับคุณชายเซี่ยจิ่วและคุณหนูสกุลฮั่ว”
จางฉี่ซานฟังนั้นก็เข้าใจความนัยที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
หยุดคิดเล็กน้อยจึงโบกมือให้ทุกคนออกไป
ส่วนตัวเขาก็ลุกขึ้นคว้าเอาเสื้อนอกมาสวมทับเครื่องแบบ
การสอบสวนเชลยญี่ปุ่นกระทำอยู่ที่ห้องใต้ดินของกองบัญชาการ
เซี่ยจิ่วเป็นตัวเลือกที่ดีในหน้าที่นี้...คุณชายสกุลเซี่ยฉลาดพอที่จะรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร
และอีกไม่นานก็คงถึงช่วงผลัดเปลี่ยนขึ้นมาทำหน้าที่นี้แทนบิดาผู้แก่ชรา
คุณชายเป็นคนตรงต่อเวลา...หากรีบไปคงทันพบ
โก๋วหวัง
โก๋วอู่เย๋ จะเป็นแค่คำเยินยอเกินจริงหรือไม่นั้น ให้ได้เห็นกับตาแล้วก็คงจะรู้กัน
TBC...next week
No comments:
Post a Comment