「秋天开的花朵」Blossom
in Autumn 03 (15 :: จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
「秋天开的花朵」
Blossom in Autumn
Blossom in Autumn
Fandom
: Dao Mu Bi Ji (บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน)
Pairing
: 15 (จางฉี่ซาน,อู๋เหลาโก่ว)
Rate
: G
Timeline
: หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
***ตัวอย่างของรวมเล่มที่จะออกในงานDMBJonly event 16/8/58 จะลงสัปดาห์ละตอนไปเรื่อยๆ จนถึงวันงานนะคะ***
03
ในเขตเมืองเก่าของฉางซายังมีบ้านไม้ก่อตัวเรียงกันอย่างเบียดเสียด
ถนนแคบๆ เป็นแผ่นหินที่สึกกร่อนไปตามเวลา
หากจะเข้ามาถึงส่วนนี้ได้ก็มีแต่ต้องเดินมาจากถนนใหญ่ลัดเลาะตามแนวแม่น้ำลอดใต้เนินสะพาน
ตรอกเล็กๆ แห่งนี้มีการแลกเปลี่ยนค้าขายข้าวของทุกอย่าง ตั้งแต่สัตว์ทุกชนิด
ยาสมุนไพร อุปกรณ์ทำงาน หรือแม้กระทั่งอาวุธ
ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวผ่านความครึกครื้นนั้นไปอย่างไม่ใส่ใจสิ่งรอบข้าง
เขาเดินลึกลงไปจนถึงเรือนไม้ที่สร้างติดกับกำแพงดินและมีส่วนยื่นออกไปเหนือผิวน้ำ ชายคนนั้นถือวิสาสะก้าวผ่านเข้าไปในระเบียงบ้าน...แล้วผลักประตูตรงสุดทางให้เปิดออกจนกลิ่นธูปหอมจากด้านในกระจายฟุ้งออกมา
ห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มีโต๊ะไม้ตั้งอยู่พร้อมกับกระถางธูปมากมาย
กำแพงทึบไม่อนุญาตให้แสงแดดเล็ดรอดเข้ามาได้ จึงมีเพียงตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะเท่านั้นที่ช่วยให้ความสว่าง
“บ้านเก้าผู้ตรงต่อเวลา” เจ้าของห้องเอ่ยทักทายก่อน
เงาวูบไหวจากเปลวไฟสะท้อนกับดวงตาหลังกรอบแว่นทรงกลมเป็นแววลึกล้ำยากจะอ่านออก
“เหล่าปา” ผู้มาเยือนโค้งให้อย่างเคารพนับถือให้กับเจ้าบ้านสกุลฉีพร้อมกับหยิบถุงผ้าที่มีเศษเหรียญออกมาวางบนโต๊ะดูดวง
“ไม่ต้อง...ของที่เจ้าต้องการข้าให้คนเตรียมไว้แล้ว” ห่อผ้าถูกยกขึ้นมาบนโต๊ะดูดวงตัวเล็ก
เมื่อแกะออกก็พบกับแจกันขนาดเล็กที่มีลวดลายของดอกไม้อันอ่อนช้อยงดงาม “เครื่องเคลือบยุคราชวงศ์หมิงคงเป็นที่ถูกใจท่านแม่ของเจ้า”
“ขอบคุณท่านมาก”
เซี่ยจิ่วสำรวจสินค้าตรงหน้าโดยละเอียดพร้อมกับคิดคำนวณราคาค่างวดอย่างรวดเร็ว “ของชิ้นนี้...”
“น่าเสียดาย วันนี้จะมีเรื่องใหญ่มาหาข้า” ขัดขึ้นเรียบๆ
“สนทนากับเจ้าได้ไม่นาน แจกันใบนี้ข้าขอยกให้เจ้าแทนคำขอโทษ”
คุณชายบ้านเก้าอ้าปากจะตอบแต่ก็โดนฉีเถียจุ่ยยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้หยุดพูดอีกครั้ง
“ ‘เซี่ยจิ่วเย๋*’ เจ้าเป็นคนฉลาด
คงรู้คำตอบของสิ่งที่สงสัยอยู่แล้ว”
“...กล่าวเกินไปแล้ว”
ชายหนุ่มนิ่งงันไปชั่วครู่กับคำกล่าวนั้นก่อนจะตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกความรู้สึก
“ชะตากรรมที่เจ้าสร้างมันขึ้นมาเอง ไม่จำเป็นต้องใช้วิชาพยากรณ์ก็ย่อมเดาได้”
วาจาสิทธิ์ของฉีเถียจุ่ยเมื่อกล่าวออกมาแล้วย่อมไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
คุณชายแห่งบ้านเก้าสบตาคนตรงหน้า ห่อแจกันใบเล็กถูกรวบขึ้นมาก่อนศีรษะจะคำนับอีกครั้ง
“งั้นข้าคงรบกวนเพียงเท่านี้”
เมื่อว่าเช่นนั้นเจ้าบ้านแปดก็ลุกขึ้นส่งพร้อมกับหยิบห่อกระดาษขนาดประมาณฝ่ามือมาใส่ลงในแจกัน
กลิ่นหอมประหลาดกำจายขึ้นมาโดดเด่นจากกลิ่นธูปในห้องนั้นชัดเจน
“ฝากความเป็นห่วงถึงเถ้าแก่ให้ดูแลสุขภาพด้วยนะเซี่ยจิ่ว”
เสียงของฉีเถียจุ่ยแม้ราบเรียบแต่ก็มีพลังบางอย่าง
เขาหันหลังให้กับคำทิ้งท้ายนั้นแล้วก้าวออกมาจากห้อง แต่เมื่อเดินออกมาถึงนอกระเบียงไม้
‘เรื่องใหญ่’ ของฉีเถียจุ่ยก็มารออยู่แล้วตรงนั้น
คนมากมายในชุดเครื่องแบบล้วนมีแผ่นหลังเหยียดตรงและกิริยาที่นิ่งสงบไม่ต่างจากผู้เป็นนาย
เซี่ยจิ่วโค้งให้นายทหารคนสำคัญอย่างไม่นึกประหลาดใจ
“เหล่าปากำลังรอท่านอยู่”
จางฉี่ซานเพียงพยักหน้ารับแล้วก็เดินสวนเข้าไปโดยที่ไม่ได้โต้ตอบอะไร
คุณชายบ้านเก้าเห็นดังนั้นก็หัวเราะแผ่วเบาแล้วเดินลงเนินใต้สะพานย้อนกลับไปทางเก่า...ผู้ยิ่งใหญ่แท้จริงย่อมรู้ว่าเมื่อไรถึงจำเป็นต้องคลานลงต่ำหรือไต่ขึ้นสูง
พ่อพระใหญ่จางย่อมรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
นับเป็นบุญของฉางซาหรือแผ่นดินจีนก็คงไม่ผิดนัก...
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังก้าวผ่านสะพานหินแสงแดดก็สะท้อนกับผิวแม่น้ำเป็นประกายประหลาด
เซี่ยจิ่วรับรู้ถึงความผิดปกติทันที อีกไม่นานนักอาการปวดศีรษะจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ไล่จากขมับทั้งสองข้างร้าวมาจนถึงในกระบอกตา
อาการเหล่านี้อยู่กับเขามานานจนแทบจะลืมไปแล้วว่าช่วงที่ปกติเป็นอย่างไร
แต่เขาไม่เคยบอกกับใครนอกจากหมอประจำตระกูลที่ทำได้เพียงแต่การสั่งฝิ่นเพิ่มเท่านั้น
ส่วนธูปจิ้นผอที่ถูกใส่มาในแจกันใบนี้...ท้ายสุดแล้วเขาก็คงจะไม่ได้ใช้มัน
สิ่งที่เขาต้องคิดนั้นมีมากมายเหลือเกินแม้ในขณะหลับตา...
“พ่อพระใหญ่...ข้าเคยบอกท่านแล้วว่านั่นคือคำสุดท้าย”
จางฉี่ซานมองสีหน้าราบเรียบของอีกฝ่ายแล้วก็ก้าวเข้าไป
หยิบถุงผ้าเทลงบนโต๊ะดูดวงตัวเล็กนั้น
“ข้าเป็นคนธรรมดาไม่ได้แตกต่างจากเจ้าหรือเซี่ยจิ่วเลย”
“คนธรรมดาที่ใหญ่โตขึ้นทุกที...” เจ้าบ้านสกุลฉีมองเศษเหรียญก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเดินนำเข้าไปยังประตูด้านหลัง
“ว่ากันตามตรง...ทุกครั้งที่ท่านกลับมาที่นี่
ข้าลำบากใจเหลือเกิน”
หน้าด่านของฉีเถียจุ่ยไม่เหมือนใคร...มีเพียงโต๊ะดูดวงตัวเล็กในห้องธูป
จึงต้องจ่ายเศษสตางค์เพื่อจะเข้าไปยังห้องสมบัติด้านหลัง และเมื่อเลือกสินค้าขึ้นมาหนึ่งชิ้น
ราคาค่างวดของมันจะถูกตั้งขึ้นมาโดยมีคำทำนายที่เป็นดังวาจาสิทธิ์รวมมาด้วย
คนมากมายมาที่นี่เพื่อคำทำนายมากกว่าสินค้าเหล่านั้น...ไม่เว้นแม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฉางซา
“...ข้าไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก”
“นั่นเพราะท่านไม่เชื่อข้าเอง” คำตอบนั้นตรงอย่างยิ่ง
“แต่ฮูหยินของเอ้อร์เหย่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นได้เช่นกัน”
นายทหารใหญ่ไม่ได้ตอบอะไร
เพียงแต่เดินสำรวจสมบัติโบราณในห้องนั้นโดยละเอียด
แม้ฉากหน้าจางฉี่ซานจะเป็นนายพลผู้ยิ่งใหญ่
แต่เดิมนั้นเขาเป็นโจรขุดสุสานที่ได้รับถ่ายทอดวิชามาจากสำนักเหนือ
มีวิชาฮวงจุ้ยลึกล้ำ
สายตาเฉียบคมสามารถอ่านและวิเคราะห์สุสานโบราณได้แม่นยำจนเป็นที่เลื่องลือในอดีต
ของโบราณชิ้นไหนเมื่ออยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายอะไรให้มากความ
หลังจากเงียบไปอยู่นาน
สิ่งที่ถูกเลือกขึ้นมาคือกล่องหินหยกแกะเป็นลวดลายดอกไม้ ขอบของมันเลี่ยมด้วยทองอย่างประณีต
สมบัติชิ้นนี้ไม่ได้มีอายุเท่าไร น่าจะเป็นของตกทอดธรรมดาในสุสานของตระกูลใหญ่ๆ
ทั้งราคาค่างวดอะไรก็คงไม่ได้สูงมากมาย แต่สลักตรงฝากล่องที่เป็นชิ้นหยกขาวถูกแกะแล้วร้อยด้วยดิ้นไหมทองนั้นถูกใจเขา
“
‘มือ’ ” ดวงตาหลังกรอบแว่นทอดมองของในมืออีกฝ่าย
สีหน้าของนายทหารหนุ่มไม่เปลี่ยนไปแม้สักนิด
คล้ายกับคำกล่าวนั้นไม่มีผลต่อตัวเขาแต่อย่างใด
“...ส่วนที่ข้าได้เตือนท่านไว้ก็ย่อมเป็นไปตามนั้น สุดแท้แต่ท่านจะพิจารณา”
ถุงใส่เงินถูกส่งมาให้
แล้วสินค้าก็ถูกจัดใส่ห่อผ้าอย่างดี จางฉี่ซานยื่นมือรับของก่อนจะสบตาอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย
“เหล่าปา บางอย่าง...ต่อให้ข้าฟังก็ไม่อาจทำตามได้”
“...เพราะเช่นนี้ ข้าจึงยิ่งลำบากใจ” ผู้อ่อนวัยกว่าตอบ
“หากท่านต้องการเป็นคนธรรมดา ท่านต้องคิดแบบคนธรรมดา นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะตรวจดวงชาตะให้ท่าน”
ร่างสูงใหญ่ของนายทหารเดินจากไป
ทิ้งไว้แต่ความอึดอัดที่ฉีเถียจุ่ยไม่ชอบเอาเสียเลย
ถุงนั้นมีจำนวนเงินเท่ากับราคาของกล่องหยกพอดิบพอดี
บางทีที่นายทหารเลือกของชิ้นนั้นอาจไม่ได้เป็นเพราะถูกใจจริงๆ แต่เลือกเพราะความเหมาะสมกับสิ่งที่ตระเตรียมไว้
แม้จะเป็นผลดีต่อฉางซา
แต่ฉีเถียจุ่ยไม่ชอบนิสัยข้อนี้ของพ่อพระใหญ่ การมองส่วนรวมมองมุมกว้างมากเกินไป
จนหลายครั้งก็ลืมมองตนเอง...บนที่สูงอันหนาวเหน็บ
บาดแผลของผู้ยิ่งใหญ่ย่อมไม่มีใครอยู่ช่วยดูแลรักษามัน
ตัวเขามีกฏเหล็กของตนในการใช้วิชาพยากรณ์...สุดท้ายแล้วก็ได้แต่เก็บงำทุกอย่างไว้เพียงคนเดียวแล้วเฝ้ามองสิ่งต่างๆ
หมุนเปลี่ยน
ผู้ยิ่งใหญ่เกี่ยวพันกับผู้คนมากเกินไป
คำพูดเดียวของเขาอาจจะทำให้ดวงชะตาของใครอื่นปั่นป่วน
เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนทำถูกหรือไม่...แต่สิ่งที่เขาบอกพ่อพระใหญ่จางไปอาจจะไม่ใช่คำตอบของคำถามที่อีกฝ่ายต้องการ
บางทีเขาก็ได้แต่หวัง...ว่าเมื่อเรื่องทุกอย่างจบลงจะไม่มีใครต้องเสียใจภายหลัง
++++++
‘พี่รอง แรกๆ ที่ลงดินพี่ไม่กลัวบ้างหรือ’
‘อะไรของเอ็งอีกวะไอ้หนู’
‘ก็ในนั้นมันมีอะไรอยู่ก็ไม่รู้ พี่ไม่กลัวบ้างหรือไง?’
‘ไอ้โง่เอ้ย’
สบถยาวเหยียดจบหนุ่มตาเดียวก็หันมาง้างมือตบหัวเข้าให้แบบไม่มีปราณีสักนิดจนคนเป็นน้องต้องครางโอด
‘จะกลัวทำไมกับของที่ไม่รู้...เอ็งแค่เข้าไปให้รู้แล้วซัดมันซักโป้งก็จบ’
พี่รองของอู๋เหลาโก่วอายุเยอะกว่าหลายปี
เป็นคนหนุ่มที่มีพลัง ใจห้าวหาญ
ไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด...ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยเห็นพี่ชายคนนี้จะยอมแพ้กับอะไร
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนพี่รองก็แค่พุ่งชนกับมัน
หากไม่ได้อายุสั้นไปเสียก่อน...ก็คงจะเป็นผู้นำสกุลที่ยิ่งใหญ่ได้มากกว่าตัวเขาในตอนนี้
แผ่นปั๋วเพี่ยนในกล่องไม้ถูกหยิบขึ้นมาส่องกับแสงตะเกียงวูบไหว
ปลายนิ้วไล้แผ่วเบาไปตามลวดลายสีซีด
ชายหนุ่มไม่เคยเข้าโรงเรียน...แต่ถึงเคยได้เรียนเขียนอ่านจริงๆ
ข้อความบนผืนผ้าไหมนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะแกะออกโดยง่าย
สมบัติมากมายขุดขึ้นมาได้ก็ถูกแลกเปลี่ยนกับพวกคนต่างชาติผู้บ้าคลั่งของโบราณ...จะมีก็แต่แผ่นจารึกผืนนี้ที่อย่างไรก็ตัดใจขายไปไม่ลง
ของดูต่างหน้า?
ไม่หรอก...ผู้ที่หากินกับสมบัติคนตายอย่างพวกเขาไม่ละเอียดอ่อนถึงขั้นนั้น
ชายหนุ่มม้วนผืนผ้าอย่างระวังแล้วเก็บกลับลงไปในก้นหีบที่ลึกที่สุดเช่นเดิม
ก่อนจะกลับมานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน...จนน้ำมันตะเกียงหมดแล้วฟ้าสางในที่สุด
“ซันชุ่นติง” ศีรษะเล็กๆ ผงกขึ้นหันมองเจ้าของทันทีที่กระซิบเรียก
ดวงตาใสมองสบไม่หลบหนี “ครั้งนี้เจ้าก็ยังจะไปกับข้าใช่ไหม?”
เจ้าหมาแคระลุกเดินเตาะแตะมาที่ขอบโต๊ะก่อนจะกระโดดลงมาบนหน้าตักของเจ้าของ
เอาปลายจมูกดุนแขนแล้วมุดเข้าไปอยู่ในแขนเสื้ออย่างรู้งานจนชายหนุ่มหลุดขำ
“...ไปกันเถอะ”
อู๋เหลาโก่วลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกไป
แล้วสุนัขนับสิบก็ค่อยๆ ลุกเดินตามติดไปไม่ห่างเจ้าของ
แต่เมื่อก้าวออกไปพ้นเขตบ้าน
ตรงนั้นก็มีรถทหารจอดรออยู่แล้ว โดยมีเจ้าของใบหน้านิ่งยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านข้าง
พ่อพระใหญ่จางไม่มีเครื่องแบบทหารอยู่บนตัวอย่างที่ใครต่อใครชินตา
นั่นทำให้เขารู้สึกสนิทใจมากกว่าจนกล้าเปิดรอยยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย...เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายปีก่อนในค่ำคืนกลางสายฝน
“สาย” เสียงนั้นดุอย่างยิ่งหากไม่ได้ทำให้เขาเกรงกลัว
“...คณะเดินทางของสกุลอู๋มันวุ่นวายอยู่สักหน่อย”
พยักเพยิดไปทางสุนัขของตน “หากท่านจะกรุณา...”
“ขึ้นมา”
ประตูรถถูกเปิดให้ก่อนที่สุนัขพันธุ์ทางสีดำสนิทจะกระโดดขึ้นไปเป็นตัวแรก
ตามมาด้วยทิเบแทนมัสติฟตัวอ้วนสีน้ำตาลแดงที่กินพื้นที่ไปกว่าครึ่ง
“หวังว่าครั้งนี้จะเป็นกรวยอวบนะพ่อพระ” อู๋เหลาโก่วเอ่ยกระเซ้าก่อนจะได้เห็นมุมปากของอีกฝ่ายขยับยกขึ้น
“ส่วนแบ่งของเจ้าจะเป็นที่น่าพอใจ”
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเบา
ก้าวขึ้นรถไปบ้างโดยมีหัวหน้าคณะในครั้งนี้ปิดประตูตามหลังให้
แล้วขบวนรถก็เริ่มเคลื่อนตัวออกจากเขตตัวเมืองฉางซา
สุนัขจิ๋วมุดออกมากลิ้งตัวบนตัก
ดวงตาแป๋วจ้องหน้าเจ้าของอย่างมีความหมายก่อนจะเห่าเบาๆ
“ข้ารู้...ไม่ต้องห่วงหรอก”
ปลายนิ้วของเขาสัมผัสลูบศีรษะของเพื่อนตัวน้อยอย่างแผ่วเบาก่อนจะหันมองออกไปยังต้นไม้ที่มีใบสีเหลืองเขียวด้านนอก
อากาศเย็นลงทุกทีแล้วนะ...พี่รอง
TBC...next week
No comments:
Post a Comment